ฉีเฟยอวิ๋นเอามือของเขาออก:“ไร้ยางอาย”
“เจ้าเป็นพระชายาของข้ามีอะไรน่าอาย” หลังจากที่พูดจบแล้ว เขาก็ดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาในอ้อมแขน
สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูประหลาดใจ นางหันไปมองหนานกงเย่:“ท่านกอดข้าทำไม ?”
“ข้ารู้สึกหงุดหงิด จึงกอดเจ้าเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย” หนานกงเย่มีคำพูดมากมายไม่รู้จบ ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ ไร้ยางอาย!
ทั้งสองกอดกันและหนานกงเย่ก็จูบไปที่แก้มของนาง ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องนั้น นางจึงต้องการดึงความสนใจของเขาออกไป และถามเกี่ยวกับเรื่องของพระมเหสีหวา
“ข้าเดาไม่ผิด พระมเหสีหวาส่งพระชายาตวนกลับไปที่สกุลจวิน หากพระชายาตวนยังอยู่ในวังก็ไม่แน่ว่าพระชายารองจะเข้ามาในวัง”
หนานกงเย่กล่าวอย่างใจเย็น เขาเลิกเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋นและต้องการที่จะเข้ามาใกล้นาง
บนกายของนางมีกลิ่นหอมของน้ำนม และนุ่มนวลเหมือนเด็กทารก
ได้กลิ่นแล้วทำให้เคลิบเคลิ้ม
ในที่สุดรถม้าก็มาถึงจวนอ๋องเย่ และฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกอุ้มลงไป
หลังจากที่กลับมาถึงสวนดอกกล้วยไม้ ผู้คนก็ล่าถอยออกไป ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่อุ้มเข้าไปในห้องและปิดประตู
เขาจุดตะเกียงในห้องและปลดม่านที่เตียงลง
หนานกงเย่รีบถอดเสื้อผ้าแล้วยกผ้าห่มขึ้นด้านบน
ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตา:“ท่านอ๋อง ทุกวันก็พักผ่อนเวลานี้ ไม่เห็นว่าท่านจะรีบร้อนเช่นนี้เลย ?”
“มันจะเหมือนกันได้อย่างไร ข้าอยากมีบุตร หมอหลวงหูบอกว่าอีกไม่กี่วันนี้ ข้าจึงต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็จัดการกับฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ่นรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และรู้สึกว่าร่างกายของนางไม่เหมือนก่อนหน้านี้
แต่บอกไม่ถูกว่ามันต่างกันตรงไหน
ในเวลานี้จวินฉูฉู่กำลังรออยู่ที่หน้าประตูจวนสกุลจวิน หลังจากได้รับจดหมายจากอ๋องตวนแล้ว จวินฉูฉู่ก็ยิ้มเยาะแล้วโยนจดหมายนั้นทิ้งไป อ๋องตวนไม่กล้าที่จะทรยศนาง แต่นางไม่สนใจ
ประตูใหญ่ของจวนสกุลจวิน นางเข้าสู่ห้วงของความโศกเศร้า
เมื่อจวินฉูฉู่กลับมาถึงจวนสุกลจวินก็มืดแล้ว เดิมที่นางสามารถเข้าไปได้ แต่ในเวลานี้ต่างออกไป อยู่ที่สกุลจวินนางไม่มีตำแหน่งใด ๆ แม้ว่าอยากจะเข้าไป แต่ก็ไม่กล้า
เห็นได้ชัดว่าให้คนมารายงานแล้ว แต่ไม่มีใครในจวนออกมาต้อนรับเลย และไม่มีการแจ้งใด ๆ
จวินฉูฉู่อยู่ในรถม้าทั้งคืน และคิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย สกุลจวินไม่สนใจนางแล้ว แต่นางจะไม่สนใจตัวเองไม่ได้
ในเมื่อแต่งงานกับอ๋องตวนแล้ว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงช่วยสนับสนุนตำแหน่งของอ๋องตวน เมื่ออ๋องตวนได้เป็นองค์จักรพรรดิแล้ว เช่นนั้นนางก็จะเป็นฮองเฮา ถึงเวลานั้นสกุลจวินจะอย่างไร ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จวินฉูฉู่ก็มีแผนแล้ว นางต้องยืมมือของฉีเฟยอวิ๋น เพื่อกำจัดบุตรทั้งสองของฝ่าบาท นั่นไม่เพียงแต่จะทำให้จวนอ๋องเย่ดับสิ้น แต่ยังได้ขุดรากถอนโคนแม่ทัพฉี และทำให้นางมีวันที่ดีด้วย
ความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรจะต้องทำให้ฝ่าบาทไม่ทรงปล่อยให้คนในจวนอ๋องเย่เหลือรอดแม้แต่คนเดียวอย่างแน่นอน
เมื่อตนเองไม่มีบุตรและไม่มีทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์แล้ว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงสละราชบัลลังก์ให้แก่อ๋องตวน
ในตอนรุ่งสาง ประตูจวนสกุลก็เปิดออก และผู้ที่เฝ้าประตูก็ออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นรถม้าของจวินฉูฉู่อยู่ตรงหน้าก็รีบคารวะ:“คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” จวินฉูฉู่ลงมาจากรถม้า และเงยหน้าขึ้นไปมองคำว่าจวนสกุลจวิน จากนั้นก็ตามคนรับใช้เข้าไปในจวน
พ่อบ้านออกมาแจ้งว่า:“ท่านราชครูต้องการให้พระชายาไปคุกเข่าที่ห้องพระหลังจวนและคัดลอกพระคัมภีร์ จนกว่าครบสามวันจึงจะออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของจวินฉูฉู่ซีดเผือด ในห้องพระมีแต่หญิงชรา นางต้องไปคัดลอกพระคัมภีร์เป็นเวลาสามวัน มือของนางยังจำเป็นอยู่หรือม่ ?
