ตอนที่ 200-2 ชื่อเล่นและการทำคลอดของเจ้าตัวเล็ก

ชายาเคียงหทัย

ที่ฉินเฟิงกลับเมืองหลวงไปครานี้ ไม่ได้รับกลับมาพร้อมสาวใช้ที่คอยรับใช้ข้างกายเยี่ยหลีกับคณะของหัวหน้าพ่อบ้านม่อเท่านั้น แต่ยังมีอนุรักและลูกรักของรองผู้บัญชาการหน่วยอวี้หลินอีกด้วย

 

 

เซวียเฉิงเหลียงที่เดิมเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดปาก เมื่อได้เห็นอนุรักที่บอบบางและงดงามกับบุตรชายวัยสองขวบที่น่ารักและเฉลียวฉลาดของตนก็ฝืนต่อไปไม่ได้ ยอมเปิดเผยออกมาเองทั้งหมดโดยไม่ต้องทรมานเลยแม้แต่น้อย

 

 

ภายในคุกใต้ดิน ม่อซิวเหยายังคงนั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ มองภาพที่ครอบครัวได้พบหน้ากันด้วยสายตาเยือกเย็น โดยมีเฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิงยืนอยู่ด้านหลัง มองภาพเขาปลอบโยนภรรยาที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

 

 

เซวียเฉิงเหลียงลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ท่านอ๋องอยากรู้อันใด ข้าสามารถบอกท่านได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าอย่างไร ขอท่านอ๋องได้โปรดอย่าทำร้ายลูกกับเมียข้า”

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ ข้ารับปาก ขอเพียงเจ้าบอกเรื่องที่ข้าอยากรู้มา ข้าก็จะไม่ทำร้ายลูกกับเมียเจ้า และจะให้พวกนางได้อยู่ในที่ที่สะดวกสบาย”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงหัวเราะหึหึ “เมื่อท่านอ๋องรับปากด้วยตนเอง ข้าน้อยย่อมเชื่อใจท่าน ท่านอ๋องเชิงถามมาเถิด”

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมือให้คนมานำตัวสองแม่ลูกออกไปก่อน เมื่อภายในคุกใต้ดินเงียบสงบลงแล้วถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดม่อจิ่งฉีต้องทุ่มเทกำลังคนจำนวนมากเช่นนี้เพื่อช่วยซูจุ้ยเตี๋ย?”

 

 

พูดจบ ไม่เพียงเซวียเฉิงเหลียงที่อึ้งไป แม้แต่เฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิงก็อดอึ้งไปด้วยไม่ได้

 

 

เฟิ่งจือเหยาหันมองม่อซิวเหยาแล้วได้แต่ลอบคิดในใจว่า ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้ยังตัดใจจากซูจุ้ยเตี๋ยไม่ขาดกระมัง

 

 

ดูเหมือนสีหน้าท่าทางของเฟิงจือเหยาจะแสดงออกชัดเจนเกินไป ม่อซิวเหยาจึงปรายตาเย็นเยียบไปกวาดมองเขารอบหนึ่ง

 

 

เฟิ่งจือเหยารู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หลังทันที เขากระแอมไอเบาๆ ก่อนปรับสีหน้าของตนให้กลับมามองเซวียเฉิงเหลีงด้วยความเคร่งเครียดเช่นเดิม

 

 

เซวียเฉิงเหลียงดูคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้ เขามองสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ฮ่องเต้ทรงรู้จักกับซูจุ้ยเตี๋ยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่เท่าไร ก็ได้เคยตรัสกับใต้เท้าซูว่าจะรับคุณหนูซูเข้ามาเป็นสนมในวัง แต่ถูกใต้เท้าซูปฏิเสธ”

 

 

ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าคิดจะบอกข้าว่า ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความรักครั้งเก่าที่ยากจะลืมเลือน ถึงได้ส่งคนจำนวนมากเหล่านั้นมาช่วยนาง?”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงนิ่งไป เขาเองก็รู้ดีว่าคำตอบของเขาฟังดูแปลกประหลาด เพียงใด เขาติดตามม่อจิ่งฉีมาตั้งแต่เขายังไม่ขึ้นครองราชย์ ย่อมรู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร ต่อให้ซูจุ้ยเตี๋ยงดงามกว่านี้สักร้อยเท่า ม่อจิ่งฉีก็ไม่มีทางลงทุนลงแรงมากมายเช่นนั้นเพื่อมาช่วยหญิงงามคนหนึ่งอย่างแน่นอน

 

 

เซวียเฉิงเหลียงคิดไปคิดมา ก็เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องอยากรู้เรื่องอันใดหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงสำรวจนิ้วมือที่เรียวยาวของตน “เช่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูจุ้ยเตี๋ย ฮ่องเต้และถานจี้จืออย่างไร”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงขมวดคิ้ว “ถานจี้จือจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายฮ่องเต้เมื่อสิบปีก่อน ฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ถึงได้มองว่าเขาเป็นมันสมองของพระองค์ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณหนูซูเป็นเช่นไรนั้นข้าไม่รู้ รู้เพียงว่าพวกเขาก็รู้จักกัน”

