ตอนที่175 ก้มหัวยอมรับความผิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่175 ก้มหัวยอมรับความผิด

ฟู่เทียนยามนี้โกรธจัดแล้ว พอเห็นว่าจ้าวเฉียนกำลังเดินมาทางนี้ เขาก็พุ่งตรงไปหาทันทีด้วยความโกรธแค้น

เหลียวเซียวหยุนตกใจอย่างมาก เธอรีบฉุดแขนจ้าวเฉียนกลับเข้ามาเพื่อหลบ แต่อย่างไรจ้าวเฉียนยังคงเดินตรงไปหาอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ

“ระวัง!”

เหลียวเซียวหยุนกรีดร้องทันทีด้วยความกลัว

สองมือล้วนกระเป๋ากางเกง จ้าวเฉียนยืนตระหง่านอย่างเย่อหยิ่ง ราวกับกำลังรอให้ฟู่เทียนวิ่งเข้ามาชกแต่โดยดี

ผู้จัดการโรงแรมตกใจสุดขีด ถ้าคุณชายจ้าวได้รับบาดเจ็บในโรงแรมแห่งนี้ เขาโดนจ้าวฝู่เล่นงานแน่นอน ดังนั้นชั่วจังหวะทันควัน เขารีบพุ่งไปขวางหน้าจ้าวเฉียน และโยนทุ่มร่างฟู่เทียนจนนอนหมอบกับพื้นในชั่วพริบตา จากนั้นก็รีบบรรดาพนักงานโดยรอบให้เข้าจับตัวฟู่เทียนในทันที

ทุกคนรอบบริเวณทั้งหัวหน้าพนักงานและพนักงานทุกคนต่างอึ้งกันหมด ผู้จัดการของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ถึงขั้นลงไม้ลงมือขนาดนี้เลยเหรอ? มันก็ใช่ที่จ้าวเฉียนเป็นลูกค้าระดับVIP แต่ก็ใช่ว่ามีเขาแค่คนเดียว ร้อยวันพันปี ไม่มีใครเคยเห็นผู้จัดการดูแลแขกดีขนาดนี้มาก่อน

สภาพของฟู่เทียนดูไม่จืดเลย เขากรนด่าสาปแช่งขึ้นมาทันทีว่า

“มึง! มึงกล้าลงมือกับกูเลยเหรอ!? มึงกล้าจริงๆ!!”

ผู้จัดการโรงแรมปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าเล็กน้อย พร้อมผมเพ่าให้เป็นระเบียบ เอ่ยตอบเจือน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า

“คุณฟู่ กล้าใช้ความรุนแรงในสถานที่ของผม ผมเองก็ไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน ครั้งนี้ผมถือว่าตักเตือนนะครับ อย่าให้เห็นว่ากล้าใช้ความรุนแรงในที่ของผมอีก ไม่อย่างงั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน รปภ.! นำตัวสองคนนี้ออกไป!”

ฟู่เทียนไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ตัวเองจะต้องถูกรปภ.โยนออกไปทิ้งราวกับขยะแบบนี้ เขาคำรามเสียงดังโหลั่นด้วยความโกรธเคืองว่า

“มึงจำไว้เลย! กูไม่มีทางยอมมึงแค่นี้แน่นอน! มึงจะต้องเสียใจ!”

“หุหุ…งั้นผมจะรอนะครับ! หวังว่าคุณฟู่จะไม่ทำให้ผมต้องผิดหวัง”

ผู้จัดการกล่าวโต้กลับไปทันทีพร้อมใบหน้าแสนเย้ยหยัน

โดนยั่วยุกลับไปแบบนี้ ฟู่เทียนเกรี้ยวโกรธสุดขีดจนพูดไม่ออก

หลังจากนั้นไม่นอน รปภ.กลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งกันเข้ามาอย่างตื่นตระหนก และลากสองพ่อลูกตระกูลฟู่ออกไปทันที

จ้าวเฉียนปรบมือให้พร้อมกล่าวขึ้นว่า

“คุณผู้จัดการสุดยอดไปเลย! เอาซะผมสะใจไปด้วยเลย! สนุกมากครับ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วงออกหน้าแทนผม”

ผู้จัดการกล่าวตอบทันทีว่า

“เป็นเรื่องธรรมดาครับ คุณจ้าวเป็นถึงแขกชั้นVIPของเรา พวกเราขออุทิศตัวบริการให้ดีเลิศครับ”

จ้าวเฉียนพยักหน้า เขารู้สึกประทับใจอย่างมากกับความซื่อตรงของผู้จัดการคนนี้ จึงกล่าวตอบไปว่า

“ขอบคุณมากครับ แล้วผมจะมาใช้บริการอีกนะครับ อ่อ…ผมขออวยพรให้อนาคตต่อไป คุณผู้จัดการมีแต่ความรุ่งเรือง คิดสิ่งใดก็ขอให้สมความปรานารถนะครับ บางทีอาจมีมหาเศรษฐีสักคนเห็นความดีในตัวคุณ”

จ้าวเฉียนจงใจกล่าวทิ้งท้ายไปแบบนั้น ส่วนทางด้านผู้จัดการที่ได้ยินแบบนั้นก็ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และรีบขอบคุณทันที

“ขอบพระคุณมากครับ ขอบพระคุณจริงๆ ขอให้คุณจ้าวมีความสุขสุภาพแข็งแรงนะครับ!”

จ้าวเฉียนฮัมเพลงท่าทีมีความสุขยิ่ง และจากออกไปพร้อมกับเหลียวเซียวหยุน

ทันทีที่เดินออกไป เหลียวเซียวหยุนก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า

“จ้าวเฉียนบอกความจริงมาเถอะ ภูมิหลังของนาย…ไม่สิ…นายเป็นใครกันแน่? เราเองก็เป็นเพื่อนกันนะ อย่าปิดบังกันเลย!”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจและตอบไปว่า

“ฉันก็ชื่อจ้าวเฉียนนี่ไง จะเป็นใครล่ะ? ถ้าคุณยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อเส้นสาย ก็คงทำเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

เหลียวเซียวหยุนไม่เชื่อแม้สักนิด เธอเอ่ยถามต่อว่า

“เมื่อกี้ผู้จัดการบอกว่า การจะเป็นVIPได้ต้องมีทรัพย์สินส่วนตัวอย่างน้อย100ล้าน นี่เป็นเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น แถมยังต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนในการตรวจสอบประวัติ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนธรรมดาถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่1จะได้รับสิทธิ์นี้?”

“คุณนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยนะ ผมยัดเงินให้คุณผู้จัดการไปจำนวนมากกว่าจะได้บัตรVIPใบนี้มาได้ แต่มันก็คุ้มมากเช่นกันที่มีเส้นสายเป็นถึงผู้จัดการโรงแรมตงไห่ อย่างเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”

เหลียวเซียวหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดูท่าจะสมเหตุสมผลเช่นกัน สำหรับคนที่มีการบริหารจัดการเงินให้มีประโยชน์ที่สุดอย่างจ้าวเฉียน สิ่งที่เขาเหล่ากล่าวออกไปก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ผู้จัดการก็เป็นคนเช่นกันย่อมมีความโลภเป็นธรรมดา และเธอคาดเดาได้ว่าเงินจำนวนนั้นที่จ่ายให้ผู้จัดการใต้โต๊ะคงไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อทั้งสองเดินออกไปถึงหน้าประตูทางออกโรงแรม ก็พบกับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ที่ยังยืนเถียงกับรปภ. ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งโดนขับไล่ออกไป แต่ดูเหมือนว่าทั้งพ่อทั้งลูกจะไม่เต็มใจที่ต้องมาโดนเช่นนี้

เหลียวเซียวหยุนอดหัวเราะเยาะไม่ได้ เธอกล่าวกับฟู่เอ๋อร์ขึ้นว่า

“นายน่ะ หัดดูแลพ่อดีๆ หน่อย ไม่ใช่เที่ยวไปสร้างปัญหาคนจนต้องอับอายขายขี้หน้าแบบนี้ หรือนายไม่อายเลยเหรอ? ฮ่าฮ่า…นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายก็ต้องมายืนทะเลาะกับรปภ. นี่ไม่ดูไร้ค่าเกินไปหน่อยเหรอ? ไม่กลัวคนรู้จักมาเห็นเข้ารึไง?”

แม้ไม่ต้องคำนึกถึงความสมเหตุสมผลใดๆ เหลียวเซียวหยุนก็พูดได้ถูกต้องแล้ว แต่ฟู่เอ๋อร์กลับไม่รับฟังใดๆ โดยเฉพาะในเวลาที่มีจ้าวเฉียนอยู่เคียงข้าง

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ! ออกไป!”