ในตอนนี้อากาศไม่อบอุ่นมากนัก นางคุกเข่าแล้วคัดลอกพระคัมภีร์ ขาของนางก็คงจะเจ็บปวดทรมาน
“ข้าอยากพบท่านปู่ ท่านอยู่ที่ไหน ?” จวินฉูฉู่ต้องการจะขอความเมตตา
“ท่านราชครูบอกว่า เขาไม่ต้องการที่จะพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉูฉู่เกือบจะล้มลง และหันหลังกลับไปอย่างขาอ่อน
ถ้ารู้เช่นนี้ นางน่าจะแต่งงานกับหนานกงเย่ ถ้านางไม่ยอมปล่อยมือ ฉีเฟยอวิ๋นคงไม่มีความสามารถพอที่จะได้หนานกงเย่ไป
สวรรค์ ท่านช่างทำเรื่องที่น้าขบขันเสียจริง !
จวินฉูฉู่ไปที่ห้องพระหลังจวนด้วยความเศร้าโศก เมื่อเข้าไปแล้ว นางก็เห็นว่าท่านย่าอยู่ในห้องพระ แต่นางไม่เห็นใครอยู่ข้างใน
บนพื้นมีเบาะนั่ง ในห้องนี้หนาวมาก ๆ
ทุกคนในสกุลจวินต่างก็รู้ดีว่าห้องพระที่หลังจวนสกุลจวน ไม่ใช่ที่สำหรับกินเจและสวดมนต์ แต่เป็นสถานที่ที่เมื่อบุตรสาวของสกุลจวินทำผิดแล้ว จะต้องมารับโทษที่นี่ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดีไปกว่าคุกใต้ดินมากนัก
ด้านหน้ามีพระพุทธรูปสามองค์ นางมองขึ้นมองอย่างสง่างาม แต่กลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
จวินฉูฉู่คุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ นางต้องรักษาฐานะอันสูงส่งไว้ และรอให้พระคัมภีร์ถูกส่งมา
พระคัมภีร์ถูกวางลง และคนรับใช้ก็ถอยออกไป ประตูถูกล็อกจากด้านนอก จวินฉูฉู่หยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มคัดลอก
ด้านในตำหนักหวาหยาง
อวิ๋นหลัวฉวนเหลือบมองไปที่อ๋องตวนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างช่วยไม่ได้ และเดินผ่านมาไม่กี่ก้าวอย่างไม่เต็มใจ และบ่นในใจว่าชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงต้องมาเจอกับคนที่อัปยศเช่นนี้ แข็งกระด้างไร้ความสามารถก็ไม่เป็นไร แต่ยังเป็นคนที่ไม่รู้จักแบ่งแยกถูกผิดอีก
“คารวะท่านอ๋องตวนเพคะ” อ๋องตวนรู้สึกกระสับกระส่าย เขาสวมชุดสีกรมและนั่งอยู่บนเตียง เขาเอามือกุมไว้บนหัวเข่าแน่น
เขาไม่ชอบอวิ๋นหลัวฉวน แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ในฐานะท่านอ๋องไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีนางสนมมากมายได้
เฉกเช่นธรรมเนียมปฏิบัติของฝ่าบาทมีคนเพียงคนเดียวในชีวิต เขาก็คิดเช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นท่านอ๋อง ไม่สามารถทำเหมือนอย่างเช่นฝ่าบาทได้
แม้แต่ฝ่าบาทก็ต้องทนต่อแรงกดดันของฮองเฮา นับประสาเขา
ต้องการให้ฉูฉู่เป็นพระชายาตวนอย่างสบายใจ การแต่งงานกับพระชายารองข้างจึงเป็นหนทางเดียว
วันนี้ได้พบกับอวิ๋นหลัวฉวนที่ตำหนักฮวาหยางก็ถือว่าเป็นการกู้หน้าให้กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” อ๋องตวนขยับริมฝีปากและลุกขึ้นยืนขึ้น เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะจัดการ วางแผนไว้ก่อนจะดีกว่า
พระมเหสีหวากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อ๋องตวนก็ลุกขึ้นแล้ว
พระมเหสีหวางงงวย:“เหตุใดเจ้าจึงลุกขึ้นมาอีก เจ้าไม่สบายใจตรงไหนหรือไม่ ?”
