บทที่ 332 ผีดิบ

เยวี่ยหงโป๋ลองคิดดูแล้วก็ว่าใช่ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคนนี้ ถ้าได้เห็นเพื่อนร่วมห้องเช่าตัวเองต้องตายไปอย่างทุกข์ทรมาน เขาคงไม่มีทางกลับมาอยู่ในบ้านหลังเดิมง่าย ๆ แบบนี้อย่างแน่นอน

ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้เป็นแค่คนธรรมดา ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ก็คงไม่มีใครจิตใจแข็งแกร่งขนาดนี้แน่

“ท่านอา แล้วพวกเราควรจะทำยังไงดี” เยวี่ยหงโป๋ถาม ตอนนี้เขาเรียกฉู่ชวิ๋นว่าท่านอาจนชินปากไปแล้ว

แต่ฉู่ชวิ๋นยังคงรู้สึกอึดอัดอยู่ดี เขาตอบไปว่า “รอดูไปก่อน”

เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมง

พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ราตรีกาลกำลังคืบคลานเข้ามา

“เธอออกมาแล้ว” เยวี่ยหงโป๋ว่า

หญิงสาวผู้นั้นแต่งตัวสวยออกมาจากบ้าน

“ตามเธอไป” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง

พวกเขาแอบสะกดรอยตามเธอแบบทิ้งช่วงระยะไกล

“นี่เธอ…เธอ”

เยวี่ยหงโป๋ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงคนนี้เดินทางมาที่ไนท์คลับ! จากข้อมูลที่สืบมาได้ก็คือเธอทำงานอยู่ที่นี่ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า เธอเพิ่งสูญเสียเพื่อนไปถึง 3 คน แต่ยังมีกะจิตกะใจแต่งตัวสวยมาทำงานอีกหรือ

ถ้าไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งดังภูผา ก็หมายความว่าเธอมีปัญหาแล้วจริง ๆ

ฉู่ชวิ๋นกับเยวี่ยหงโป๋ติดตามเธอเข้าไป

เนื่องจากเกิดเหตุคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง คนจำนวนมากจึงไม่กล้าออกจากบ้านในตอนกลางคืน ธุรกิจของไนท์คลับจึงได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ

ไนท์คลับมีขนาดไม่เล็กมาก ด้านในแบ่งแยกพื้นที่เอาไว้หลายโซน

หญิงสาวผู้รอดชีวิตเดินเข้าไปที่ฟลอร์เต้นรำ และเริ่มโยกย้ายส่ายเอวไปตามจังหวะเสียงเพลง

ฉู่ชวิ๋นเห็นแล้วก็รู้สึกเวียนหัว ไม่ใช่เป็นเพราะลีลาของหญิงสาว แต่เป็นเพราะเขาพบว่าสภาพแวดล้อมที่มีเสียงวุ่นวายไม่เหมาะสมกับตนเองเลยสักนิด ตั้งแต่ที่โลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มก็ใช้เวลาในแต่ละวันอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ลืมเลือนไปแล้วว่าแสงสีในเมืองใหญ่มันเป็นเช่นนี้นี่เอง

ทั้งสองคนเดินไปนั่งอยู่ที่มุมร้าน

หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ หญิงสาวผู้รอดชีวิตก็เดินออกมาจากฟลอร์เต้นรำ

เยวี่ยหงโป๋ต้องการจะติดตามเธอไป แต่ฉู่ชวิ๋นก็ห้ามเอาไว้ก่อน เขาใช้พลังจิตสำรวจพื้นที่โดยรอบเอาไว้แล้ว จึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสหลบหนีไปได้

พวกเขานั่งอยู่ที่นี่เป็นเวลาอีกหลายชั่วโมง

หญิงผู้รอดชีวิตค่อนข้างมีงานยุ่ง เธอเดินกลับไปกลับมาระหว่างโต๊ะของแขก คอยแนะนำเครื่องดื่มและนั่งดื่มร่วมกับแขกเป็นระยะ

“น่าเบื่อจังเลย แบบนี้เราเสียเวลาเปล่าเลยนะครับ” เยวี่ยหงโป๋พึมพำ

“นายไม่เคยมาเที่ยวในที่แบบนี้เหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความสงสัย

เยวี่ยหงโป๋หน้าแดงก่ำตอนที่ตอบว่า “ผมเคยมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็มาทำงานทั้งนั้น พ่อเข้มงวดกับพวกเรามาก ไม่ว่าจะเป็นลูก ๆ หรือตัวท่านเอง ก็ห้ามมาที่สถานที่เริงรมย์เด็ดขาด”

