Ch.125 – หลบหนีจากเมืองหาน

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.125 – หลบหนีจากเมืองหาน

 

“นั่นเธอกำลังทำอะไร?” ฉินเฟิงถามพลางยกมือขึ้นกุมจมูก เบนหน้าหนีไปอีกทาง

 

“ฉันกำลังหาชุดที่ถูกใจ แต่ที่นี่ไม่ดีตัวไหนสวยเท่ากับของเมืองเราเลย!” ไป๋หลีกล่าวพลางทำหน้ามุ่ย แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้าของเธอ

 

นี่เองสินะ เหตุผลที่เธอดูไม่มีความสุข เกรงว่าไป๋หลีคงเก็บเรื่องนี้มาคิดทั้งคืน … เอาจริงๆชุดพวกนี้มันเยี่ยมจะตาย!

 

ฉินเฟิง “ … เอาเถอะ ไว้คราวหน้าจะพาไปซื้อที่ร้านดีๆก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ช่วยลงมาก่อน!”

 

เฝ้ามองไปยังเนินน้อยๆที่ถูกปกปิดอีกครั้ง ฉินเฟิงก็เริ่มนึกเสียดายในใจ

 

การขนส่งในเมืองหานไม่ค่อยจะดีนัก หรือไม่ก็เพราะมันอยู่ไกลจากเมืองใหญ่ อุตสาหกรรมเลยยังคงล้าหลัง นั่นนำไปสู่ความการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และสไตล์การแต่งตัวที่ล้าสมัย แม้ว่าเสี่ยวไป๋จะรักสวยรักงาม แต่ก็ไม่ใช่คนโลภ เมื่อไม่ถูกใจ เธอก็ไม่คิดนำชุดชั้นในพวกนี้กลับไปด้วย

 

อาหารช่วงเช้าเป็นไปอย่างรีบร้อน อีก 200 – 300 คนที่เหลือเริ่มเดินทางต่อ คราวนี้มีการจัดระเบียบกลุ่มกันใหม่ ผู้คนเลยประพฤติตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง

 

บางทีอาจเป็นเพราะฉินเฟิงได้รับการยอมรับนับถือ และเขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ช่วยเหลือคนใจเสาะที่ติดอยู่บนตัวอาคาร ดังนั้นระหว่างเส้นทาง ผู้คนที่เห็นเขาเดินขบวนผ่านจึงตัดสินใจแน่วแน่ เรียกความกล้าหาญบุกตะลุยออกมาจากตัวตึก ส่งผลให้ในกลุ่มของฉินเฟิงได้รับคนธรรมดาที่มีสามารถต่อสู้ได้เพิ่มมากขึ้น และผู้ใช้พลังอีกจำนวนหนึ่งตามรายทาง

 

เมื่อเดินทางมาจนใกล้ถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จำนวนของคนที่มาสมทบก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เพราะที่นี่คือที่ใดกัน? มันคือย่านสลัม! เป็นย่านที่ทุกคนเลือกจะต่อสู้อย่างกล้าหาญ ดีกว่ายอมทนอุดอู้ในสถานที่สกปรก หากทำตัวอ่อนแอเอาแต่มุดหัว พวกเขาคงไม่พ้นกลายเป็นศพในคูน้ำเน่าเหม็นในวันถัดไป

 

ด้วยเหตุนี้เอง ประสิทธิภาพในการรบของกลุ่มฉินเฟิงจึงแข็งแกร่งขึ้น ความหวังที่จะรอดชีวิตก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

 

“ไปตั้งหลักกันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเราจะพักผ่อนกันที่นั่น!”

 

ฉินเฟิงออกคำสั่ง ฝูงชนขานรับเสืยงดัง และตรงเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

 

เกรงว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลย ที่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหาน มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมเยือนมากมายถึงขนาดนี้

 

แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นการดึงดูดพวกแมลงเช่นกัน ผู้คนภายในดื่มกิน นั่งพักฟื้นฟูกำลังได้ไม่นาน ก็ดูท่าว่าจะต้องเตรียมรับศึกกันอีกแล้ว

 

ฉินเฟิงฝากคนอื่นๆจัดการเรื่องเฉพาะหน้า เขาลากตัววังเฉินไปอีกทาง ตรงไปยังหัวมุมหนึ่ง ที่รถบัสทั้งสองคันจอดอยู่

 

“ลูกพี่ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน คุณมาเพื่อเตรียมเจ้าสิ่งนี้!” วังเฉินมองมาทางฉินเฟิงด้วยความตกตะลึง

 

“อย่ามัวแต่อึ้ง นายขับรถอีกคัน แล้วตามฉันมา” ฉินเฟิงกล่าว

 

“รับทราบลูกพี่!” วังเฉินขึ้นไปบนรถ และหักเลี้ยวซ้ายขวาตามฉินเฟิงเข้าสู่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน

 

ลานจอดรถใต้ดินของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีขนาดเล็กมาก และเนื่องจากมันไม่ได้ถูกใช้งานมานานปี จึงไม่มีใครคอยทำความสะอาด ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบมืดและอับชื้น

 

และนั่นหมายความว่า มันคือสถานโปรดของมังกรดิน

 

รถบัสแล่นไปข้างหน้า เสียงคำรามของเครื่องยนต์กระตุ้นมังกรดินตื่นจากหลับไหล พวกมันเตรียมพร้อมที่จะบุกโจมตี

 

โครม!

