ตอนที่ 51 มีปากไว้ด่ากัดคน

ซูหวานหว่านกำหมัดแน่น “ท่านพ่อ วันนี้ฝนคงไม่ตกหนักแล้ว พวกเราหาหลังคามามุงให้พออยู่ได้ไปสัก 2 – 3 วันก่อน จากนั้นค่อยสร้างห้องใหม่ ท่านพ่อคิดว่าอย่างไร?”

เมื่อคิดว่าซูหวานหว่านนำของไปขายในเมืองกลับมาน่าจะได้เงินสักสองหรือสามตำลึง ซูต้าเฉียงจึงรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำบ้านใหม่เสียที “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”

ซูหวานหว่านจึงรีบเดินกลับมาเอาของที่บ้านและรีบเดินไปที่เกวียนของหลี่ฉือโทวทันที ขณะหลี่ฉือโทวบังคับเกวียนไปตามทาง เขาก็กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นตอนนั้นขึ้นมาอีกครา

เมื่อไปถึงร้านเจวียเซ่อ ซูหวานหว่านรีบนำเห็ดหูหนูออกมาให้กับเด็กในร้านทันที ผู้ดูแลหลิวจึงรีบนำเงินออกมาให้ซูหวานหว่าน 3 ตำลึง แล้วพูดกับนาง “ร้านอาหารไท่อันเลียนแบบเมนูอาหารของทางร้านเรา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปซื้อขุมทรัพย์มาจากภูเขาใด แถมราคายังถูกกว่าเรามาก ข้าคิดว่าร้านเราคงจะต้องลดราคาอาหารให้มากกว่าร้านของเขา ไม่เช่นนั้นร้านเราต้องแย่แน่ ๆ!”

เขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?

อันที่จริงผู้ดูแลหลิวไม่ต้องมาคุยกับซูหวานหว่านเรื่องการแข่งขันของร้านอาหารทั้งสองร้านก็ได้ หากพูดออกมาเช่นนี้แน่นอนว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น

ซูหวานหว่านเดาว่าประโยคที่ผู้ดูแลหลิวพูดออกมาจะสื่อว่าต้องการรับซื้อขุมทรัพย์ที่ของมาจากภูเขาจากตนน้อยลงกว่าแต่ก่อน

ผู้ดูแลหลิวเองก็รู้สึกลำบากใจที่จะพูดออกมาว่า “แม่นางซู ข้ารู้สึกเสียใจจริง ๆ แต่ลูกค้าทุกคนต่างแห่ไปกินอาหารที่ร้านอาหารไท่อัน มันยากมากที่ขุมทรัพย์ที่ข้าซื้อจากท่านจะถูกนำมาทำอาหารจนหมดในแต่ละวัน เช่นนั้นแล้วต่อไปร้านอาหารของเราคงจะรับซื้อขุมทรัพย์จากภูเขาจากเจ้าเพียง 10 ชั่งเท่านั้น”

10 ชั่งอย่างนั้นหรือ? มันไม่เพียงพอแน่นอน!

ซูหวานหว่านมั่นใจมากว่าขุมทรัพย์ที่นางเก็บมานั้น นางได้รดน้ำพวกมันด้วยน้ำหลิวเยว่จากมิติฟาร์ม และแน่นอนว่าไม่ว่าจะเอาเห็ดไปผัดหรือต้ม รสชาติของพวกมันคงจะอร่อยมากและมีรสชาติที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปแน่ ๆ

ซูหวานหว่านจึงพูดขึ้นมาว่า “หากลูกค้าของพวกท่านไปทานที่ร้านไท่อัน แน่นอนว่าพวกเขาก็คงจะแยกได้ว่ารสชาติของร้านอาหารทั้งสองแตกต่างกัน และข้าก็มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะต้องชอบอาหารของร้านเจ้าอย่างแน่นอน”

ผู้ดูแลหลิวไม่เข้าใจว่าซูหวานหว่านเอาความมั่นใจมาจากที่ใด ขุมทรัพย์ที่หลังภูเขาก็เหมือน ๆ กันหมด! เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าว่า “ข้าไม่รู้ว่าร้านอาหารไท่อันส่งใครมาที่ร้านอาหารของเราหรือไม่ พอเขาได้ชิมอาหารของร้านเราแล้ว เขาก็สามารถเดาสูตรอาหารของร้านเราออกจนหมด ทั้งยังสามารถทำรสชาติเลียนแบบร้านเราได้อีกด้วย รสชาติเหมือนกันไม่ผิด!”

ร้านอาหารไท่อันน่าจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่!