 

 

“ฐานะที่แท้จริงของถานจี้จือคือเป็นทายาทกำพร้าของราชวงศ์ก่อน เช่นนั้น เจ้าบอกข้าแล้วกันว่า เพราะเหตุใดม่อจิ่งฉีถึงได้เชื่อใจเขาถึงเพียงนั้น เรื่องนี้ มิใช่ว่าผู้บัญชาการเซวียก็ไม่รู้ด้วยกระมัง”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซวียเฉิงเหลียงก็หน้าถอดสีทันที ตาค้างมองม่อซิวเหยาด้วยความตื่นตกใจโดยไม่รู้ตัว

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเย็นๆ คิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเย็นว่า “เฟิ่งซาน จับเด็กที่อยู่ข้างนอกคนนั้นเข้ามาให้ข้า!”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงตกใจ รีบร้อนเอ่ยว่า “อย่า! ท่านอ๋อง ข้าขอร้องท่านปล่อยเด็กคนนั้นไปเถิด ท่านอยากรู้เรื่องใด ข้าจะบอกท่านให้หมด”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ซูจุ้ยเตี๋ยอยู่ในมือข้า แต่สองเดือนมานี้มีคนบุกเข้ามานับไม่ถ้วน ถานจี้จือคิดอยากฆ่านาง ฮ่องเต้คิดอยากช่วยนาง ข้าไม่รู้ว่าแค่สตรีนางหนึ่ง เหตุใดถึงได้ดูสลักสำคัญเพียงนี้ บางทีเจ้าอาจยินดีช่วยให้ข้าหายสงสัย?”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงหน้าขาวซีดประหนึ่งกระดาษ หันมองประตูคุกที่ปิดสนิทอยู่ ภรรยาและบุตรของเขาอยู่ที่หน้าประตูนั่น หากเขาพูดอันใดผิดไปสักประโยค คงทำให้พวกนางตกลงไปอยู่ในหลุมลึกที่ไม่อาจกลับขึ้นมาได้

 

 

เซวียเฉิงเหลียงหลับตาลงอย่างหมดแรง จนในที่สุดก็เอ่ยออกมาว่า “ข้ารู้ไม่มากนัก จำได้เพียงว่ามีอยู่วันหนึ่งข้าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้ไปนำของชิ้นหนึ่งมาจากคุณหนูซู จากนั้นให้มอบให้ถานจี้จือ”

 

 

ม่อซิวเหยาหรี่ตาลง “นั่นคือสิ่งใด”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ เพียงแต่…ของสิ่งนั้นเป็นของที่เอามาจากตำหนักติ้งอ๋อง จากนั้นใต้เท้าถานก็เดินทางไปเป่ยหรงเพียงคนเดียว หนึ่งเดือนต่อมา…ติ้งอ๋องรุ่นก่อนกับกองทัพตระกูลม่อก็ทำศึกพ่ายแพ้ย่อยยับอยู่ที่เป่ยหรง ดังนั้นข้าจึงเดาว่า…น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน”

 

 

พอพูดจบ เซวียเฉิงเหลีงก็ตัวอ่อนลงกับพื้นประหนึ่งหมดแรง ถึงแม้เขาจะมิใช่คนดี แต่ก็มิใช่คนวิกลจริตที่ไม่มีมนุษยธรรมเอาเสียเลย ในปีนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นกับตำหนักติ้งอ๋อง เขาก็รู้สึกตะหงิดๆ ในใจว่า ต้องมีสักวันที่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีก แต่ไม่คิดว่าจะต้องรอถึงสิบปี

 

 

ภายในคุกเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงถ่านแตกปะทุที่ดังลอยมาไม่ไกลนัก

 

 

ม่อซิวเหยาหลุบตาลง เอนตัวพิงเก้าอี้บุนวม เส้นผมสีขาวเงินกลุ่มหนึ่งทิ้งตัวอยู่ข้างใบหู ทำให้ยากที่จะดูออกว่าสีหน้าเขาเป็นเช่นไร

 

 

แต่เฟิ่งจือเหยาและฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่า เส้นผมกลุ่มนั้นมีการขยับทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดมา แรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาทำให้ทั้งสองก้าวถอยหลังกันคนละหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว และต่างผินหน้าไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ

 

 

พักใหญ่ ในขณะที่คนในห้องทั้งสามแทบจะหยุดหายใจไปแล้วนั้น ก็ได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเย็นว่า “พูดต่อ”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงใบหน้าซีดขาว มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ติ้งอ๋องจะฝึกวิชาจนสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว อาศัยเพียงส่งกำลังภายในผ่านอากาศมาก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บภายในจนกระอักเลือดออกมาได้