 

มังกรดินตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นดิน สกัดหยุดหน้ารถเอาไว้

 

ฉินเฟิงระเบิดพลังสมาธิของเขาโดยไม่ลังเล

 

“ลำแสงเปลวเพลิง!”

 

เส้นแสงเปลวเพลิงทะยานออกไป กระแทกเข้าใส่ร่างของมังกรดินโดยตรง

 

ตูม!

 

มังกรดินตัวแตกเป็นชิ้นด้วยลำแสงเปลวเพลิงของฉินเฟิง กระทั่งเนื้อก็ถูกย่างจนสุก ส่งกลิ่นหอมลอยคละคลุ้ง

 

เนื้อของมังกรดินน่ะเต็มไปด้วยโปรตีน ดังนั้นมันจึงมีคุณค่าทางโภชนาการมาก

 

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันจะเก็บรวบรวมเนื้อมังกรดิน นำกลับไปฝากให้ผู้อำนวยการ!”

 

ฉินเฟิงขบคิดในจิตใจ ร่างของไป๋หลีกระพริบไหวอย่างรวดเร็ว

 

ไป๋หลีย่อมตระหนักถึงสิ่งที่ฉินเฟิงต้องการ เธอเริ่มใช้ออกด้วยพลังมิติ สังหารมังกรดินที่ซุ่มอยู่ตามเส้นทางที่รถกำลังแล่นผ่านด้วยใบมีดมิติ จากนั้นก็เก็บเนื้อของพวกมันเข้าสู่พื้นที่มิติทันที

 

และกระบวนการทั้งหมดนี้ ทำทั้งๆที่พวกมังกรดินยังหลบอยู่ใต้ดิน!

 

ส่วนบนพื้นดิน วังเฉินขับรถตามฉินเฟิงไปตามปกติ โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

หลังจากมังกรดินตัวแรกที่ออกมาขวางแล้ว ตลอดเส้นทางของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น จนในที่สุดก็มาถึงประตูเหล็กป้องกันของลานจอดรถ

 

ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงได้ทำการติดต่อครูของสถานเลี้ยงเด็กเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

“มิสเหลียว รบกวนออกมาด้วยครับ”

 

เมื่อส่งข้อความออกไป ไม่นานนัก ประตูเหล็กบานใหญ่ก็ค่อยแง้มออกอย่างช้าๆ

 

ผู้หญิงสาวสวยในแว่นกรอบทองก้าวออกมา โดยมีเด็กเล็กอีกสองสามคนคอยกุมมืออยู่เคียงข้าง ขณะที่เด็กคนอื่นๆห้อมล้อมรอบตัวเธอ

 

เธอคือครูอาสาสมัครประจำสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ –เหลียวหยิง ผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล G3

 

“มิสเตอร์ฉิน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ” เหลียวหยิงเร่งก้มหัวไม่หยุด เพื่อแสดงความขอบคุณ

 

ฉินเฟิงแสดงออกถึงสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาขอบคุณ มิสเหลียวกรุณารีบพาพวกเด็กๆขึ้นไปบนรถก่อน เมื่อทุกคนพร้อมเราจะออกเดินทางกันทันที!”

 

…..

 

ฉินเฟิงไม่ลังเลเลยที่จะจัดขบวนรถบัสไว้อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่ม แม้นี่จะดูเหมือนอันตราย แต่ภายใต้การคุ้มครองของฉินเฟิง สถานการณ์เลยกลับตรงกันข้าม มันกลายเป็นปลอดภัยที่สุด รถบางคันที่ขวางทางบนถนนถูกทำลาย และเคลื่อนย้ายซากโดยฝีมือฉินเฟิง

 

และบางทีอาจเป็นเพราะภายในรถมีเส้นผมของไป๋หลี ดังนั้นกองทัพแมลงรอบๆจึงไม่กล้าเข้ามา ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

 

เมื่อผ่านพ้นกำแพงของเมืองหานมาได้ ในที่สุดพื้นที่ทุ่งล่าก็ปรากฏสู่สายตา ฝูงชนเริ่มบังเกิดความตื่นเต้นเป็นครั้งแรก

 

“ออกมา … พวกเราออกมาได้แล้ว!”

 

“รอดชีวิตมาได้!”

 

“พ่อจ๋า แม่จ๋า ผมยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่!”

