ตอนที่ 262 ชมทะเลสาบ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 262 ชมทะเลสาบ

“ท่านย่า ท่านดีต่อหลานมาก ในเมื่อท่านถูกพิษแล้ว หลานจักมิมาเยี่ยมได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่ามองหน้าอีกฝ่าย พอนึกได้ว่านี่คือคนที่นางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่จึงใจอ่อน ดังนั้นน้ำเสียงจึงอ่อนลงบ้างแล้ว “กล่าวมาเถิด เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใด ? ”

อันหลิงเฉว่ที่อยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าได้ทำอันใดลงไปบ้าง ฝ่ายอันหลิงเกอมิรู้เลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้นางกำลังให้คนเก็บเทียบเชิญที่ฮูหยินหมิงจูส่งมา จากนั้นก็เริ่มตระเตรียมสัมภาระที่จักออกไปเที่ยวชมทะเลสาบ

“เที่ยวทะเลสาบหรือเจ้าคะ” ปี้จูตาเป็นประกาย ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ต้องสนุกอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินว่าช่วงฤดูร้อนจักมีดอกบัวบานเต็มผืนน้ำ อีกทั้งยังมีสตรีมาเก็บดอกบัวและล่องเรือด้วยเจ้าค่ะ”

“ที่เจ้าเอ่ยถึงคือเจียงหนาน มิใช่เมืองจิง” หมิงซินยิ้มแล้วแก้ไขคำพูดของปี้จู สีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายและดีใจเช่นกัน

คุณหนูใหญ่มักต้องวางแผนอยู่เสมอจึงพยายามเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อพัฒนาตนเองให้เก่งกว่าเดิม เบื้องหลังของคุณหนูได้แบกรับภาระหนักเอาไว้ ดังนั้นในดวงตาจึงไร้ความไร้เดียงสาเช่นที่หญิงสาวทั่วไปของวัยนี้พึงมี

ตอนนี้บุตรีของฮูหยินหมิงจูเชิญนางออกไปเที่ยวจึงถือเป็นโอกาสดีที่จักให้นางได้ผ่อนคลายอารมณ์

แม้คำที่กล่าวออกมาของปี้จูจักมิถูกต้อง ทว่าเจียงหนานก็มีข้อดีของเจียงหนาน ส่วนเมืองจิงก็มีข้อดีของเมืองจิง

หมิงซินเม้มปาก ใบหน้าระบายยิ้มจาง ๆ “ทะเลสาบของเมืองจิงงดงามระยิบระยับเหมือนเกล็ดปลาใต้แสงอาทิตย์แล้วก็ยังมีดอกบัวบานที่ดูสวยงามมิแพ้กันเจ้าค่ะ”

ในขณะที่นางเอ่ยถึงสิ่งที่อยู่บนน้ำ แววตาก็เจือไปด้วยรอยยิ้มคงเพราะกำลังคิดถึงบ้านเกิดของตน

สีหน้าของอันหลิงเกอเปลี่ยนไป เมื่อมองไปยังสาวใช้สองคนที่กำลังดีอกดีใจ นางก็กล่าวขึ้นว่า “ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองคนก็ไปกับข้าเถิด อันผิงจวิ้นจู่เชิญข้าไปคนเดียว เกรงว่าจักมิครึกครื้นพอ”

อันผิงจวิ้นจู่ก็คือซินเจียวเจียว นางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้ ดังนั้นหากนางได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงก็คือเรื่องธรรมดา

ปี้จูรีบตอบรับด้วยความประหลาดใจ แต่ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความสุข “จริงหรือเจ้าคะ คุณหนูจักพาพวกเราออกไปด้วยหรือเจ้าคะ ? ” นางเป็นเพียงหญิงสาวอายุสิบสี่สิบห้า เป็นวัยที่ชอบเที่ยวเล่นพอดี พอได้ยินว่าอันหลิงเกอจักพาออกไปด้วยกัน นางก็ดีใจจนกระโดดขึ้นมา

หมิงซินก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างชัดเจน แต่นางเก็บอารมณ์ได้ดีกว่าปี้จู แม้อายุเท่ากันแต่นางก็มิได้มีนิสัยชอบเล่นซุกซนเยี่ยงสาวน้อย

เมื่ออันหลิงเกอเห็นท่าทางของทั้งสองคน ในใจก็มีความสุขขึ้นมาจึงทำให้มุมปากโค้งขึ้นอย่างอ่อนโยน เสียงกระจ่างใสราวหยกกระทบหิน “เจ้าสองคนไปเตรียมตัวเถิด อยากพกของกินอร่อยไปด้วยหรืออันใดก็แล้วแต่พวกเจ้า ข้าจักให้คนบอกจวิ้นจู่เอง”

พวกนางเดิมก็เป็นสาวใช้คนสนิทของอันหลิงเกอ หากจักพาไปด้วยก็ย่อมสมเหตุสมผลอยู่แล้ว

เพียงแต่เรื่องนี้มิว่าอย่างไรก็เป็นการเชิญจากซินเจียวเจียว อันหลิงเกอยังต้องส่งคนไปแจ้งให้นางทราบก่อน

ปี้จูร้องดีใจออกมาแล้วดึงหมิงซินไปวางแผนการท่องเที่ยวทันที

มิกี่วันผ่านไปเพียงชั่วพริบตา มิช้าก็ถึงวันที่ซินเจียวเจียวนัดอันหลิงเกอออกไปเที่ยวชมทะเลสาบ

อันหลิงเกอยังจำได้ ครั้งก่อนที่อันหลิงอีวางแผนชวนนางมาเที่ยวเพื่อจัดฉากให้จ้าวหลานหยู่ช่วยชีวิตนาง แต่มาเจอมู่จวินฮานเสียก่อน มาถึงตรงนี้ความคิดของอันหลิงเกอก็พลันหลุดลอย

แคว้นชิงเยว่ยกทัพทหารหนึ่งแสนนายมาโจมตีต้าโจว ข่าวนี้กระจายออกไปทั่วเมืองจิงแล้ว ท่านอ๋องมู่ได้รับคำสั่งให้นำกองทัพเจิ้นเป่ยรับศึกสงครามจากทหารแคว้นชิงเยว่

จนตอนนี้เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว มิรู้ว่าสงครามฝั่งนั้นจักเป็นอย่างไรบ้าง

นางกำลังคิดเพลิน ๆ หางตาก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งโผล่มาอย่างกะทันหัน รูปร่างผอมเพรียว สวมเสื้อผ้างดงาม ใบหน้าที่คุ้นเคยนอกจากซินเจียวเจียวแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีก ?

“คุณหนูใหญ่อัน” ซินเจียวเจียวเดินมาตรงหน้าอันหลิงเกอและเรียกนางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างเขินอาย “ข้าเรียกเจ้าว่าหลิงเกอได้หรือไม่ ? หากต้องเรียกเจ้าว่าคุณหนูใหญ่อัน ข้ารู้สึกห่างเหินอย่างบอกมิถูก”

“ได้แน่นอน” อันหลิงเกอเลิกคิ้วและรู้สึกประทับใจกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจได้

“เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าเจียวเจียวจวิ้นจู่ได้หรือไม่ ? ”

ซินเจียวเจียวพยักหน้า นางรู้สึกได้ว่าความห่างเหินระหว่างตนกับอันหลิงเกอได้น้อยลงมากแล้ว ดังนั้นนางจึงยิ้มไปจนถึงตาและคิ้ว

“พวกเจ้าไปเล่นอีกฝั่งเถิด” ซินเจียวเจียวสั่งสาวใช้ด้านหลัง ทีนี้จึงมองปี้จูและหมิงซิน “คุณหนูของพวกเจ้าคือผู้มีพระคุณของข้า เราสองคนขอคุยกันสักพัก”

ปี้จูและหมิงซินแม้มีความสุขกับการได้ออกมาเที่ยวเล่น แต่ตอนนี้มิได้ขยับ เพียงมองไปที่อันหลิงเกอ เมื่อได้รับสัญญาณแล้วพวกนางจึงตอบรับทีหนึ่งแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ศาลาด้านข้าง

ท่ามกลางสายลมพัดมาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างมีความสุขของปี้จู มุมปากอันหลิงเกอโค้งเป็นรอยยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“ว่าแต่บุตรทั้งสองคนของเจ้าเล่า ? ”

อันหลิงเกอมิรู้ว่าซินเจียวเจียวต้องเจออันใดมาบ้างก่อนได้กลับมาที่เมืองจิง ทั้งที่อายุมิต่างจากนางมากนัก แต่บุตรทั้งสองคนนั้นของอีกฝ่ายก็มีอายุห้าหกขวบได้แล้ว ดูจากท่าทีของซินเจียวเจียวแล้วความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคงดีมากเป็นแน่

วันนี้ซินเจียวเจียวชวนนางออกมาเที่ยวเล่นแล้วเหตุใดมิพาบุตรทั้งสองออกมาด้วย ?

รอยยิ้มบนใบหน้าของซินเจียวเจียวจางลงไปมิน้อย นางเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “มีคนมาพบมารดาของข้าและพวกเขาอ้างว่าเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ของฮวนฮวนกับเล่อเล่อ อีกทั้งต้องการพาเด็กสองคนนี้ไป”

ดวงตาของอันหลิงเกอฉายแววประหลาดใจ ที่แท้ซินเจียวเจียวก็มิใช่มารดาของบุตรทั้งสอง

“เรื่องนี้เล่าแล้วค่อนข้างยาว” ซินเจียวเจียวจึงถอนหายใจออกมาทีหนึ่งแล้วเริ่มเล่าถึงต้นสายปลายเหตุออกมา

เมื่อเล่าจบแล้ว นางจึงกล่าวออกมาอย่างลังเลว่า “ที่จริง ข้าชวนเจ้าออกมาครั้งนี้เพราะอยากถามความคิดของเจ้า”

“มารดาของข้า พอรู้ว่าพวกเขามิใช่บุตรแท้ ๆ ของข้าก็ต้องการส่งพวกเขาออกไป นางบอกว่าข้าถึงวัยต้องแต่งงานแล้ว หากมีทั้งสองคนอยู่แล้ว งานแต่งของข้าจักทำให้ผู้อื่นต้องลำบากใจ”

อันผิงจวิ้นจู่เป็นตำแหน่งสูงส่งก็จริง แต่ในสายตาคนนอกก็คือองค์หญิงที่ถูกฮูหยินหมิงจูตามหากลับมาได้ ยังพาบุตรมาด้วยถึงสองคน หากมิใช่เพราะได้คลอดบุตรกับคนป่าเถื่อนก็ต้องเพราะเป็นตัวอัปมงคลทำให้สามีต้องตาย

แต่มิว่าเพราะเหตุใดก็สามารถทำให้บุรุษหนุ่มผู้มีพรสวรรค์หดหายไปได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าฮูหยินหมิงจูกังวลเรื่องนี้เป็นธรรมดา

อันหลิงเกอเม้มปาก จากนั้นก็ฟังซินเจียวเจียวเล่าต่อ “แม้ว่าทั้งสองคนมิใช่บุตรแท้ ๆ ของข้า แต่พวกเขาก็เติบโตอยู่ข้างกายข้ามานานแล้ว ข้าทำใจมิได้หากต้องให้พวกเขาถูกนำตัวกลับไปเช่นนี้”

ในขณะที่นางกล่าวนั้นดวงตาก็มีน้ำตาคลอ นางจึงได้แต่เงยหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาไหลย้อนกลับไป

อันหลิงเกอเห็นแล้วก็สงสาร ชาติก่อนซินเจียวเจียวมีบุญคุณต่อนาง ส่วนชาตินี้นางก็ได้ช่วยซินเจียวเจียวเอาไว้ ทว่าก็ได้รับการช่วยเหลือตอบแทนจากซินเจียวเจียวอยู่ดี

กล่าวไปแล้วคือนางมิอยากเห็นหญิงสาวที่จิตใจดีเช่นนี้ต้องเศร้าหมองเลย