“ลูกไม่ได้ไม่สบายพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่อยากไปเดินเล่น จวิ้นจู่ ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากที่พูดจบ อ๋องตวนก็เดินนำหน้าไป
อวิ๋นหลัวฉวนไม่อยากตามไป พระมเหสีหวาจึงกล่าวว่า:“ไปเถอะ หากเขารังแกเจ้า เจ้าก็มาหาแม่ แม่จะจัดการเขาให้เจ้าเอง”
สีหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนดูงุนงง นางยังไม่ได้แต่งเข้ามาเลย เหตุใดจึงให้เรียกเสด็จแม่แล้ว ?
“หม่อมฉันจะลองไปดูเพคะ” อวิ๋นหลัวฉวนถอนสายบัว และเดินตามอ๋องตวนไป
อ๋องตวนไปรอ อวิ๋นหลัวฉวนอยู่ที่ตำหนักข้างของตำหนักหวาหยาง เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนเดินไปถึงที่นั่น นางก็เห็นอ๋องตวนยืนมองดอกไม้อยู่ตรงนั้น
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้เข้าไปใกล้มากนัก นางยืนอยู่ในตำหนักข้างอย่างเงียบ ๆ
นางไม่ได้ชอบอ๋องตวน นางไม่อยากแต่งงานกับคนเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะพระมเหสีหวาทรงไม่สบาย นางก็คงจะไม่เข้าวังมาเยี่ยมเยือน
หลังจากที่ยืนอยู่ครู่หนึ่ง อ๋องตวนก็หันกลับมามองไปที่อวิ๋นหลัวฉวน อวิ๋นหลัวฉวนยังดูเหมือนเด็ก แม้ว่าหน้าตาของนางจะโตแล้วก็ตาม แต่ก็ยังห่างไกลกับฉูฉู่มาก
อ๋องตวนจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า:“ข้าไม่ได้ชอบเจ้า เจ้าหรือไม่ ?”
อวิ๋นหลัวฉวนมองไปที่อ๋องตวนอย่างเหนื่อยหน่าย:“เป็นอย่างที่ท่านอ๋องตวนกล่าวเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ได้ชอบท่าน แต่แล้วอย่างไร เรื่องการอภิเษกสมรสไม่ใช่เรื่องที่เราสองคนสามารถตัดสินใจเองได้ แล้วท่านอ๋องล่ะเพคะ ?ก็เหมือนเช่นหม่อมฉัน ไม่สามารถที่จะตัดสินใจเรื่องการอภิเษกสมรสด้วยตนเองได้
หากท่านอ๋องทรงเป็นบุรุษจริงก็ควรจะมีความชอบธรรม ไปหาฝ่าบาทแล้วบอกจะไม่แต่งงานกับข้าแล้ว อย่าทรงผลักเรื่องที่ท่านแก้ไม่ได้มาให้หม่อมฉัน ท่านอ๋องไม่รู้สึกว่ามันน่ากระดากใจไปหน่อยหรือเพคะ ?”