 

แต่หลังจากเสียงโห่ร้องยินดี สักพักบางคนก็เริ่มร่ำไห้ด้วยความขมขื่น

 

นั่นเพราะพวกเขากำลังสับสนเกี่ยวกับอนาคต พลเมืองส่วนใหญ่ไม่เคยออกจากสถานที่ชุมชนมาก่อน ดังนั้นพวกเขาไม่มีที่ไปนอกจากที่นี่

 

ตรงกันข้าม พวกคนรวยและคนมีอำนาจได้เริ่มทำการติดต่อกับคนที่พวกเขารู้จักแล้ว เพื่อร้องขอให้ช่วยเหลือในการอพยพไปยังชุมชนแห่งอื่น

 

วันนี้เป็นวันที่สามหลังจากรอยแยกมิติถูกเปิดออก ทางกองทัพหลิงหานเมื่อได้ยินข่าวของกลุ่มฉินเฟิง ก็เร่งมุ่งหน้ามาทันที

 

ปัจจุบันคนในกลุ่มมีมากกว่า 2,000 คน เมื่อคนจากกองกำลังมาเห็นกับตาตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยว่าพวกเขาประหลาดใจมากขนาดไหน

 

ผู้บัญชาการกองกำลังหลิงหานก้าวเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว

 

“หลิวซู!”

 

“หัวหน้าเจียงไค!”

 

หลิวซูก้าวไปหาอีกฝ่าย

 

“เธอเป็นคนช่วยพวกพลเมืองอย่างงั้นหรอ? หลิวซู ครั้งนี้เธอทำได้ดีมาก! ช่างสมกับตำแหน่งหัวหน้าสาขาหน่วยลาดตระเวนที่งดงามทั้งกายและใจประจำเมืองหานของเราจริงๆ!” เจียงไคกล่าวชมเชย ขณะเดียวกันยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความปรารถนาในแววตาของเขา

 

เจียงไคตอนนี้อายุ 32 ปี กล่าวได้ว่าอยู่ในช่วงสำคัญของชีวิต และยังไม่ได้แต่งงาน ด้วยฐานะผู้บัญชาการกองกำลังแห่งเมืองหาน และความแข็งแกร่งในเลเวล F7 เขาจึงเป็นการดำรงอยู่ที่เป็นรองเพียงเทศมนตรีเมืองหานเท่านั้น

 

ซึ่งเวลานี้ ชิเทียนไห่เองก็เดินทางมาด้วย ในเวลาเพียงแค่สามวัน ชิเทียนไห่ดูราวกับแก่ลงไปเป็นสิบปี

 

เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงเกินกว่าที่ชิเทียนไห่จะทำใจรับไหว

 

“หลิวซู เธอทำได้ดีมาก ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเธอ ในอีกสองสามวัน กำลังเสริมจากเมืองฟูเฉิงก็จะมาถึง หลังจากนี้เธอสามารถเข้าร่วมกันฉัน ช่วยกันยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาได้!”

 

แม้กองกำลังหลิงหานจะเป็นกองทหารรักษาการณ์ประจำเมือง แต่สำหรับในเมืองเล็กๆอย่างเมืองหาน กองกำลังนี้เลยมีไพร่พลเพียง 500 คนเท่านั้น

 

และจากในบรรดา 500 คน มีแค่ 10 คนที่มีเลเวล F หากพวกเขาได้เผชิญหน้ากับด้วงกระหายเลือดหลายสิบตัว น่ากลัวว่าจะพินาศกันทั้งกองทัพ

 

“ฉันไม่สามารถรับความดีความชอบนี้เอาไว้ได้หรอก คงต้องขอบคุณสัตว์ร้ายเกราะคริสตัลต่างหาก ที่ทำให้มีผู้ใช้พลังมากมายมาที่เมืองหาน ถ้าไม่มีพวกเขา เราคงฝ่าวงล้อมออกมากันไม่ได้” หลิวซูกล่าวด้วยความขมขื่น

 

สีหน้าของชิเทียนไห่กลายเป็นหม่นทะมึน “แล้วไม่ใช่เพราะพวกเขาหรอกหรือ ที่ทำให้อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติของพวกเราเสียหาย เวลานี้เธอยังไปขอบคุณพวกเขาอีก? ฉันจะต้องลากคอพวกมันมารับผิดชอบให้จงได้ เพราะหนึ่งในมัน เมืองของฉันเลยถูกทำลาย!”

 

แน่นอน ว่าต่อให้เขาโกรธไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี

 

หาคนรับผิดชอบ? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ต่อให้รู้ แล้วอีกฝ่ายจะสามารถชดใช้คืนได้หรือ?

 

ผู้ใช้พลังที่รอดชีวิตจากเมืองมาได้ ไม่มีใครสนใจชิเทียนไห่ เมื่อสามารถหลุดพ้นจากนรกในเมือง พวกเขาก็เริ่มวางแผนที่จะแยกย้ายกันไป

 

ฉินเฟิงหันไปมองหลิวซูท่ามกลางฝูงชน ก่อนจะสลับมามองชิเทียนไห่และเจียงไค

 

เขาก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ปกปิดกลิ่นอายผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F6 ของตัวเอง ทั้งชิเทียนไห่และเจียงไคขมวดคิ้ว เริ่มกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที