ตอนที่ 669 ไปแล้ว แค่จากไปเหรอ / ตอนที่ 670 คำตอบที่เหนือความคาดหมาย

หวานรักจับหัวใจท่านประธาน

ตอนที่ 669 ไปแล้ว แค่จากไปเหรอ

สี่พี่น้องตระกูลสิงแต่งงานค่อนข้างเร็ว

พี่คนรองไม่มีลูก รับสิงลี่มาเลี้ยง

ลูกคนที่สามกับคนที่สี่มีลูกค่อนข้างมาก

ตอนนี้คนที่บอกว่าตัวเองชื่อสิงฟางก็คือลูกสาวคนโตของพี่สามตระกูลสิง และก็เป็นเด็กคนเดียวที่ดูจะเข้าท่าที่สุดในบรรดาคนในตระกูลสิงทั้งหมด

ผลการเรียนดีเด่น หลังจากเรียนจบก็ทำงานต่างถิ่นเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอยู่ตลอด

และก็เป็นเพราะเธอ ตระกูลสิงจึงต้องไม่ถึงขึ้นต้องไปนั่งขอทานอยู่ข้างถนน

ตอนนี้ สิงฟางเดินมาอยู่ตรงหน้า

มองพิจารณาเหนียนเสี่ยวมู่ที่ดูปกติแข็งแรงดี จากนั้นก็เอื้อมมือไปกอดเหนียนเสี่ยวมู่เอาไว้

“เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดี ฉันนึกว่าเธอจากไปหลายปีโดยไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ชาตินี้คงไม่มีโอกาสเจอหน้าเธอแล้วซะอีก……”

สิงฟางรู้สึกตื้นตันมาก พูดออกไปได้นิดเดียวก็สะอึกไป

เหนียนเสี่ยวมู่ที่จู่ๆ ก็โดนกอดตกใจไปชั่วขณะ

ความคิดแรกที่แวบเข้ามาก็คือดีนะที่สิงฟางเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนบางคนคงได้หน้าคล้าขึ้นมาอีก

เหนียนเสี่ยวมู่หันไปมองอวี๋เยว่หานที่มีสีหน้าไร้อารมณ์แวบหนึ่ง

วินาทีต่อมาก็เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างกระอักกระอวน

“คือว่า เมื่อก่อนเราสนิทกันเหรอ ฉันหมายความว่า ฉันจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น……” เหนียนเสี่ยวมู่อธิบายอย่างร้อนรน แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บจนความจำเสื่อมได้อย่างไร

ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่เธอเห็นสิงฟางแม้ในสมองจะนึกภาพอะไรไม่ออกเลยแต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอยากปลีกตัวออกห่างจากหญิงสาว

อีกอย่าง หญิงสาวน่าจะเป็นคนเดียวในตระกูลสิงที่ไม่ได้พูดสาปแช่งเธอ แถมยังเป็นห่วงเธออีก เธอสัมผัสได้ว่า สิงฟางเป็นห่วงเธออย่างจริงใจ

“จำไม่ได้แล้ว……” สิงฟางนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดทำนองนี้ อึ้งไปอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็บ่นออกมาอย่างเข้าใจ

“ที่แท้เธอลืมพวกเราไปแล้วนี่เอง ถึงว่า เธอจากไปตั้งหลายปีไม่เคยติดต่อมาหาพวกเราเลยสักครั้ง”

“จากไป?” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินคำพูดนี้ของเธอเป็นครั้งที่สอง ก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

คนในตระกูลสิงต่างคิดว่าเธอตายไปแล้ว

ทำไมสิงฟางถึงนึกว่าเธอแค่จากไปล่ะ

ตอนที่ได้ยินครั้งแรก เธอก็นึกว่าแค่พูดผิดไป แต่สิงฟางพูดมันออกมาถึงสองครั้ง

ในสมองของเหนียนเสี่ยวมู่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบจับมือของหญิงสาวเอาไว้แล้วเอ่ยถาม

“คุณบอกว่าตอนนั้นพวกเราสนิทกัน แล้วคุณรู้เรื่องที่เกี่ยวกับฉันมากน้อยแค่ไหนคะ”