อวิ๋นหลัวฉวนเข้าไปดูดอกไม้ข้างใน นั่งยอง ๆ และใช้นิ้วมือเด็ดดอกไม้ที่เน่าเสียทิ้ง และใช้ดินปลูกดอกไม้อย่างดี
อ๋องตวนมองดูมือสีขาวผ่องของอวิ๋นหลัวฉวนอย่างใจลอย และคิดว่าหากเป็นฉูฉู่นางคงจะไม่ทำเช่นนี้ เพราะฐานะของนางไม่อนุญาตและนางคิดว่ามันสกปรก
อวิ๋นหลัวฉวนทำอยู่สักพักแล้วลุกขึ้นจะไปล้างมือ ตำหนักข้างมีคนไม่มากนัก นางไม่คุ้นเคยกับตำหนักข้าง นางหาอยู่สักพัก แต่ก็หาที่ล้างมือไม่ได้เลย
“ที่ล้างมือที่นี่อยู่ที่ไหนเพคะ ?” อวิ๋นหลัวฉวนถามอ๋องตวน และอ๋องตวนก็พาอวิ๋นหลัวฉวนไปล้างมือ
เมื่อออกมาจากที่ล้างมือแล้ว อวิ๋นหลัวฉวนก็เตรียมที่จะจากไป และบอกว่านางยังไม่อยากแต่งงาน
อ๋องตวนก้มลงมองรูปร่างที่ไม่สูงมากนัก เห็นได้ชัดว่ายังเด็กอยู่
“ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ แล้วเหตุใดจึงตอบตกลง ?” หนานกงเหยี่ยนถามโดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ลังเล:“ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเย่ทรงหงุดหงิดโมโหง่าย หม่อมฉันไม่อยากแต่งงานกับคนเช่นนั้น และได้ยินท่านปู่บอกว่าท่านอ๋องตวนนั้นสุภาพ หน้าตาหล่อเหลา เป็นบุรุษที่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าท่านอ๋องตวนนั้นดูดีแต่ภายนอก”
อวิ๋นหลัวฉวนนึกถึงเรื่องที่หนานกงเหยี่ยนเข้าข้างจวินฉูฉู่อย่างไม่แบ่งแยกถูกผิด นางจึงไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับอ๋องตวนเลยจริง ๆ
ใบหน้าของอ๋องตวนเขียวราวกับว่าสาวน้อยผู้นี้รังเกียจเขามาก
“ข้าไม่ใช่ผู้ที่ดูดีแต่ภายนอก เจ้าเพียงแค่จำไว้ว่าตราบใดที่เจ้าไม่ก่อเรื่อง ข้าก็จะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี ในเมื่อเจ้าต้องการแต่งงานเข้ามาในจวนอ๋องตวน เจ้าก็จงเป็นพระชายารองที่ดี น้อยข้างเคียงของคุณ มิฉะนั้นข้าจะไม่ทน”
หนานกงเหยี่ยนไม่เต็มใจที่จะอยู่ต่อ และออกจากตำหนักข้างไปที่ตำหนักหวาหยาง
แน่นอนว่าอวิ๋นหลัวฉวนไม่สนใจว่าหนานกงเหยี่ยนจะอยู่หรือไป นางเดินเตร่อยู่ข้างหลังอย่างไม่เร่งรีบ นางเห็นชายชุดกลุ่มหนึ่งเข้ามาจากใต้กำแพงอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะไปที่ห้องโถงหลักของตำหนักหวาหยาง ราวกับว่าไม่มีคนอยู่ อวิ๋นหลัวฉวนจึงรีบตามไปในทันที
ยังไม่ทันถึงห้องโถงใหญ่ของตำหนักหวาหยาง คนเหล่านั้นก็พบกับอ๋องตวน อ๋องตวนดูตื่นตระหนกมาก เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นมาหาอ๋องตวน และพวกเขาก็ล้อมอ๋องตวนไว้
หนานกงเหยี่ยนยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าของเขาดูเย็นชา:“พวกเจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าบุกเข้ามาในที่ตำหนักหวาหยางตอนกลางวันแสก ๆ ?”
ชายชุดดำมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นโบกมือ และคนหลายสอบคนก็ล้อมหนานกงเหยี่ยนไว้ในทันที จากนั้นก็หยิบดาบออกมาจากด้านหลัง
อวิ๋นหลัวฉวนเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี นางจึงวิ่งเข้าไปและตะโกนว่า:“ไอ้สารเลว ลานในพระราชวังเป็นที่ที่พวกเจ้าสามารถบุกเข้ามาได้งั้นหรือ ถ้าถูกจับได้พวกเจ้าคงไม่มีชีวิตรอด”
หนานกงเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองท่าทางที่ห้าวหาญของสาวน้อยคนนั้น แววตาของนางฉายแววดุร้าย
เขารู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย
ตระกูลอวิ๋นสร้างวีรบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น และบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็มีความดีความชอบในการรบเพื่อต้าเหลียง ดังนั้นตระกูลอวิ๋นจึงเป็นตระกูลที่ปกป้องบ้านเมืองมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
หนานกงเหยี่ยนกล่าวว่า:“กลับไปที่ตำหนังหวาหยาง อย่ามาเกะกะขวางทางที่นี่”
เมื่อชายชุดดำได้ยินที่หนานกงเหยี่ยนพูด พวกเขาก็รีบล้อมอวิ๋นหลัวฉวนไว้ อวิ๋นหลัวฉวนไม่กลัว แต่หนานกงเหยี่ยนกลับเป็นกังวล
“คนที่พวกเจ้าต้องการมาหาคือข้า ปล่อยคนบริสุทธิ์ไป” หนานกงเหยี่ยนไม่ต้องการให้ เกิดเรื่องขึ้นกับอวิ๋นหลัวฉวน
ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับอวิ๋นหลัวฉวน เขาก็คงปกป้องไม่ได้แม้แต่ผู้หญิงจริง ๆ