ฟู่เอ๋อร์ตอบกลับด้วยความโกรธ

เหลียวเซียวหยุนพ่นลมหายใจไอเย็นยะเยือกใส่ขุมหนึ่ง เอ่ยตอบกลับไปว่า

“แล้วใครเขาสนใจนายกัน? ฉันก็แค่รำคาญสองพ่อลูกไร้สมองที่ทำตัวมีปัญหาเท่านั้น คิดว่านายเป็นใคร? ทำไมฉันจะต้องให้ความสนใจด้วย? ไร้สาระ”

ฟู่เทียนถึงกับชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง โดนเด็กสาวตัวน้อยถอนหงอกระยะเผาขน ช่างเป็นเรื่องอัปยศสิ้นดี

“คิดว่าตัวเองเป็นใครไอ้หนู! เวลาเห็นฉัน เธอควรปฏิบัติตัวให้สุภาพกว่านี้ บังอาจหยาบคายกับฉัน ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”

“ฮ่าฮ่า…ก็พ่อฉันไม่โง่เหมือนคุณแล้วกัน มีปัญหาอะไรไหม? ขอบอกไว้ก่อนเลย ฉันไม่จำเป็นต้องกลัวคนอย่างคุณ เพิ่งบอกว่า ฉันทำตัวให้สุภาพใช่ไหม? งั้นคุณก็หัดทำตัวให้น่าเคารพก่อนแล้วกัน!”

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า เขาไม่จำเป็นต้องมายืนทะเลาะกับคนพวกนี้อีกต่อไป จึงตบไหล่เหลียวเซียวหยุนเบาๆ และขยิบตาส่งสัญญาให้เธอกลับออกไปได้แล้ว

ฟู่เอ๋อร์ตะโกนด่าจ้าวเฉียนไล่หลังไปว่า

“จ้าวเฉียน! มึงรอกูก่อนเถอะ! สักวันเตรียมโดนคิดบัญชีได้เลย!”

จ้าวเฉียนพาเหลียวเซียวหยุนมาส่งถึงรถของเธอ และโบกมือลาให้

“ขับรถปลอดภัย”

“ทำไมนายไม่ไปส่งฉันที่บ้านด้วย? เอาเถอะ ตามสบายแล้วกัน”

เหลียวเซียวหยุนถอนหายใจเล็กน้อยเจือสีหน้าผิดหวัง

“อย่าลืมสิ วันนี้มันเทศกาลไหว้พระจันทร์นะ ฉันต้องวิดีโอคอลไปหาพ่อแม่สักหน่อย ในเมื่อพาพวกท่านไปทานข้าวกันไม่ได้ ก็มีแค่วิธีนี้แหละ”

เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจนัก เธอกลับว่า

“งั้นก็ขับรถระวังๆ ล่ะ อย่าขับเร็วเข้าใจไหม? วันนี้ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณนะ”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบและเดินกลับไปที่รถของเขา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวเฉียนกลับมาถึงคฤหาสน์ รีบอาบน้ำและวิดีโอคอลหาพ่อทันที

“ไอ้ลูกเวร ฉันคิดว่าแกลืมแม้แต่พ่อแม่คนนี้ไปซะแล้ว!”

จ้าวฝู่เปิดฉากบ่นเป็นอย่างแรก

“ฮ่าฮ่า…จะเป็นไปได้ไงพ่อ! ถ้าลืมแม้แต่พ่อแม่ ผมคงจำตัวเองไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร! วันนี้ผมออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับมาถึงก็แทบข้ามวันข้ามคืน ได้ข่าววันนี้คุณจ้าวฝู่ของเราหยุดหนิ ได้แวะไปทักทายคนอื่นๆ บ้างไหม?”

จ้าวฝู่โชว์จานอาหารบนโต๊ะและกล่าวว่า

“คุณปู่คุณย่าแกเห็นว่าจะมาเยี่ยม ฉันว่าจะไปรับอยู่ อ่อ…อย่าลืมโทรหาปู่แกด้วย หายหน้าหายตาไปนานเลย ทุกคนเขาคิดถึงนะเว้ย ถ้าหยุดก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมกันบ้าง”

“เข้าใจแล้วน่า! ช่วงนี้ผมก็ว่างพอดีแหละ ถ้าไม่มีอะไรผมจะกลับไปหยานจิ้ง แล้วไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าสักหน่อย”

“เออดีแล้ว สองคนนั้นบ่นคิดถึงแกไม่เว้นวัน ถ้าไม่ใช่เพราะติดปัญหาเรื่องการเดินทาง ปานนี้พวกแกสองคนลงไปเยี่ยมถึงเมืองตงไห่แล้ว”

……

พ่อลูกคู่นี้วิดิโอคอลคุยกันนานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะจบ ทันทีที่สองพ่อลูกวางสายไป ฟางนี่ก็โทรหาจ้าวเฉียนต่อทันที

“ฮาโหล จ้าวเฉียน นายสะดวกคุยไหม?”

