ตอนที่ 199-2 นายบ่าวได้พบกันอีกครั้ง

ชายาเคียงหทัย

ซูเจ๋อได้สติขึ้นมาหลังจากที่เต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องกลับไปได้สองวัน เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาบอกว่าท่านอ๋องทั้งสองพาคนกลับไปก่อนแล้ว ซูเจ๋อก็อึ้งไปเล็กน้อย เขามองม่อซิวเหยาแล้วส่ายหน้า “เหตุใดท่านอ๋องต้องทำเช่นนี้”

 

 

ม่อซิวเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง “สุขภาพของผู้อาวุโสซูทนการโขยกเขยกเป็นระยะทางไกลไม่ไหวแล้ว หากผู้อาวุโสซูยังดื้อรั้นที่จะกลับไป ก็ต้องรอให้สุขภาพกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงก่อนถึงจะกลับได้ หากผู้อาวุโสซูไม่อยากอยู่ในเมืองหรู่หยาง ด้านนอกเมืองมีบ้านหลังอื่นที่สามารถให้ผู้อาวุโสซูไปพักอาศัยอยู่ชั่วคราวได้”

 

 

ซูเจ๋อถอนหายใจ ส่ายหน้าไม่พูดอันใดอีก เพียงพักรักษาตัวอยู่คนเดียวในเรือนหลังเล็กภายในตำหนักอ๋องที่เงียบสงบ อ่านหนังสือ โดยแทบไม่ได้ออกไปที่ใด และไม่ถามถึงเรื่องซูจุ้ยเตี๋ยอีกเลย

 

 

จนเมื่อบุตรอยู่ในครรภ์จนครบเก้าเดือน จู่ๆ ก็มีข่าวหนึ่งแพร่ไปทั่วทุกแว่นแคว้น ความว่า ทรัพย์สมบัติและแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นของปฐมฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนนั้น อยู่ในพื้นที่เขตซีเป่ย

 

 

ปฐมฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนเป็นบุคคลที่เป็นตำนานเสียยิ่งกว่าปฐมฮ่องเต้ของต้าฉู่เสียอีก ตำนานเล่าขานกันว่าเขาเคยมีเมืองสมบัติทองคำที่มีบันทึกอยู่เพียงในประวัติศาสตร์ฉบับไม่เป็นทางการ ว่ากันว่าที่นั่นเป็นเมืองที่สร้างขึ้นจากทองคำ

 

 

หากตำนานนี้เป็นเรื่องจริง ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่า องค์ปฐมฮ่องเต้มีทรัพย์สมบัติอยู่มากมายเพียงใด และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ผู้มีอิทธิพลของแต่ละแคว้นต่างเฝ้าใฝ่ฝันอยากได้ครอบครองแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น หากข่าวนี้แพร่ออกไป ในเขตซีเป่ยคงมีคนจากทั่วทุกสารทิศแห่แหนกันเข้ามาอย่างแน่นอน และคงทำให้ซีเป่ยที่เคยสงบสุขเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที

 

 

ยามนี้ท้องของเยี่ยหลียิ่งดูใหญ่ขึ้นอีก หลังจากผ่านเก้าเดือนไปแล้วเด็กสามารถคลอดออกมาได้ตลอดเวลา

 

 

ม่อซิวเหยาให้คนคัดเลือกบ่าวไพร่และหมอตำแยให้มาคอยรับคำสั่งอยู่ที่ตำหนักไว้แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น แค่เพียงเพราะยามปกติเยี่ยหลีไม่ชอบให้คนมาคอยรับใช้ใกล้ชิด ม่อซิวเหยาจึงส่งคนไปรับสาวใช้ข้างกายเยี่ยหลีที่รั้งอยู่ที่เมืองหลวงทั้งหมดมาที่นี่ และให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อย้ายมาอยู่ที่ซีเป่ย จนทำให้งานที่จงหยวนไม่มีผู้ใดคอยดูแล เฟิ่อจือเหยาถึงกับบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้หยุด และส่งจดหมายไปถึงเหลิ่งเฮ่าอวี่ให้เขาคอยดูแลงานที่จงหยวนแทนเป็นการชั่วคราว

 

 

ฉินเฟิงที่ไปรับคนมา กลับมาถึงไล่เลี่ยกับข่าวเรื่องสมบัติลับของราชวงศ์ก่อน ม่อซิวเหยาที่เดินเล่นอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยหลี เมื่อได้รับข่าวที่จั๋วจิ้งส่งมา ก็นิ่งขรึมไปทันที เอ่ยเสียงเย็นว่า “ถานจี้จือ! เจ้าช่างรีบร้อนหาที่ตายจริงๆ!”

