ตอนที่ 42 ซือซือเข้าเรียน

Mars เจ้าสงครามครองโลก

หลังจากได้รับข่าว เย่เซิ่งเทียนก็ยิ้มจางๆ

ให้เกาเจี๋ยซื้อที่ดินบรรพบุรุษตระกูลหวาง ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขา

ตอนนี้เพื่อการก่อสร้างเมืองใหม่ หวางหงได้ทุ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนมากไปอย่างไม่เสียดาย

ดังนั้น เขาจะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา

เงินสองร้อยล้านนี้ ก็คือเหยื่อล่อสำหรับหวางหง ผลที่แท้จริง ยังคงอยู่หลังจากสร้างเมืองใหม่เสร็จ

ตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ได้ แต่ถึงตอนนั้น ทั้งตระกูลหวางและตระกูลหมิงจะได้รับ “เซอร์ไพรส์” ครั้งใหญ่

ปลากินเบ็ดแล้ว ที่เหลือก็เป็นแค่เรื่องของเวลา

การตกปลา ถือเป็นเรื่องของความอดทน ไม่ต้องรีบร้อน

“เริ่มซ่อมแซมสุสานของพ่อตาของฉัน พรุ่งนี้ฝังเขาตรงตามเวลา”

เย่เซิ่งเทียนตอบกลับ

หลังจากตอบกลับเสร็จแล้ว เย่เซิ่งเทียนก็ยิ้มและพูดกับหลี่หลานว่า “แม่ แม่อย่ากังวล ผมรับรองว่าเถ้ากระดูกของพ่อ จะถูกฝังในหลุมศพของบรรพบุรุษวันพรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้?”

เห็นได้ชัดว่าหลี่หลานไม่เชื่อ ตราบใดที่นายหญิงใหญ่ไม่เห็นด้วย ใครพูดไปก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น

อีกทั้งนี้เป็นเรื่องในบ้านของตระกูลหวาง ต่อให้เย่เซิ่งเทียนจะมีเส้นสายรู้จักใครหลายคนก็ไม่มีประโยชน์

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แก้ได้ด้วยความสัมพันธ์

“พูดไร้สาระ ต่อให้คุณเรียกเจ้าเทพมาก็ไร้ประโยชน์”

หลี่หลานถลึงตาใส่เย่เซิ่งเทียนและรู้สึกว่าเย่เซิ่งเทียนกำลังพูดจาใหญ่โตโอ้อวด

หวางซีเองก็เอ่ยขึ้น “พอเถอะเซิ่งเทียน ฉันรู้ว่าคุณมีเจตนาดี แต่เรื่องนี้ไม่สามารถล้อเล่นได้ มีแค่คุณย่ายอมพยักหน้าตกลงเท่านั้น พ่อถึงสามารถถูกฝังในหลุมศพของบรรพบุรุษเราได้ นอกจากนี้เป็นใครก็ไร้ประโยชน์?”

“ผมพูดเรื่องจริง ไม่ได้ล้อเล่น”

เย่เซิ่งเทียนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ถ้าพวกคุณไม่เชื่อพรุ่งนี้ก็ไปดูได้ ฉันรับรองว่าจะได้ฝังในหลุมศพของบรรพบุรุษ อีกทั้งยังเป็นไปอย่างถูกต้องเปิดเผยด้วย”

“ขนาดกินข้าวก็ยังปิดปากคุณไม่ได้”

หลี่หลานกล่าวอย่างโกรธเคือง

เรื่องของสามีเธอเป็นดั่งโรคในใจของเธอ เย่เซิ่งเทียนกล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น นี่ทำให้เธอโกรธมาก

หลังจากแค่นเสียงใส่ หลี่หลานก็โยนจานเธอลงบนโต๊ะทันทีและเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“คุณนี่มันสมองควายจริงๆ จะให้ฉันพูดยังไงกับคุณดี พูดเรื่องไหนไม่พูดดันพูดเรื่องนี้ คุณก็รู้ว่าสิ่งที่แม่สนใจมากที่สุดคือเรื่องของพ่อ แต่คุณกลับยังพูดถึงต่อหน้าแม่ นี่เป็นเรื่องล้อเล่นหรือไงกัน?”