ฟางนี่เอ่ยถาม

จ้าวเฉียนฉัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยตอบส่งๆ ไปว่า

“ก็อยู่ที่คุณฟางมีเรื่องอะไรจะพูด”

ฟางนี่เงียบนิ่งไปชั่วครู่ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเธออายเกินกว่าจะพูดออกมาได้

จ้าวเฉียนเองก็ไม่ทนรอเธอเช่นกัน จึงกล่าวไปว่า

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด งั้นแค่นี้นะครับ ผมจะนอน”

“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อน! ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่า เรื่องราวระหว่างนายกับสองพ่อลูกตระกูลฟู่ พอจะให้อภัยกันได้ไหม? ฉันรู้ดีว่านี่ไม่ยุติธรรมกับนายอย่างมาก แต่ฉันเองก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เขาบอกว่า ตราบเท่าที่นายเต็มใจ ก้มหัวยอมรับผิดทั้งหมดและขอโทษพวกเขา โปรเจคความร่วมมือระหว่างสองบริษัทจะกลับมาเหมือนเดิมทันที แล้วนายช่วยไปคุยกับคุณเหลียวหน่อยได้ไหม โปรเจคของหัวโหย้วกับเหล่ยอู่มันสำคัญกับบริษัทฉันมากจริงๆ!”

ฟางนี่รู้สึกผิดอย่างมากที่ต้องกล่าวอะไรออกมาแบบนี้ และน้ำเสียงของเธอดูไม่มั่นใจอย่างยิ่ง

จ้าวเฉียนตอกสวนกลับไปชนิดไม่ไว้หน้าฟางนี่เลยสักนิด

“ทำไมนับวันคุณถึงไร้ยางอายเหมือนจางหยางเข้าไปทุกที ไม่รู้สึกกระดากปากเลยเหรอครับ?”

“ฉันรู้…ฉันรู้…ฉันรู้ว่าตัวเองในตอนนี้ไร้ยางอายแค่ไหน แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ บริษัทของฉันต้องอยู่ต่อไปให้ได้ ถ้าไม่ได้โปรเจคเหล่านี้กลับมา บริษัทฉันต้องล้มละลายแน่นอน! อย่าลืมไปสิ นายยังมีหุ้นส่วนอยู่ในมือนะ! นายจะปล่อยให้มันสูญเปล่าแบบนี้น่ะเหรอ?”

ฟางนี่พยายามกล่าวเตือนสติจ้าวเฉียน

แต่จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเยาะอย่างไม่ไยดี พร้อมตอบไปว่า

“ผมมาช่วยยามที่คุณต้องการ แล้วก็ถีบผมส่งออกไปในตอนที่หมดประโยชน์แล้ว เป็นรู้สึกละอายใจแทนเลยครับ เงินส่วนนั้นผมก็คิดซะว่า เสียรู้ให้คนทรยศ ผมยังมีเงินเลี้ยงดูตัวเองอีกเยอะครับ แล้วไม่ต้องโทรมาแล้วนะครับ ผมจะนอน!”

หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็กดตัดสายทิ้งทันที

ฟางนี่กำลังประสบปัญหาครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ฟู่เทียนมอบให้กับเธอแล้ว คือการขอให้จ้าวเฉียนยอมก้มหัวสำนึกผิด แต่ตอนนี้จ้าวเฉียนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อไย ความหวังเดียวของเธอสูญสลายในพริบตา

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฟางนี่ก็โทรหาฟู่เทียน

“ฮาโหล คุณฟู่…”

“อืม เขาพูดว่าไง?”

“เขาไม่ต้องการขอโทษคุณ ไม่ทราบว่ายังพอมีหนทางอื่นที่จะให้โอกาสดิฉันอีกไหม…”

“เหอะ! แค่ให้ก้มหัวขอโทษมันยากนักรึไง! ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ลืมมันไปซะ!”

ฟู่เทียนวางสายไปทันทีที่พูดจบ ฟางนี่โยนมือถือลงข้างโซฟา เอนกายเหยียดนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอบอบช้ำถึงขีดสุดเกินทานทน