 

 

เยี่ยหลีรับจดหมายมาเปิดดู แล้วเอ่ยเร่งม่อซิวเหยาว่า “ท่านรีบไปจัดการเถิด พวกเฟิ่งซานจะต้องรออยู่เป็นแน่”

 

 

ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ข้าจะรีบไปรีบมา เจ้าก็อย่าออกแรงมากไปเลย”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มพยักหน้า เมื่อมองส่งม่อซิวเหยาไปแล้ว ถึงได้หันกับกลับมาหาทุกคน ระบายยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “แม่นม หลินหมัวมัว พวกท่านสบายดีหรือไม่”

 

 

หมัวมัวทั้งสองน้ำตาไหลเป็นสายกันเสียนานแล้ว หากมิใช่เพราะก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยายังอยู่ด้วย คงพุ่งเข้ามาร้องไห้คร่ำครวญกับเยี่ยหลีแล้ว

 

 

“คุณหนู…พระชายา…พวกบ่าวคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบท่านอีกแล้ว…”

 

 

พวกชิงซวงเองก็ล้อมเข้ามาหาเยี่ยหลี เอ่ยถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้พร้อมยิ้มทั้งน้ำตา จนภายในห้องมีเสียงดังอื้ออึงขึ้นทันที

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองพวกนาง จู่ๆ ก็ได้พบคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นปี ตามปกติก็มิได้รู้สึกอันใด แต่ยามนี้เมื่อได้พบหน้าพวกนางกะทันหันถึงได้รู้ว่านางคิดถึงพวกเขามากน้อยเพียงใด

 

 

เมื่อเห็นชิงซวงถลึงตาใส่นางพร้อมปาดน้ำตาแต่ไม่ยอมพูดอันใด เยี่ยหลีก็อมยิ้ม ยื่นมือไปจับแก้มนิ่มๆ ของนาง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ได้พบกันตั้งเป็นปี ชิงซวงโตจนกลายเป็นสาวใหญ่แล้ว”

 

 

หน้าเรียวของชิงซวงแดงขึ้นทันที ถลึงตาดุๆ ให้เยี่ยหลี “คุณหนูช่างใจร้ายเหลือเกิน ตั้งนานก็ไม่ยอมมารับชิงซวง ชิงซวงจะไม่สนใจคุณหนูแล้ว!”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเบาๆ อย่างขอลุแก่โทษ “เด็กโง่ ตามข้ามาอยู่ซีเป่ย มีอันใดดีกัน รออยู่ที่เมืองหลวงดีๆ ไม่ดีกว่าหรือ”

 

 

ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะยึดยศถาบรรดาศักดิ์ของม่อซิวเหยาไปหมดแล้ว แต่ยังมิกล้าถอดป้ายตำหนักติ้งอ๋องออกอย่างเปิดเผย แต่เพื่อความปลอดภัย หัวหน้าพ่อบ้านม่อจึงได้เคลื่อนย้ายของสำคัญภายในตำหนักออกไปก่อน และแน่นอนว่ารวมถึงคนสำคัญภายในตำหนักด้วย

 

 

สาวใช้กลุ่มนี้ยามอยู่ที่เมืองหลวง ก็มีองครักษ์ลับคอยลอบคุ้มกันอยู่อย่างลับๆ แน่นอนว่าย่อมดีกว่าเดินทางไกลมาถึงซีเป่ย หากมิใช่เพราะม่อซิวเหยาส่งฉินเฟิงไปรับตัวพวกนางมาแล้ว เยี่ยหลีก็มิได้คิดที่จะรับพวกนางมาอยู่ที่หรู่หยาง

 

 