“งั้นนายน่าจะพาพ่อมานั่งเล่นที่นี่บ้างนะ บางทีเขาอาจจะชอบที่แบบนี้ก็ได้” ฉู่ชวิ๋นแกล้งอีกฝ่าย

เยวี่ยหงโป๋ถึงกับตะลึงงันและรีบตอบทันทีว่า “ไม่ได้ครับ พ่อผมอุทิศตัวให้กับการฝึกฝนวิชาเสมอ”

ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออก เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง

“เห้อ พวกเราไปกันเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพลันลุกขึ้นยืน

เยวี่ยหงโป๋ทำหน้าแปลกใจ “แต่เธอยังไม่ได้ออกจากร้านเลยนะครับ?”

นี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว แขกที่มาเที่ยวเริ่มทยอยกลับบ้าน ถ้าไม่กลับอีกฝ่ายจะสงสัยได้ ฉู่ชวิ๋นคิดแบบนี้

“เราจะไปรอเธอที่ข้างนอก” ฉู่ชวิ๋นพูดสบาย ๆ

ไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกมาดักรออยู่ที่หน้าร้าน หญิงผู้รอดชีวิตก็เดินออกมาพร้อมด้วยหญิงสาวหน้าตาดีอีกหลายคน

“ฉันพาพวกเธอไปหาอะไรกินรอบดึกกันดีไหม แถวนี้มีคาเฟ่อยู่อีกไม่ไกลด้วย เป็นร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะ” หญิงผู้รอดชีวิตพูด

หญิงสาวคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วย เนื่องจากหลายคนเคยไปนั่งทานขนมในคาเฟ่ที่หญิงสาวผู้รอดชีวิตกล่าวถึงมาแล้ว

“ไปทางถนนใหญ่ดีกว่านะ ซอยนี้มืดจะตาย ไม่ได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงหลังหรือไง น่ากลัวออก”

ในขณะที่หญิงสาวผู้รอดชีวิตเดินนำทุกคนเข้าไปในซอยมืดแห่งหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มก็พูดขึ้นอย่างไม่อยากไป

“เธอจะกลัวอะไรยะ? ไปทางนี้ประหยัดเวลาไปครึ่งชั่วโมงเลยนะ ถ้าขึ้นถนนใหญ่เราต้องเดินอ้อมกันขาลากแน่” หญิงผู้รอดชีวิตพยายามโน้มน้าว

และในที่สุด ทุกคนก็เชื่อฟังหญิงผู้รอดชีวิต

กลุ่มหญิงสาวเดินเข้าไปในซอยมืด เสาไฟฟ้าข้างทางดับมืดเปิดไม่ติด แล้วเงาร่างของพวกเธอก็กลืนหายเข้าไปในความมืดมิด

ทันใดนั้นเอง หญิงผู้รอดชีวิตก็หยุดชะงัก

“หยุดเดินทำไมเนี่ย? รีบไปต่อสิ แถวนี้มืดจะตาย ฉันขนหัวลุกหมดแล้ว” หญิงสาวในกลุ่มคนหนึ่งพูดออกมา

หญิงสาวผู้รอดชีวิตหันกลับมายิ้มมุมปากและตอบว่า “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น พวกเธอต้องอยู่ที่นี่”

กลุ่มหญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบรับคำใด หนึ่งในนั้นก็ยกมือชี้ไปข้างหน้าและส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

แล้วคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็กรีดร้องตามกัน

แต่เสียงกรีดร้องของพวกเธอถูกมวลพลังงานสีดำในอากาศดูดซับเอาไว้ จึงไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องนี้เลย

อสูรกายร่างสูงหลายเมตร มีผิวหนังเป็นสีม่วงคล้ำ มีเขี้ยวแหลมและมีดวงตาสีแดงก่ำ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเธอ!