 

 

เขาส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยามนั้นข้าเป็นเพียงองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ เรื่องที่รู้จึงมีไม่มากนัก ที่ฮ่องเต้ทรงต้องการช่วยคุณหนูซู ก็ด้วยเพราะยามนั้นดูเหมือนนางจะหยิบของสองชิ้นออกมาจากตำหนักติ้งอ๋อง เพียงแต่นางให้ฝ่าบาทเพียงชิ้นเดียว ส่วนอีกชิ้นหนึ่งยังอยู่กับคุณหนูซู ส่วนเรื่องอื่นๆ…ข้าเองก็ไม่รู้”

 

 

“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเรียกด้วยความระมัดระวัง ม่อซิวเหยาที่นิ่งเงียบดูน่าเกรงกลัวกว่ายามที่ระเบิดอารมณ์เสียอีก ถึงแม้สัญชาตญาณเขาจะรู้ว่าม่อซิวเหยาไม่มีทางทำอันใดพวกตน แต่…เฟิ่งจือเหยาสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง พร้อมค่อยๆ กำมือในแขนเสื้อที่สั่นน้อยๆ

 

 

“ฉินเฟิง ไปจัดการซูจุ้ยเตี๋ย ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด และไม่สนว่าเจ้าจะทำอย่างไร ภายในวันนี้ให้นางคายคำตอบออกมาให้ได้!”

 

 

ฉินเฟิงถึงกับใจสั่น พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”

 

 

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล “ท่านอ๋อง ปากซูจุ้ยเตี๋ยนั้นมิได้แข็งธรรมดา หากเกิด…”

 

 

“เช่นนั้นก็ให้นางตายไปซะ!” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างโกรธจัด “หากถามออกมาไม่ได้ ก็ส่งหน่วยกิเลนทั้งหมดออกไป ไปเอาตัวคนใกล้ชิดของม่อจิ่งฉีมาให้หมด! ข้าไม่เชื่อหรอกว่า จะไม่มีผู้อื่นที่รู้เรื่องนี้!”

 

 

“ข้าน้อยรับบัญชา!” ฉินเฟิงพยักหน้า ก่อนรีบหมุนตัววิ่งกลับออกไปจากคุกใต้ดิน

 

 

“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งจือเหยารับรู้เพียงลำคอที่แห้งผาก ไม่รู้จะพูดอันใดดี

 

 

ข่าวที่เซวียเฉิงเหลียงคายออกมานั้น ช่างเป็นข่าวที่น่าตกใจเกินไปจริงๆ

 

 

ในขณะที่สถานการณ์ดูย่ำแย่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงเจือแววยินดีของหัวหน้าพ่อบ้านม่อดังลอยเข้ามา “ท่านอ๋อง เรียนท่านอ๋อง พระชายาจะคลอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไป ถลันกายขึ้นทันที

 

 

เฟิ่งจือเหยารู้สึกเพียงภาพข้างหน้าสว่างจ้าไปหมด แล้วภายในคุกก็ไม่มีร่างของม่อซิวเหยาให้เห็นอีก

 

 

โครม…!

 

 

เก้าอี้บุนวมที่เคยอยู่ในสภาพดี แตกกระจายกลายเป็นของไร้ค่ากองหนึ่งทันที

 

 

เมื่อเห็นซากเก้าอี้และเศษไม้ที่ปลิวว่อนไปถูกเซวียเฉิงเหลียงจนมีรอยแผลเต็มไปหมด เฟิ่งจือเหยาจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผู้บัญชาการเซวียอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากพระชายาคลอดซื่อจื่อออกมาแล้ว ท่านอ๋องอารมณ์ดี เจ้าอาจยังพอมีทางรอด”

 

 

เซวียเฉิงเหลียงยิ้มขื่น หันมองเฟิ่งจือเหยาแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายเฟิ่งซานมากที่ปลอบใจ หลักจากเกิดเรื่องในปีนั้น ข้าเองก็ไม่สบายใจอยู่หลายปี มักรู้สึกว่าวันนี้ต้องมาถึง ข้าน้อยไม่ขอทางรอดให้ตนเอง แต่ภรรยากับบุตรของข้าน้อยเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอเพียงให้ท่านอ๋องไว้ชีวิตพวกเขา”

 

 

เฟิ่งจือเหยานิ่งไป ความจริงที่เซวียเฉิงเหลียงพูดออกมานั้น เป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไปจริงๆ หากท่านอ๋องยังไม่ตัดสิน ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดอันใดขึ้น

 

 

เฟิ่งจือเหยาหันมองเซวียเฉิงเหลียงทีหนึ่ง ก่อนหมุนตัวก้าวออกจากคุกไป