“หลินหมัวมัว แม่นม ลำบากให้พวกท่านเดินทางมาแล้ว” เยี่ยหลีมองแม่นมและหลินหมัวมัวที่ดูผ่ายผอมลงไปเล็กน้อย แล้วยิ่งรู้สึกผิดเป็นที่สุด เดิมทีแม่นมกับหลินหมัวมัวมีคนมารับตัวไปอยู่ที่จวนท่านลุงรอง กะว่ารอให้สถานการณ์นิ่งลงสักหน่อยก่อน แล้วจะส่งพวกนางกลับอวิ๋นโจว แต่ยามนี้กลับต้องเดินทางไกลมาถึงหรู่หยาง ต้องแยกจากครอบครัวก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องสภาพอากาศที่นี่ก็มิได้ดีไปกว่าเมืองหลวงและอวิ๋นโจว

 

 

เว่ยหมัวมัวเช็ดน้ำตา มองสำรวจหน้าท้องเยี่ยหลีด้วยความยินดี นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พระชายาพูดอันใดเช่นนั้น การได้คอยรับใช้พระชายาและซื่อจื่อน้อย ไม่มีอันใดดีไปกว่านี้อีกแล้วเพคะ ลำบากอันใดกัน หนึ่งปีมานี้พระชายา…เกิดเรื่องขึ้นมากมาย พวกเราที่อยู่เมืองหลวงต่างกินไม่ได้นอนไม่หลับ น่าเสียได้ที่อยู่ห่างไกล จึงไม่รู้อันใดเลย…”

 

 

หลินหมัวมัวพยักหน้าสำทับ “ใช่แล้ว ยามนี้หากได้มาเห็นพระชายาคลอดซื่อจื่อน้อยได้อย่างปลอดภัย ต่อไปพวกบ่าวก็มีหน้าไปพบคุณหนูได้แล้ว” คุณหนูที่หลินหมัวมัวพูด ย่อมหมายถึงมารดา สวีซื่อของเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีจับมือหลินหมัวมัว เอ่ยเบาๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้น อีกหน่อยคงต้องรบกวนหมัวมัวและแม่นมแล้ว พวกท่านเดินทางกันมาไกล เชื่อว่าคงเหนื่อยกันแล้ว ไปพักผ่อนกันก่อนสักสองสามวัน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันเถิด”

 

 

ถึงแม้หลินหมัวมัวกับแม่นมจะยังไม่อยากไป แต่อายุอานามของพวกนางก็ไม่น้อยแล้วจริงๆ เดินทางระหกระเหินมาเช่นนี้ก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย จึงจำต้องให้คนพากลับไปพักผ่อน

 

 

สาวใช้สามสี่คนที่ยังสาว ถึงแม้สีหน้าจะดูเหนื่อยล้า แต่กลับดูกระชุ่มกระชวยอย่างประหลาด พวกนางล้อมรอบเยี่ยหลี เอ่ยถามเอ่ยเล่านู่นนี่นั่นด้วยความทั้งอยากรู้และตื่นเต้นยินดีไม่ได้หยุด ไม่ง่ายเลยกว่าจะให้พวกนางสงบลงและยอมให้คนพาไปพักผ่อนได้

 

 

เมื่อเห็นห้องโถงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง เยี่ยหลีก็หันไปเอ่ยกลั้วหัวเราะกับฉินเฟิงที่ยืนอยู่ว่า “นานทีเดียวที่ไม่ได้ครื่นเครงเช่นนี้ ไม่ค่อยชินเลยจริงๆ”

 

 

ฉินเฟิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “พระชายาไม่ชอบให้คนคอยอยู่รับใช้ คนข้างกายก็ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนพระชายา แต่แม่นางเหล่านี้ติดตามข้างกายพระชายามาเป็นเวลานาน จึงสนิทสนมกับพระชายามากกว่าคนอื่นๆ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนเปลี่ยนไปถามเรื่องเป็นการเป็นงาน “ระหว่างทางกลับมานี้ เจ้าได้ยินข่าวอันใดบ้างหรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “พอเข้าใกล้ซีเป่ยก็ได้ยินข่าวเล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง เพียงแต่ที่พวกเราเดินทางมานี้ไม่ได้ใช้เส้นทางของทางการ จึงมิได้มีข่าวอันใดสำคัญ มีเพียงข่าวเรื่องสมบัติของราชวงศ์ก่อนที่เริ่มได้ยิน หรือจะบอกว่าแพร่มาจากเมืองหลวง แต่กลับมิได้เริ่มแพร่ออกมาจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า คณะของฉินเฟิงเดินทางมาด้วยความเร็วที่ไม่ช้านัก ยามที่เขาออกมาจากเมืองหลวง ยังไม่ได้ยินข่าวนี้ แต่เมื่อเดินทางมาใกล้ซีเป่ย ข่าวกลับแพร่ไปจนรู้กันทั่วใต้หล้า ข่าวเหล่านี้แน่นอนว่ามิได้แพร่ออกมาจากเมืองหลวงเพียงแห่งเดียว เกรงว่าคงมีคนลอบกระจายข่าวมาจากทั่วทุกสารทิศ