“นายท่าน!” หญิงสาวผู้รอดชีวิตค้อมศีรษะ ดวงตาของเธอเป็นประกายสีแดงฉาน

“ทำได้ดีมาก!” อสูรกายพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจนแทบไม่มีใครได้ยิน

“ขอบคุณมากค่ะ นายท่าน” หญิงสาวผู้รอดชีวิตถอยไปยืนอยู่ข้างทางและพูดด้วยน้ำเสียงเคารพสุดหัวใจ “นายท่าน เชิญรับประทานอาหารได้ค่ะ”

อสูรกายหัวเราะในลำคอ พูดว่า “ถ้าได้หัวใจสตรีเพิ่มอีก 7 ดวงแบบนี้ ข้าก็จะสามารถคืนพลังได้ทั้งหมดแล้วและข้าจะปกป้องเจ้าไปตลอดกาล”

หญิงสาวผู้รอดชีวิตพยักหน้า ในดวงตาของเธอปรากฏความเลื่อมใสมากขึ้นกว่าเดิม

อสูรกายตัวนี้มีแขนที่แปลกประหลาดมาก แขนของมันยาวเลยหัวเข่า ไม่มีฝามือ มีแต่กรงเล็บแหลมห้าแฉกที่คมเหมือนมีด

กรงเล็บแหลมนี้เองที่สามารถควักหัวใจหญิงสาวได้อย่างรวดเร็ว

แต่ในตอนที่กรงเล็บของมันจ้วงแทงลงไปหมายจะควักหัวใจหญิงสาวคนหนึ่งออกมา เจ้าอสูรกายก็ต้องถอยหลังไปหลายก้าว

ตู้ม!

พื้นบริเวณที่มันเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ถูกพลังลมปราณสีขาวระเบิดพื้นจะเป็นหลุมลึก

ฉู่ชวิ๋นกับเยวี่ยหงโป๋เดินเข้ามาในซอยมืด

พลังลมปราณสีขาวสายนี้ พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเยวี่ยหงโป๋

“แก!” หญิงผู้รอดชีวิตมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความประหลาดใจ

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะ “ฉันเคยคิดว่าเธอน่าสงสาร แต่ไม่นึกเลยว่าจะใจดำอำมหิตขนาดนี้ ฉันสังหรณ์ไม่ผิดจริง ๆ ว่าเธอไม่ใช่ตัวดีแน่นอน”

“บัดซบ พวกมันสะกดรอยตามเจ้ามา” อสูรกายคำรามด้วยความเดือดดาล

หญิงผู้รอดชีวิตจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความคับแค้นใจ

“นายท่านคะ โปรดให้อภัย…”

ควับ!

ลำตัวของหญิงสาวผู้รอดชีวิตขาดกระเด็นเป็นหลายส่วน เมื่อถูกกรงเล็บของอสูรกายตวัดเข้าใส่

ฉู่ชวิ๋นจะช่วยชีวิตเธอไว้ก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ แต่เมื่ออสูรกายตัวนี้พยายามจะเข้ามาควักหัวใจหญิงสาวคนอื่น ๆ อีกครั้ง เขาก็ปล่อยลมปราณออกไปเพื่อปกป้องพวกเธอทันที

อสูรกายคำรามด้วยความไม่พอใจ “เจ้ามนุษย์หน้าโง่ อยากรนหาที่ตายหรือไง?”

“แกนี่เองสินะที่ฆ่าคนตายเป็นเบือ ในเมื่อแกกล้ามาทำร้ายผู้คน ฉันก็คงปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้ว” เยวี่ยหงโป๋เก็บกดมาหลายวันแล้ว ในตอนนี้เขาพร้อมปะทะเต็มที่

ทันใดนั้นเอง เยวี่ยหงโป๋ก็ปล่อยพลังลมปราณเข้าใส่อสูรกายอย่างหนักหน่วง

เยวี่ยหงโป๋เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 แล้วมีพลังลมปราณในระดับที่สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดิน ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร

แต่เมื่อพลังลมปราณของเขาปะทะร่างอสูรกายตัวนี้ ลมปราณก็กระจายตัวหายไป เห็นแต่สะเก็ดไฟก็ปลิวกระจายไปทั่ว เหมือนกับว่าพลังลมปราณของเขาปะทะเข้ากับแผ่นเหล็กกล้าที่ไม่สามารถทะลวงเข้าไปได้

อสูรกายคำรามแล้วสวนกลับ พลังที่ปล่อยออกมาจากกรงเล็บของมัน ทำให้กำแพงถล่มทลาย มันพยายามจะฆ่าเยวี่ยหงโป๋ กรงเล็บที่แหลมคมเหมือนกับคมมีดตวัดวูบวาบไปมา ในอากาศเต็มไปด้วยม่านหมอกสีดำ

ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นหรือบนกำแพง ต่างก็มีรอยขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

นับว่าอสูรกายตัวนี้ยากต่อการรับมือจริง ๆ

“พวกคุณรีบหนีออกไปซะ” ฉู่ชวิ๋นพูดกับบรรดาหญิงสาวที่หวาดกลัว

กลุ่มหญิงสาวหันหลังกลับวิ่งหนีไปเหมือนฝูงนกแตกรัง ความตื่นกลัวทำให้พวกเธอวิ่งสะดุดหกล้ม แต่ก็ออกไปจากซอยมืดได้อย่างทุลักทุเล

ตู้ม!

