ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 182
ราชวงศ์ต้าโจวไม่ควรทำการตัดสินใจเช่นนี้ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะขึ้นครองราชย์ไม่ช้าก็เร็ว แต่ว่าจวบจนถึงตอนนี้ความสามารถขององค์รัชทายาทนั้นยังไม่มากพอ ไม่อาจดำรงคำแหน่งองค์จักรพรรดิได้ อย่างน้อยขั้นต่ำยังต้องขัดเกลาอีกนับสิบปี
ถ้อยคำนี้ได้ยินไปถึงหูของหวงไท่โฮ่วด้วย ทำให้หวงไท่โฮ่วไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก
ฮองเฮาเฝ้าดูสีหน้าของหวงไท่โฮ่วมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่านางแสดงสีหน้าเช่นนั้น ก็รู้ได้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ นางยิ้มอย่างเย็นชา อย่างที่คาดไว้ นางไม่เคยคิดที่จะให้องค์รัชทายาทปกครองบ้านเมือง ดูท่าแล้วที่ท่านพ่อดึงคนมากมายเข้ามาเป็นพวกจะเป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ
หลังจากได้ยินคำพูดของเหลียงไท่ฟู่ อ๋องอันก็พูดเสียงเรียบว่า “ไท่ฟู่จะกังวลไปใย? องค์รัชทายาทย่อมจะไม่ถือสาท่านอ๋องอยู่แล้ว พวกเราก็เช่นกัน ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด จะว่าไปแล้วท่านอ๋องก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย”
หวงไท่โฮ่วกล่าว “เอาล่ะ อย่ามัวยืนกันอยู่เลย ท่านอ๋องเชิญนั่ง!”
อ๋องฉีมองไปที่หวงไท่โฮ่ว และนึกได้ว่ายังไม่ได้แสดงความเคารพ เขารีบก้าวไปข้างหน้า “ราชทูตเป่ยโม่ขอถวายบังคมหวงไท่โฮ่วแห่งต้าโจว ขอให้พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรง มีอายุยืนยาวและเจริญรุ่งเรืองพ่ะย่ะค่ะ”
หวงไท่โฮ่วยิ้มและกล่าว “ท่านอ๋องรีบลุกขึ้นเร็วเข้า เป็นคนกันเอง ไม่ต้องพิธีรีตองมากมายนัก รีบนั่งลงเถิด”
อ๋องฉีนั่งลงและมองดูคนจำนวนมากที่หนาแน่น แรงกดดันในคืนนี้มากกว่าการต้อนรับขององค์จักรพรรดิด้วยตัวพระองค์เองในวันนั้นเสียอีก
ใจเขารู้สึกหวิว ๆ ว่างานเลี้ยงต้อนรับในคืนนี้ จะเป็นการเปิดฉากการนองเลือดขึ้นมา
ที่นอกชานเมือง
ตั้งแต่วันนี้เที่ยง จื่ออันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ก่อนหน้านี้องครักษ์ที่รักษาการอยู่ด้านนอกไม่เคยเข้ามาเลย แต่วันนี้พวกเขาไป ๆ มา ๆ กลับมีคนเข้าออกหลายกลุ่ม อีกทั้งทุกครั้งที่องครักษ์เข้ามา นางไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ด้วย
เซียวท่าและซูชิงก็ไม่มีสีหน้าท่าทางที่ดูผ่อนคลายเหมือนแต่ก่อน พวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น
ขณะที่ทำอาหารเย็น ซูชิงก็ไม่ได้เข้ามาช่วย แต่ไปปรึกษาพูดคุยกับมู่หรงเจี๋ยและเซียวท่าในห้องแทน
ตอนที่นางผ่านเข้าออก นางได้ยินคำพูดที่คลุมเครือเช่นว่า ระดมไพร่พลทหารและม้า และการสกัดกั้น อีกทั้งมู่หรงเจี๋ยยังออกคำสั่งทางทหารอีกด้วย
จื่ออันรู้สึกไม่ค่อยวางใจ พวกเขาจะกลับไปแล้วหรือ? แต่กลับไม่ได้บอกนางล่วงหน้า
อาการบาดเจ็บของมู่หรงเจี๋ยยังไม่หายดี หากใช้กำลังจนทำให้บาดแผลปริออกจากกันอีกครั้ง นั่นคงไม่ใช่เรื่องสนุกเหมือนก่อนหน้านี้
หลังทำอาหารเสร็จ นางก็เข้าไปเคาะประตู “ได้เวลาทานข้าวแล้ว พวกท่านคุยกันเสร็จหรือยัง?”
ซูชิงออกมาเปิดประตู และยืดเส้นยืดสาย “มีของอร่อยหรือไม่? คืนนี้ยังมีซาซิมิอยู่ไหม?”
จื่ออันส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
นางมองไปที่มู่หรงเจี๋ย ปราศจากความตึงเครียดและความเคร่งขรึมในช่วงก่อนทำสงครามแม้แต่น้อย
จื่ออันรู้สึกว่าตนเองนั้นอาจจะเดาผิดแล้ว พวกเขาน่าจะวางกองกำลังไว้สำหรับอนาคต ใช่ไหม?
ในฐานะหมอ นางไม่แนะนำให้มู่หรงเจี๋ยออกจากที่นี่ในตอนนี้
ดูเหมือนว่ามู่หรงเจี๋ยจะรู้สึกถึงการจ้องมองของจื่ออัน เขาลืมตาขึ้น ดวงตาดำขลับของเขาล็อกจื่ออันไว้ และยกมือขึ้น “มานี่ซิ!”
จื่ออันเดินเข้าไปหา “ท่านอ๋อง มีอะไรจะสั่งหรือ?”
มู่หรงเจี๋ยมองไปที่นาง “หลังอาหารเย็น เจ้าช่วยพันบาดแผลที่ค่อนข้างลึกของข้าให้ด้วย พันให้ดี ๆสักหน่อย”
จื่ออันหายใจติดขัดเล็กน้อย “ท่านอ๋อง อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี ไม่อาจ…”
“เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนที่พูดมากแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” มู่หรงเจี๋ยมองนางอย่างดุ ๆ “ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ ไม่ได้จะไปทำสงครามเสียหน่อย ก็แค่พันแผลให้ข้าดี ๆ ให้ข้าปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าใต้เท้าทั้งหลาย ให้ดูเจิดจรัสขึ้นมาบ้าง”