“ไม่ถือว่าสนิทกันมากหรอก ตอนเด็กๆ เธอต้องเรียนเยอะมาก จึงแทบไม่ได้มาเล่นกับพวกเรา แต่ว่าฉันเจอเธอมากกว่าคนอื่น” สิงฟางเห็นเธอสีหน้าไม่ค่อยปกติ จึงบอกออกไปตามความจริง

นึกอะไรขึ้นมาได้ก็หันไปมองที่หน้าประตู

ป้าสะใภ้รองที่พาเธอมายังแอบฟังอยู่ที่มุมกำแพง

เมื่อสบกับสายตาของหญิงสาว ป้าสะใภ้รองก็กระแอมไอออกมาอย่างวางตัวไม่ถูก “เสี่ยวฟาง เธอทำโอทีมากจนเสียสติไปแล้วหรือเปล่า ปฏิบัติกับตัวกาลกิณีนั่นราวกับของมีค่า รีบร้อนวิ่งมาหา ป้าไม่อยากยุ่งกับเธอนักหรอก เดี๋ยวจะเดือดร้อนเอาเปล่าๆ”

พูดจบก็เดินแกว่งมือจากไป

“คุณมีเรื่องอะไรอยากจะพูดกับฉันหรือเปล่า” เหนียนเสี่ยวมู่จับแขนของสิงฟางไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง เอ่ยถามขึ้น

สิ้นเสียง สิงฟางก็พยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางอวี๋เยว่หานที่อยู่ด้านหลังอย่างระแวง

เมื่อสบกับสายตาเยือกเย็นของอวี๋เยว่หาน หญิงสาวก็ตกใจจนต้องรีบเบนสายตาหนี

เหนียนเสี่ยวมู่เข้าใจความหมายของเธอ จึงเอ่ยปลอบ “เขาเป็นคนกันเอง คุณมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาได้ตามสบายเลยค่ะ

สีหน้านิ่งขรึมของอวี๋เยว่หาน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ใบหน้านั้นก็พลันอ่อนแสงลง

มุมปากยังมีรอยยิ้มประดับอยู่อย่างนั้น…….

คนกันเอง

เหนียนเสี่ยวมู่ยังคงไม่รู้ว่าคำพูดที่เธอพูดออกไปลอยๆ จะทำให้คนบางคนพอใจแบบนี้ หญิงสาวกำลังรอให้สิงฟางเอ่ยปากพูดอย่างตื่นเต้น……

ตอนที่ 670 คำตอบที่เหนือความคาดหมาย

“อือ” สิงฟางรับคำ จากนั้นก็เริ่มเอ่ยพูด

“ทุกคนไม่ยอมเชื่อว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดในครั้งนั้น แต่ว่าฉันเชื่อ! เพราะว่าฉันเธอถูกคนมารับตัวไปกับตา ตอนที่ตระกูลสิงไฟไหม้ เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซ้ำ เธอจะเป็นคนทำให้เกิดไฟได้ยังไงกัน”

เสียงโครมดังขึ้น

ราวกับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นในสมองของเหนียนเสี่ยวมู่

ผ่าเธอให้ชะงักนิ่งไปทั้งร่าง

ดวงตาเบิกโพลงจ้องไปยังสิงฟาง

มือที่จับแขนของสิงฟางกระชับแน่นขึ้นโดยไร้เสียงพูด น้ำเสียงสั่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เมื่อกี้คุณบอกว่ามีคนมารับตัวฉันไปก่อนที่จะเกิดไฟไหม้เหรอ”

“ใช่!”