ซูหวานหว่านหยุดครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง และนางก็ได้กล่าวออกมาว่า “ขุมทรัพย์ที่ข้าได้เอามาจากหลังภูเขา ข้ามั่นใจว่าข้าดูแลมันอย่างพิถีพิถันและใส่ใจมาก รสชาติของมันแตกต่างจากร้านอาหารไท่อันแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อก็สั่งให้ใครสักคนไปซื้อมันมา แล้วพวกเราลองมาชิมรสชาติกัน”

ผู้ดูแลหลิวนั้นไม่ได้อยากจะลดการซื้อเห็ดจากซูหวานหว่านเลยแม้แต่น้อย เพราะการที่เขาได้มาเป็นผู้ดูแลร้านอาหารร้านนี้ก็เป็นเพราะซูหวานหว่าน เช่นนั้นเขาจึงตอบตกลงและสั่งให้คนไปซื้ออาหารมาจากร้านไท่อันสองอย่าง

ในตอนนี้มีอาหารทั้งสี่ที่มีหน้าตาเหมือนกันวางอยู่บนโต๊ะอาหาร อีกทั้งสีสันและหน้าตาของอาหารก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด ทำให้ผู้ดูแลหลิวเดาไม่ออกเลยว่าอาหารทั้งสี่จานนี้มาจากร้านอาหารร้านไหนกันแน่

“ลองชิมเถิด” ผู้ดูแลหลิวได้พูดออกมาอย่างยอมแพ้ ซูหวานหว่านไม่รอช้าลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที นางได้กัดชิมไปเพียงไม่กี่คำ ส่วนผู้ดูแลหลิวนั้นพอได้ชิมเข้าไป ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเต็มไปด้วยความสุขอย่างปิดไม่มิด “แม่นางซู! พรุ่งนี้นำเห็ดมาให้ที่ร้านเราเพิ่มอีกเท่าตัวนะ ข้าเชื่อว่าพรุ่งนี้จะต้องมีลูกค้ากลับมารับที่ร้านของเราเยอะมากแน่ ๆ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหวานหว่านจึงตอบตกลง ส่วนผู้ดูแลหลิวก็ได้ให้เงินเพิ่มอีก 2 ตำลึงเพื่อเป็นเงินมัดจำสำหรับค่าเห็ด ซูหวานหว่านได้รับเงินมัดจำมา และนางก็ได้ถามผู้ดูแลหลิวเกี่ยวกับร้านขายหยกที่น่าเชื่อถือที่สุดในเมืองนี้ —— หยู่เซิงเยียน

ซูหวานหว่านว่าจะนำหยกที่แกะสลักและออกแบบโดยฉีเฉิงเฟิงมาเป็นพิเศษนำไปขายเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อนำเงินไปสร้างบ้านใหม่

ในร้านหยู่เซิงเยียน มีหญิงสาวแต่งตัวดูดีอยู่ด้านในร้าน 2 – 3 คน พวกนางกำลังนั่งอยู่ด้านในของร้าน

เมื่อเห็นซูหวานหว่านกำลังเดินเข้าร้านมา พวกนางเหลือบไปมองที่นางและเพ่งมองสำรวจเสื้อผ้าของซูหวานหว่านตั้งแต่หัวจรดเท้า การแสดงออกของพวกนางเหมือนกำลังดูถูกซูหวานหว่านอยู่

ทว่าเมื่อเห็นจี้หยกในมือของซูหวานหว่าน หญิงสาวพวกนั้นก็พลันเปลี่ยนมาใช้สายตาดูหมิ่นทันที ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดขึ้นมาอย่างดูถูกว่า “นี่ในมือของเจ้ากำลังถืออะไรอยู่ รีบเอาไปคืนซะ ที่ร้านนี้ไม่ใช่ที่ให้เจ้าจะมาลักขโมยอะไรได้ง่าย ๆ แย่จริง ๆ เห็นของอะไรดี ๆ หน่อยไม่ได้ต้องมาแอบหยิบแอบขโมยไปตลอด!”

อะไรนะ?

พูดจาดูถูกกันถึงเพียงนี้เลยหรือ จะมากเกินไปแล้วนะ!

จี้หยกอันนี้เป็นของนางต่างหาก!

นางขโมยมาที่ใดกัน?

ซูหวานหว่านจึงตอบกลับไปด้วยท่าทีไม่พอใจว่า “แม่นาง เจ้าเป็นคนสวยมาก ทว่าน่าเสียดายที่มีสายตาแย่เช่นนี้”

“เจ้าว่าใครว่ามีสายตาแย่!” หญิงคนนั้นตอบกลับไปพร้อมกับจ้องเขม็ง “ดูแล้วเจ้านี่มันไม่ใช่แค่มือและเท้าที่สกปรก ทว่าคงจะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอีกด้วย!”

“เฮ้อ ดูเหมือนว่าท่านเองก็คงไม่ได้มีสายตาที่แย่เพียงอย่างเดียว ทว่าปากของท่านก็คงสกปรกพอ ๆ กัน” ซูหวานหว่านมองผู้หญิงคนนั้นและตอบกลับด้วยคำพูดที่เสียดสี ส่วนผู้หญิงที่อยู่ยืนด้านข้างก็มองไปที่ซูหวานหว่านเช่นเดียวกัน

ไม่นานนักหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินสะลึมสะลือราวกับเพิ่งตื่นนอนออกมาดูที่หน้าร้านว่าเกิดเหตุใดขึ้น เช่นเดียวกับที่เริ่มมีผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามุงดูเหตุการณ์อย่างตื่นเต้น

แม่นางที่โดนซูหวานหว่านว่ากลับไปเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน “น้องสาว พวกเรามาพูดกันดี ๆ ดีกว่า! ข้าผิดมากหรือไง เจ้าเข้ามาขโมยจี้หยกภายในร้านของข้าไป ข้าก็เพียงอยากที่จะช่วยพ่อแม่ของข้าสั่งสอนเจ้าเพียงเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าจะถูกเจ้ากล้าด่ากลับมา!”