 

 

เยี่ยหลียิ้มเย็น พร้อมส่งเสียงหึเบาๆ “ท่านอ๋องพูดถูก ถานจี้จือช่างรีบหาที่ตายเสียจริง!”

 

 

ดูเหมือนเด็กในท้องจะรับรู้ได้ถึงความโกรธของมารดา เยี่ยหลีรู้สึกเพียงเด็กในท้องเตะติดๆ กันสองครั้ง นางขมวดคิ้ว อมยิ้มยื่นมือไปลูบปลอบลูกน้อยอย่างทำอันใดไม่ได้ เด็กคนนี้ดูร่าเริงตั้งแต่อยู่ในท้อง ต่อไปจะต้องเป็นเด็กแสบที่ซุกซนมากอย่างแน่นอน

 

 

ฉินเฟิงมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาคิดจะพูดอันใดบางอย่างแต่ก็หยุดไว้

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา “มีเรื่องอันใดก็พูดมาตรงๆ เถิด หัวหน้าผู้บัญชาการฉินมีอันใดต้องเขินอายหรือ”

 

 

ใบหน้าคมของฉินเฟิงแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความใคร่รู้ “คงมิใช่ว่าข้าเดาถูกใช่หรือไม่ ที่หัวหน้าผู้บัญชาฉินเดินทางไปครานี้ ไปเจอสาวผู้ใดถูกใจเข้าหรือ”

 

 

ฉินเฟิงได้แต่ยิ้มขื่นๆ “พระชายาอย่าได้ล้อเลียนข้าน้อยเลย แค่เพียงระหว่างทางข้าน้อยได้ช่วยคนผู้หนึ่งไว้ และพากลับมาที่เมืองหรู่หยางโดยที่ยังมิได้ขออนุญาตพระชายา พระชายาได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ช่วยคนผู้หนึ่งไว้? หรือว่าเป็นคนที่เคยรู้จักกัน” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถาม

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า เอ่ยว่า “เป็นแม่นางเหยาจีพ่ะย่ะค่ะ พระชายายังจำได้หรือไม่”

 

 

แน่นอนว่าเยี่ยหลีย่อมจำได้ นางประคองหน้าท้องพร้อมนั่งลง เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้น เจ้าเล่ามาตั้งแต่ต้นซิ”

 

 

ฉินเฟิงถึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟัง ที่แท้หลังจากฉินเฟิงไปรับหัวหน้าพ่อบ้านม่อมาแล้ว ก็พาคนเดินทางหลบเส้นทางหลวง และเร่งเดินทางในยามค่ำคืน เมื่อไปถึงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปสามร้อยลี้ ก็ไปพบกับเหยาจีที่ถูกคนตามฆ่าอยู่ จะเรียกว่าตามฆ่าก็ไม่ถึงเพียงนั้น ยามนั้นเหยาจีปกป้องลูกของนางอย่างเอาเป็นเอาตา อีกฝ่ายดูต้องการจะแย่งเด็กผู้นั้นไปเสียมากกว่า เพียงแต่เหยาจีขัดขืนอย่างเต็มที่ จนในที่สุดก็ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนคิดอยากสังหารนางแล้วค่อยเอาตัวเด็กไป

 

 

