บทที่ 170 เสียใจแต่ไหนแต่ไรเป็นเรื่องเล็กน้อย โดย Ink Stone_Romance
คำพูดของเสียนอ๋อง คุณหนูจวินก็ได้ยินด้วย คงเพราะเป็นคำพูดของท่านอาสิบสอง นางจึงไม่รู้สึกถูกล่วงเกิน เพียงรู้สึกน่าขำยิ่ง ดังนั้นนางจึงหัวเราะลั่น
ทั้งอาเจียนทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะลั่น
นี่เหมือนเป็นบ้าจริงๆ
เสียนอ๋องจิ๊ปาก
“ดูสิเจ้าทำร้ายคนเสียอเนจอนาถ” เขาตายิบหยีเอ่ย
“เสียสติจริงๆ!” จูจั้นตะโกน หมุนตัวสะบัดมือเหมือนจะจากไป
แต่ไม่ทันก้าวเดินก็หันร่างกลับมายืนอยู่ด้านหน้าคุณหนูจวิน ดึงนางที่นั่งยองกับพื้นขึ้นมา หยิบผ้าเช็ดหน้าโปะบนหน้านาง เช็ดมั่วสั่วส่งเดชพักหนึ่ง
“เจ้าตั้งสติหน่อย ต้องกินยาอะไรเจ้าก็รีบกิน” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินถูกเขาเช็ดหวิดหายใจไม่ออก แต่นี่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน นางหยุดอาเจียนแล้ว น้ำตากับเสียงหัวเราะลั่นก็ถูกขยี้สลายไปด้วย
จูจั้นสีหน้ารังเกียจทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้บนตัวนาง
“เจ้าเสแสร้งแกล้งบ้าก็ไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ย “ออกไปให้ไกลข้าหน่อย”
เสียนอ๋องก็พยักหน้าติดจะเวทนาอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว แม่นางน้อย ไม่ต้องพูดถึงเจ้ามีลูก ต่อให้เจ้าตายเพื่อเขา เขาก็ไม่มีทางสนใจหรอก” เขาเอ่ย “เจ้าไม่รู้เด็กสาวที่ตายเพื่อเขาในแดนเหนือมีไม่ขาด เขาตายังไม่กะพริบสักนิด”
จูจั้นถลึงตาสบถทีหนึ่ง คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง
ที่แท้ท่านอาสิบสองกับจูจั้นหลังจากนั้นไม่ใช่ไม่ไปมาหาสู่กันจนตายนี่ ความสัมพันธ์ไม่เลว
“ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว” นางเอ่ย พลางเปิดหีบยา หยิบกระจกบานน้อย ผ้าเปียก หวี ออกมาจากช่องในหีบยา ถึงขนาดยังมีแป้งฝุ่น หันข้างเช็ดอย่างฉับไว
แทบจะพริบตาเดียวก็จัดการใบหน้าเรียบร้อย หมุนตัวมาอีกครั้งคำนับน้อยๆ
“เสียมารยาทแล้ว” นางเอ่ย
จูจั้นกับเสียนอ๋องถูกการเคลื่อนไหวลื่นไหลชุดนี้ของนางทำตื่นตะลึง ยังไม่ทันเอ่ยวาจา คุณหนูจวินก็สะพายหีบยาเดินออกไปแล้ว
“เด็กสาวคนนี้เหมือนคนเจนโลกคนหนึ่งเลย” เสียนอ๋องตอนนี้ถึงได้สติกลับมาเอ่ยขึ้น
“แน่นอนเป็นคนเจนโลกคนหนึ่ง” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ยขึ้น
“แต่คนเจนโลกคนหนึ่งเสียกิริยาเช่นนี้ ดูท่าคงจะเสียใจมากจริงๆ” เสียนอ๋องจิ๊ปากเอ่ย มองจูจั้น “เจ้าช่างเป็นตัวหายนะของสาวงามจริงๆ”
“เกี่ยวอะไรกับข้า” จูจั้นแค่นเสียงเอ่ย มองแผ่นหลังของเด็กสาวคนนั้น “นางวันจรดค่ำล้วนท่าทางเสียใจแบบนี้”
เสียนอ๋องร้องเอ๋
“สนิทมากจริงๆ ด้วย” เขาเอ่ย กะพริบตาที่ตี่จนแทบจะไม่มี “ทำไมนางเสียใจขนาดนี้เล่า?”
จูจั้นหัวเราะ
“เกิดเป็นคน ใครไม่มีเรื่องเสียใจสักเรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ย มือใหญ่สะบัดไพล่หลังเดินไปทางประตูบ้าน “มีอะไรหนักหนากัน”
เสียนอ๋องหัวเราะ มองแผ่นหลังของเด็กสาวคนนั้นไกลออกไปทีหนึ่ง ตามจูจั้นไป
“…อย่าคิดว่าเจ้าทอดถอนใจพร่ำปรัชญาชีวิตสองประโยคจะปัดเรื่องนี้พ้น”
“…คุณหนูคนนี้ก็คือคุณหนูจวินที่ซื่อเฟิ่งพูดถึงสินะ?”