“แม่นาง เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูกนะ!”

“…”

จู่ ๆ ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งพูดแทนหญิงสาวคนนั้นขึ้นมา ซูหวานหว่านถึงกับขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับหยิบจี้หยกที่เป็นจี้หยกคู่กันออกมาแล้วยื่นให้คนที่อยู่ต่อหน้าทุกคนได้เห็น “ในเมื่อทุกคนบอกว่าข้าเป็นคนขโมย แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงไม่เรียกเจ้าของร้านออกมาดู? จะได้รู้กันไปเลย แล้วมารอดูว่าสิ่งที่พวกท่านพูดออกมาเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ การที่พวกท่านมาพูดดูถูกคนอื่นก่อนแบบนี้มันสมควรแล้วหรือ?”

ผู้หญิงคนนั้นถึงกับทนฟังไม่ได้ จึงใช้นิ้วมือจิ้มไปที่หัวของซูหวานหว่านด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “เจ้าขโมยของอีกทั้งยังไม่ยอมรับ! เหตุใดจึงมีหน้ามาด่าคนอื่นอีก! ข้าจะไปแจ้งจับเจ้าเลยคอยดูสิ!”

“เชิญเลย ไปแจ้งกับพลลาดตระเวนเลย และข้าเชื่อว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม หากเมื่อพิสูจน์ออกมาแล้วว่าข้าไม่ได้เป็นคนขโมย ข้าก็จะแจ้งจับท่านในข้อหาพูดจาใส่ร้ายผู้อื่น” ซูหวานหว่านพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะเยาะเย้ย

“เช่นนั้นก็ดี!” ผู้หญิงคนนั้นมั่นใจในตัวเองมากราวกับว่าสิ่งที่นางได้พูดออกมาทั้งหมดนั้นถูก คนใช้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็รีบวิ่งไปแจ้งกับพลลาดตระเวนทันที

ส่วนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ภายในร้านที่เหลือ พวกนางต่างมองดูซูหวานหว่านด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม แท้จริงแล้วพวกนางอยากที่จะรุมตบตีนางเสียด้วยซ้ำ ทว่าติดตรงที่ว่าหากพวกนางทำเช่นนั้นลงไป แน่นอนว่าตนเองจะต้องเป็นฝ่ายเสียชื่อเสียงเสียมากกว่า พวกนางเลยเลือกที่จะใช้วิธีให้ทางการจัดการเรื่องนี้แทน

ซูหวานหว่านได้หันไปมองเด็กในร้านพร้อมกับกล่าวว่า “ไปเรียกผู้ดูแลร้านออกมาเถิด”

เด็กในร้านถึงกับหน้าซีดลง เขาไม่อยากทำให้ผู้หญิงเหล่านี้โกรธหรือขุ่นเคืองเลย จึงได้พูดตอบออกมาแบบสบาย ๆ ว่า “ต้องขออภัยด้วย พอดีว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่“

ไม่ว่าผู้ดูแลร้านจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตาม ซูหวานหว่านก็พอจะมองออกว่าเหตุใดเขาถึงพูดปฏิเสธเช่นนี้ เด็กสาวจึงเกิดอาการโกรธขึ้นมาพร้อมกับพูดออกมาว่า “เจ้าจะไปตามหรือไม่ตาม? หากเจ้าไม่ไปตาม เจ้าจะต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด!”

“ใครกันที่บังอาจมาก่อเรื่องเสียงดังโหวกเหวกโวยวายอยู่ภายในร้าน!” เสียงแหบ ๆ ของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา ทุกคนหันไปมองก็พบว่าเป็นชายหนุ่มชุดขาว

คงไม่ใช่ชายหนุ่มที่ได้ทำสัญญาร่วมกันกับนางเพื่อทำการค้าต่อกันในร้านเจวียเซ่อหรอกใช่หรือไม่?

ซูหวานหว่านถึงกับถอนหายใจและพูดออกมาว่า “ข้าเอง”

“แม่นางซู?” ชายชุดขาวผงะไป น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลงเล็กน้อย

เจ้าของร้านหยู่เซิงเยียนรู้จักกับซูหวานหว่าน!

ทุกคนต่างตกใจ ทว่าคนที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดน่าจะเป็นเด็กในร้าน จู่ ๆ เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและรีบตอบกลับไปอย่างเอาใจว่า “คุณชายเหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้? แม่นางผู้นี้กำลังตามหาเจ้าของร้านอยู่น่ะขอรับ!”

“อ๋อ? แล้วผู้ดูแลร้านไปไหนเสียล่ะ? เหตุใดถึงไม่ยอมออกมา” ชายชุดขาวเลิกคิ้วแล้วมองไปที่เขา

“เขากำลังนอนหลับอยู่ขอรับ…” เสี่ยวเอ้อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