ฉินเฟิงเองก็เคยเจอเหยาจีมาสองสามครั้ง ย่อมมิอาจทนเห็นนางตายโดยไม่ช่วยอันใดได้ ถึงเข้าไปไล่คนกลุ่มนั้นไปแล้วช่วยเหยาจีออกมา เพียงแค่ความงามของเหยาจีนั้นโดดเด่นเกินไป ยามนี้ทั่วทุกหนแห่งต่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นางพาบุตรไปด้วยก็ดูจะไม่มีที่ให้ไปจริงๆ ฉินเฟิงถึงได้พานางกลับมาด้วย

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “ข้านึกว่าเรื่องอันใด เรื่องของเหยาจีได้ให้ผู้ใดไปสืบแล้วหรือยัง”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “วันนั้นข้าน้อยได้สั่งให้องครักษ์ลับไปสืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ มิได้มีอันใดน่าสงสัย”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “แต่ไหนแต่ไรมา เจ้าทำอันใดก็เชื่อถือได้ เหยาจีก็ถือเป็นคนที่เคยรู้จักมาก่อน พากลับมาก็พากลับมาเถิด เพียงแต่คิดแล้วหรือยังว่าจะให้นางไปอยู่ที่ใด”

 

 

ฉินเฟิงดูปวดหัวไม่น้อย เขาคิดแค่อยากช่วยคนออกมา ไฉนเลยจะเคยคิดเรื่องจะให้นางไปอยู่ที่ใด

 

 

เยี่ยหลีปิดปากหัวเราะ “เหยาจีถูกคนตามฆ่าคงหลบหนีมาด้วยความรีบร้อน มิเช่นนั้นด้วยความสามารถของนาง ไม่มีทางย่ำแย่เช่นนี้อย่างแน่นอน หากนางพอมีเงินติดตัว เจ้าก็ช่วยนางหาที่อยู่กับงานให้นางทำก็แล้วกัน เจ้าเห็นว่านาง…”

 

 

“ยามที่ข้าน้อยช่วยนางกลับมานั้น เห็นนางใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ดูผ่ายผอม เกรงว่าจะไม่มีเงินทองติดตัวพ่ะย่ะค่ะ” แล้วฉินเฟิงก็เข้าใจขึ้นในทันใด พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่เอ่ยเตือน ข้าน้อยเข้าใจแล้ว กลับไปข้าน้อยจะไปหาที่ทางให้นางพักอาศัย ข้าน้อยยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ให้นางใช้ไปพลางๆ ก่อนได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีนึกอยากเขกกะโหลกทื่อๆ ของฉินเฟิงเสียให้ได้ นางกรอกตาใส่เขาก่อนเอ่ยว่า “นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่มีลูกติดมาด้วย นางจะยอมรับน้ำใจจากหัวหน้าผู้บัญชาการฉินได้อย่างไร ถึงก่อนหน้านี้นางจะเป็นหญิงคณิกา แต่ยามนี้นางมีบุตรแล้ว จะไม่คิดถึงบุตรได้อย่างไร กว่านางจะมาถึงที่นี่ก็ไม่ง่าย ย่อมไม่สามารถกลับไปทำงานเดิมได้อีก ชื่อเสียงอย่างสตรีของนางจะยังรักษาไว้หรือไม่”

 

 

นอกเสียจากฉินเฟิงคิดจะแต่งงานกับนาง มิเช่นนั้นแล้วอย่าได้มีน้ำใจกับนางมากเกินไปนักจะดีกว่า

 

 

ฉินเฟิงรู้สึกสิ้นหวัง มองเยี่ยหลีอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี ให้เงินก็ไม่ได้ ไม่ให้เงินก็ไม่ได้ เหตุใดช่วยคนถึงได้ยุ่งยากกว่าไปออกรบอีกนะ

 

 

เยี่ยหลีถอนหายใจ เอ่ยว่า “ไปเชิญแม่นางเหยาจีมาที บางทีตัวนางเองอาจมีแผนในใจแล้วก็ได้”

 

 

เหยาจีมิใช่กุลสตรีที่ไม่มีหัวคิด ถึงแม้จะพบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง และไม่เห็นด้วยกับนางในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ทำให้นางไม่รู้สึกชื่นชมในความพิเศษของเหยาจี

 

 

ฉินเฟิงถึงกับเบาใจ พระชายายอมเข้ามายุ่ง ย่อมดีอยู่แล้ว เข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้เหยาจีไปอยู่ที่ใด

 

 

“ขอบพระคุณพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”