หวางซีบ่น

เย่เซิ่งเทียนเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ภรรยา ผมไม่ได้ล้อเล่นจริงๆนะ ผมจะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นได้ยังไง ผม…”

“คุณหุบปากเถอะ”

หวางซีเองก็โกรธแล้ว เธอคิดว่าเย่เซิ่งเทียนไม่รู้จักแยกแยะดังนั้นจึงเอ่ยอย่างโกรธเคือง “สองวันนี้ฉันคงจะใจดีกับคุณเกินไปแล้ว คุณถึงได้คืบเอาศอกแบบนี้? คืนนี้คุณนอนที่โซฟา!”

เย่เซิ่งเทียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาไม่คิดเลยว่าเจตนาดีของตนกลับทำให้แม่ยายและภรรยาตัวเองโกรธเคืองขึ้นมา

ดูเหมือนว่า คืนนี้จะไม่มีเตียงให้นอนอีกแล้ว

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

หลังทานข้าวเสร็จ หวางซีก็ไปที่บริษัท ขณะที่เย่เซิ่งเทียนพาซือซือไปสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลแห่งใหม่

“พ่อคะ หนูไม่ไปโรงเรียนอนุบาลได้ไหม”

ซือซือกล่าวอย่างไม่พอใจและมองที่เย่เซิ่งเทียนด้วยน้ำตา

“ไม่ได้”

ครั้งนี้เย่เซิ่งเทียนไม่ตามอารมณ์ของซือซืออีก

“คุณพ่อใจร้าย คุณพ่อไม่ดี คืนนี้หนูจะไม่เอาผ้าห่มไปให้แล้ว หึ”

ซือซือมุ่ยปากเล็ก ๆ ของเธอและมีท่าทีไม่สบอารมณ์แล้ว

แต่เมื่อไปถึงโรงเรียนอนุบาล อารมณ์บูดบึ้งแต่เดิมที่มีอยู่ของซือซือ พอเจอเข้ากับคุณครูก็เปลี่ยนไปทันที

“สวัสดีค่ะคุณครู หนูชื่อเย่เยว่ซือ คุณครูคุณสวยจังเลย”

ยังไม่ทันที่เย่เซิ่งเทียนจะได้เอ่ยปาก ซือซือก็วิ่งเข้าไปเป็นฝ่ายจับมือของครูสาวก่อนแล้ว จากนั้นก็พูดอย่างไร้เดียงสาน่ารัก

“โอ้ นี่ลูกสาวคุณหรือคะ? น่ารักจริงๆ ปากหวานจัง”

ครูสาวดีใจอย่างมาก เมื่อเจอเด็กที่รู้จักความแบบนี้เธอย่อมชื่นชอบ

“เข้าใจกฎรึเปล่า เข้าใจคำว่ามาก่อนมาหลังไหม คุณเป็นคุณครูประสาอะไร ลูกของเรามาก่อนต่างหาก”

เมื่อเห็นครูสาวพูดคุยกับซือซือ ผู้ปกครองที่อยู่ด้านหนึ่งก็ไม่พอใจขึ้นมาและเอ่ยต่อว่า

เย่เซิ่งเทียนขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “ขอโทษครับ เชิญพวกคุณก่อน”

เขาเอ่ยขอโทษครูสาว “ขออภัยด้วยครับ รบกวนคุณแล้ว เชิญคุณครูจัดการธุระก่อน”

ครูหญิงรีบขอโทษผู้ปกครองคนนั้น แต่ว่าผู้ผู้ปกครองคนนั้นกลับยังไม่ยอมเลิกรา “ขอโทษก็จบแล้วหรือไง? เธอจัดการเรื่องประสาอะไรกัน? ตอนนี้ยังไม่ยุติธรรมขนาดนี้ แล้วฉันจะกล้าส่งลูกให้พวกคุณได้ยังไง? ไปเรียกผอ.จางหงถูของพวกคุณมา ฉันจะถามเขาสักหน่อย”