ประกายไฟสาดกระจาย มวลพลังปะทะกัน เยวี่ยหงโป๋กับอสูรกายต่อสู้อย่างดุเดือด สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างกระเด็นถอยหลังกันไปคนละหลายก้าว

เยวี่ยหงโป๋กำลังโกรธแค้นที่ตนเองไม่สามารถกำจัดปีศาจตนนี้ไปได้ เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ กัดฟันกรอด แล้วประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน

พรึบ!

พลังลมปราณหมุนวน เสียงอากาศระเบิดตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะ เป็นลมปราณที่ดุดันยิ่ง

อสูรกายแผดเสียงคำราม หมอกสีดำปกคลุมไปทั่วร่างกายของมัน กรงเล็บส่องแสงเป็นประกายในขณะที่ตวัดตัดอากาศเข้ามาเสียงดังวูบวาบ

เปรี้ยง!

พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างจัง เกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายไปทั่วเมืองและเป็นอีกครั้งที่ทั้งสองฝ่ายต้องเซถอยหลังไปคนละหลายก้าว

“เจ้าพวกมนุษย์อวดดี พลังของข้ายังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ ไม่งั้นล่ะก็เจ้าได้ตายเป็นหมาข้างถนนไปแล้ว” อสูรกายคำรามเสียงแหบแห้งด้วยความโกรธแค้น

เยวี่ยหงโป๋จ้องมองและตอบกลับไปด้วยความเดือนดาล “ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้”

หลังจากคำรามออกมาแล้ว เขาก็กระโดดเข้าใส่ปีศาจอีกครั้ง

หนึ่งคน หนึ่งอสูรกาย ออกมาต่อสู้กันที่นอกซอยมืด

เวรยามจากปราสาทจตุรเทพ ซึ่งแต่ละคนเป็นจอมยุทธ์ฝีมือดี รีบมารวมตัวกันเมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้

ทุกคนเฝ้าดูเยวี่ยหงโป๋ต่อสู้กับปีศาจร้ายด้วยความตื่นตาตื่นใจ

“นี่มันอะไรกัน? ทำไมอีกฝ่ายถึงเก่งกาจขนาดนี้?”

“หรือว่าปีศาจตัวนี้จะเป็นฆาตกรที่เราตามหากันอยู่?”

“…”

ทุกคนได้แต่กระซิบกระซาบกันด้วยความสนใจ

“ส่วนคนนั้นใช่นายท่านฉู่ชวิ๋นหรือเปล่า?”

ก่อนหน้านี้ทุกคนมัวแต่สนใจอสูรกายตัวนั้น แต่หลังจากที่ตั้งสติกันได้แล้ว ใครคนหนึ่งก็สังเกตเห็นฉู่ชวิ๋นยืนอยู่

“ดูเหมือนจะใช่นะ เขานั่นแหละ”

“จอมมารฉู่ชวิ๋นอยู่ที่นี่แล้ว ไอ้ผีดิบตัวนี้มันหนีไม่รอดแน่”

เยวี่ยหงโป๋ยังคงต่อสู้กับอสูรกายอย่างดุเดือด มันคือการต่อสู้ที่แลกด้วยชีวิต ไม่ใช่การประลองยุทธ์

ตู้ม!

คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่ออกมาอีกครั้ง ทำให้กลุ่มคนดูต้องถอยหลังไปอีกสิบกว่าเมตร

ผลั่ก!

กำปั้นของเยวี่ยหงโป๋ปะทะเข้ากับลำตัวของอสูรกายเต็มแรง

แต่เจ้าปีศาจกลับใช้มืออีกข้างปัดเยวี่ยหงโป๋จนกระเด็นและเกือบจะทำให้เยวี่ยหงโป๋บาดเจ็บ

เยวี่ยหงโป๋ทั้งโกรธแค้นและตกตะลึง รู้สึกได้เลยว่ายิ่งสู้กันไป อีกฝ่ายหนึ่งยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ จงตายซะเถอะ” อสูรกายร้องคำราม ลำตัวเต็มไปด้วยหมอกควันสีดำ ก่อนที่จะซัดพลังงานสีดำกลุ่มใหญ่เข้าใส่เยวี่ยหงโป๋

เสียงกรีดร้องดังออกมาจากมวลพลังงานสีดำ มวลพลังงานนั้นเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นใบหน้าคนขนาดใหญ่ ที่อ้าปากกว้างหมายจะกัดเยวี่ยหงโป๋

เยวี่ยหงโป๋รู้สึกได้ถึงอันตราย เขารีบโคจรพลังลมปราณ สร้างลมปราณคุ้มกาย 7 ชั้นที่มีแสงสว่างเป็นประกายขึ้นมากำบังร่างกาย

เปรี้ยง!