“…เจ้าเสียท่าอะไรในมือนาง?”
“…หน้าตาไม่เลวนะ…”
…
ตอนที่คุณหนูจวินกลับมาถึงโรงหมอจิ่วหลิง อารมณ์ก็ฟื้นกลับมาแล้ว มองไม่เห็นสภาพผิดปกติใด เห็นนางกลับมา เฉินชี ฟางจิ่นซิ่วรวมถึงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่เร่งออกมาก็โล่งใจ
“เป็นครอบครัวของใต้เท้าท่านไหนหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามเป็นห่วงเป็นใย
“ลำบากอะไรหรือไม่?” เฉินชีเอ่ยถาม
ฟางจิ่นซิ่วไม่พูดจา มองดวงตาของนางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ก็แค่ขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง คนในบ้านก็ป่วยไม่หนักหนา แค่เจ็บคอ” คุณหนูจวินเอ่ย “ยาชุดเดียวก็หายดีแล้ว เพราะไม่ไกล ข้าก็เลยเดินกลับมาเอง”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพยักหน้า
“เดินกลับมาก็ดี” เขาเอ่ย
“รถม้าขององครักษ์เสื้อแพรยังไงก็นั่งน้อยหน่อย อัปมงคล”
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ของที่บ้าน ข้าส่งมาให้คุณหนูจวินแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ย ตัดสินใจไม่สานต่อหัวข้อสนทนาที่ไม่นับว่ามีความสุขนั้น
เทศกาลไหว้พระจันทร์หรือ
วันมะรืนก็สิบห้าแล้ว
เร็วจริงหนอ เวลานี้ปีที่แล้ว นางยังไม่ตายเลย
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
“ดูสิท่านยายส่งอะไรมาให้ข้า” นางยิ้มเอ่ย
“รถคันโตเชียว” เฉินชีก็เข้ามาร่วมวงด้วยเอ่ยขึ้น “เพิ่งเข้ามาในเรือนหลัง หลิ่วเอ๋อร์กำลังเก็บอยู่”
คุณหนูจวินยิ้มเดินเข้าไป หยางเฉิงส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์มาคันรถใหญ่จริงๆ จัดเก็บกันอย่างสนุกสนานเสร็จก็ค่ำมืดแล้ว ราตรีทอดตัวลงมา
เพราะตอนนี้มีเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วมาแล้ว บรรดาพนักงานจึงไม่ค้างคืนที่นี่ ปิดประตูจากไป สี่คนกินข้าวแล้วก็นั่งอยู่ในเรือนหารือว่าจะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์วันมะรืนอย่างไร
ท้ายที่สุดตัดสินใจไปกินข้าวบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก่อน หลังจากนั้นไปชมโคมไฟบนถนน
“โคมไฟของเมืองหลวงต้องน่าสนใจกว่าหยางเฉิงแน่” เฉินชีเอ่ยอย่างดีใจ
“พวกเราจะทำเองบ้างไหมเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม
“แน่นอนต้องทำเองบ้างสิ นี่ถึงเข้ากับเทศกาล”เฉินชีเอ่ย
มองเฉินชีเล่นกับหลิ่วเอ๋อร์ ฟางจิ่นซิ่วนั่งอยู่ข้างคุณหนูจวิน
“เรื่องนั้น” นางเอ่ย เสียงอดกลั้นอยู่บ้าง “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
คุณหนูจวินมองนางทีหนึ่ง
“อะไร?” นางเอ่ยถาม
นางไม่เคยมีประสบการณ์คบหากับเด็กสาว ฟางจิ่นซิ่วก็ไม่ชอบพูด ตั้งแต่มาถึงทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดจากันอย่างไร ทันใดนั้นได้ยินนางถามเช่นนี้ คุณหนูจวินตามไม่ทันอยู่บ้าง
“ที่นี่ไม่เหมือนหยางเฉิง องครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ใช่ตระกูลหลินจะเทียบได้ ถูกรังแกหรือเปล่า?” ฟางจิ่นซิ่วกำนิ้วมือจ้องต้นไม้ใหญ่ในลานเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินเข้าใจแล้ว ยื่นมือนวดหางตา แม้แป้งฝุ่นปิดไว้ แต่สำหรับเด็กสาวผู้ละเอียดรอบคอบย่อมยังคงค้นพบความผิดปกติ
“เปล่า” นางยิ้มตอบ “ข้าเป็นหมอ คนป่วยจ่ายเงินใจป้ำเป็นใช้ได้ ส่วนวาจาเกรงใจไม่ได้เรียกร้อง ดังนั้นจึงไม่มีถูกรังแกเรื่องเช่นนี้”
ฟางจิ่นซิ่วร้องอ้อ
นั่นแน่นอน อย่างเช่นตนเองขายน้ำตาลปั้น คนซื้อน้ำตาลปั้นจ่ายเงินก็คือยุติธรรม ส่วนท่าทีเป็นอย่างไรก็ช่างมันแล้ว
“ที่ข้าทุกข์ เป็นเรื่องอื่น” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ
ฟางจิ่นซิ่วผิดคาดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงคุณหนูจวินจะพูดกับนางต่อ นางร้องอ้อเกี่ยวนิ้วมือ ไม่ได้เอ่ยวาจา
“ส่วนเรื่องอะไรนั้น สถานการณ์ไม่ต่างจากเจ้าเท่าไร ก็คือไม่ได้ทำอะไรผิดชัดๆ กลับประสบพบโชคร้าย”
“ทั้งโกรธแค้นทั้งจนปัญญาทั้งไม่มีที่ให้โต้แย้ง ดังนั้นรู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรม”
ได้ยินคุณหนูจวินพูดถึงตรงนี้ ฟางจิ่นซิ่วก็คลายนิ้วออกมองต้นไม้ใหญ่หัวเราะแล้ว
ใช่สิ เป็นคุณหนูตระกูลฟางอยู่ดีๆ ทุ่มเททั้งใจเคียดแค้นศัตรูด้วยกัน กลับคิดไม่ถึง ท้ายที่สุดสวรรค์จะให้จุดจบเช่นนี้กับนาง
ทั้งโกรธแค้นทั้งจนปัญญาทั้งไม่มีที่ให้โต้แย้งจริงๆ หลายครั้งดึกดื่นเที่ยงคืนสะดุ้งตื่นขึ้นมา คิดดูแล้วช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ
ส่วนจวินเจินเจิน เป็นคุณหนูตระกูลขุนนางอยู่ดีๆ บิดาตายกะทันหัน ไม่อาจไม่วิ่งมาพึ่งพิงตระกูลฝั่งแม่ เดิมคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตสุขสบาย ผลสุดท้ายต้องหวาดผวารับมือแผนร้ายนานาชนิดทั้งที่ลับที่แจ้ง
ไม่ง่ายกว่าเรื่องที่บ้านท่านยายจะคลี่คลาย ยังต้องตรากตรำสืบทอดกิจการของตระกูล คบค้าสมาคมกับคนสารพัด
คิดขึ้นมาชาติกำเนิดนี่ ก็ช่างเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้อยุติธรรมนัก
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรนะ อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ดี” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “คนมีชีวิตอยู่ มีบางอย่างให้ทำก็ไม่เลวนะ”
นั่นก็ใช่ คิดเช่นนี้ก็ไม่ทุกข์เพราะอยุติธรรมแล้ว อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้นางมีชีวิตอยู่ ให้นางไปจัดการความอยุติธรรมนี้ได้
“ข้าเขียนจดหมายเรียกเจ้ามา ตอนเจ้าเห็นกลัวหรือไม่?” คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วยิ้มเอ่ยขึ้น “เจ้าดู ทำสิ่งใดที่นี่ออกจะน่ากลัวจริงๆ”
ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาใส่นาง
“ข้ากลัวไม่กลัวในใจเจ้าไม่กระจ่างหรือ?” นางเอ่ย
คุณหนูจวินมองนาง ยิ้มแล้ว
“ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบข้า ต้องช่วยข้า” นางเอ่ย
คนหน้าไม่อายคนนี้
ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนาง
“เจ้า เจ้าดูจากตรงไหนว่าข้าชอบเจ้าน่ะ” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
คุณหนูจวินกำลังจะพูด ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูลอยมา ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ฟางจิ่นซิ่วก็โดดขึ้นมาแล้ว
“ข้าไปดูว่าใคร” นางทิ้งประโยคถัดไปไว้วิ่งออกไป
เฉินชีส่ายศีรษะยิ้มพูดกับหลิ่วเอ๋อร์ต่อ
ฟางจิ่นซิ่วเดินเข้าโถงด้านหน้า จุดโคมไฟสว่างพลาง พรูลมหายใจขานรับเปิดประตูไปพลาง
ด้านนอกประตูชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ก้าวมาข้างหน้าหลังนางเปิดประตู
สองฝั่งเห็นหน้ากันต่างสีหน้าตะลึง
“คุณหนูสามฟาง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น บนหน้าผุดรอยยิ้ม “ท่านมาแล้วรึ”
ฟางจิ่นซิ่วมองเขาสีหน้ายังคงตื่นตะลึง
“คุณชายสิบหนิง” นางเอ่ย “ท่านมาได้ยังไง?”
คงไม่ใช่…
“ข้ามาหานาง” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย
เอาอีกแล้ว!
มาถึงเมืองหลวงยังเป็นเช่นนี้อีกรึ?
นี่จะจบไม่จบ!
……………………………………….