ปากของใบหน้าคนกัดทะลุลมปราณคุ้มกายที่ห่อหุ้มตัวเยวี่ยหงโป๋จนจะเข้าถึงตัวของเยวี่ยหงโป๋อยู่แล้ว….

วูบ!

ฉู่ชวิ๋นกระโดดเข้าไปยืนตรงหน้าเยวี่ยหงโป๋และผลักเยวี่ยหงโป๋กระเด็นออกไป หลังจากนั้น พลังลมปราณสีม่วงก็หมุนวนรอบกำปั้นของฉู่ชวิ๋นในขณะที่ชกหมัดต่อยเข้าไปเต็มปากของใบหน้าคนขนาดใหญ่ยักษ์นั้น

ผลั่ก!

หมัดของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายสว่างไสว พลังลมปราณที่พุ่งออกมาทำให้ ใบหน้าคนขนาดใหญ่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะระเบิดตัวสลายหายไปกลางอากาศ

โฮก!

อสูรกายคำรามด้วยความคับแค้นแล้วแขนที่ยาวผิดปกติของมัน ก็พุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นพร้อมด้วยม่านหมอกสีดำ

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ โคจรพลังรอบหมัดแล้วต่อยสวนกลับไปใส่กรงเล็บของอสูรกายไม่ยั้งมือ

“กร๊อบ”

เสียงกระดูกแตกหักดังชัดเจน อสูรกายร้องคำราม กระดูกชิ้นหนึ่งของมันถูกฉู่ชวิ๋นต่อยจนแตกละเอียด!

ทุกคนมองดูภาพนี้ด้วยความตื่นเต้นและตกตะลึงในเวลาเดียวกัน ฉู่ชวิ๋นมีความแข็งแกร่งในระดับที่สามารถปราบเจ้าผีดิบตัวนี้ได้อย่างที่คิดจริงๆ

อสูรกายส่งเสียงร้องเหมือนไม่อยากเชื่อ

“แกเป็นพวกเผ่าพันธุ์ผีดิบสินะ?” ฉู่ชวิ๋นถาม อสูรกายตัวนี้ไม่เหมือนตัวที่เขาเคยพบในภูเขาเฉียนหลง ตัวนั้นน่าจะเป็นมนุษย์ที่ฝึกฝนจนเป็นผีดิบแต่ตัวตรงหน้าเขาน่าจะเป็นผีดิบจริง ๆ

ดวงตาสีแดงก่ำของอสูรกายจ้องมองฉู่ชวิ๋น ในขณะที่ตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้ารู้จักเผ่าพันธุ์ผีดิบของข้าด้วยหรือ?”

“เคยเจอมาตัวนึง แต่ตัวนั้นเก่งกว่าแกหลายเท่า” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก

“เขาอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้?” อสูรกายไต่ถามด้วยความสนใจ เนื่องจากเผ่าพันธุ์ผีดิบเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายาก โดยเฉพาะในประเทศนี้

“โดนฉันฆ่าตายไปแล้ว!” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“แล้วเจ้ากล้าฆ่าข้าหรือเปล่าล่ะ?” อสูรกายคำราม

ฉู่ชวิ๋นอดยิ้มออกมาไม่ได้และตั้งใจปั่นประสาทฝ่ายตรงข้าม “ตอนนี้แหละเดี๋ยวฉันจะฆ่าแกเอง”

เมื่อพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็กระโดดเข้าใส่ ชายหนุ่มเงื้อกำปั้นขึ้นสูง พลังลมปราณแผ่ขยายออกมาอย่างรุนแรง

อสูรกายตวัดกรงเล็บขึ้นมารับหมัดของฉู่ชวิ๋น

เสียงดัง “กร๊อบ” แล้วแขนของมันก็ถูกฉู่ชวิ๋นต่อยจนกระดูกแตกละเอียด!