สิงฟางนึกถึงเรื่องในวันนั้น แววตาก็เปลี่ยนซับซ้อนขึ้น

“ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดของตระกูลสิง มีแค่ลุงใหญ่ที่มีความสามารถที่สุด คอยช่วยดูแลพี่น้องคนอื่นๆ ขนาดเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันยังให้พวกเขาเลย พ่อฉันแพ้พนันกลัวว่าจะโดนแม่ฉันอาละวาด เลยให้ฉันแอบไปที่บ้านลุงใหญ่เพื่อขอยืมเงินมาก่อน”

“ฉันจำได้แม่นมาก ตอนที่ฉันไปถึงบ้านเก่าตระกูลสิงมันเป็นช่วงพลบค่ำ ฉันจำได้ว่าเธอชอบอยู่ที่สนามหญ้าคนเดียว เลยอยากให้เธอช่วยเปิดประตูให้จะได้หลบสายตาคนอื่นๆ แต่นึกไม่ถึงว่าพอฉันไปถึงประตูหลังบ้านก็เห็นว่ามีรถสีดำหลายคันจอดอยู่ ตอนนั้นก็อึ้งไป ต่อมาก็เห็นว่าลุงใหญ่กับป้าสะใภ้จูงเธอออกมาจากสนามหญ้า……”

สิงฟางนึกถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป

“ตอนนั้นลุงใหญ่เป็นคนอุ้มเธอขึ้นรถ เหมือนว่าในรถจะมีคนนั่งอยู่ด้วย มีบอดี้การ์ดใส่ชุดดำยืนอยู่รอบๆ ฉันไม่ทันจะเอ่ยเรียกชื่อเธอ ประตูรถก็ปิดลง ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ไม่ได้ขึ้นรถไปด้วย ตอนนั้นเธอโผล่ออกมาโบกมือให้พวกเขาทางหน้าต่างรถ จากนั้นรถก็แล่นขับออกไป”

สิงฟางเงยหน้าขึ้น พูดอย่างมั่นใจ

“วันที่เกิดไฟไหม้ มีคนมารับตัวไปแล้ว เธอไม่ได้อยู่ในบ้านนั้นด้วยซ้ำ เธอจะเป็นคนจุดไฟได้ยังไงกัน”

“……”

เหนียนเสี่ยวมู่แข็งทื่อไปทั้งร่าง ยืนอยู่ที่เดิมราวกับพระจำศีล

ได้ยินคำพูดของสิงฟางก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ไปชั่วขณะ

มีคนมารับตัวเธอไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้

เหตุการณ์ไฟไหม้ของตระกูลสิงเมื่อสิบปีที่แล้วไม่ได้เป็นเพราะเธอ

ดังนั้น เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่บุญธรรมของเธอ

เหนียนเสี่ยวมู่ได้สติขึ้นมา “เธอเคยบอกเรื่องนี้กับคนอื่นๆ ในบ้านหรือเปล่า”

“เคยบอก”

สิงฟางพูดถึงตรงนี้ ก็โมโหราวกับลูกโป่งพองๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง

สองมือแบออก

“บอกตั้งแต่สิบปีก่อนจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเชื่อฉันสักคน พวกเขาคิดว่าฉันบ้าไปแล้ว เธอเป็นลูกสาวแท้ๆ ของลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ พวกเขาดูแลเธออย่างไม่คลาดสายตามาตั้งแต่แบเบาะ จะให้คนอื่นมารับตัวเธอไปได้ยังไง อีกอย่าง หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ สิงลี่ก็ยืนยันหนักแน่นว่าเธอเป็นคนจุดไฟหลังจากทะเลาะกับลุงใหญ่และป้าสะใภ้ เขาเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเธอ เขาพูดแบบนี้ก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ต่อมาพอฉันพูดแก้ต่างให้เธอก็มักจะโดนพ่อตี นานเข้า ฉันก็ไม่กล้าพูดแล้ว”

น้ำเสียงของสิงฟางเต็มไปด้วยความอ่อนใจ จนปัญญา

เหมือนคนที่มีสติอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงคนบ้า

เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปได้เธอจึงต้องแกล้งเป็นบ้าไปด้วย

มิฉะนั้น ในสายตาของคนอื่นเธอนั่นแหล่ะคือคนบ้า

เหนียนเสี่ยวมู่กำมือแน่น “ฉันโดนรับตัวไปตอนกลางวัน ไฟไหม้เกิดตอนกลางคืน ฉันไม่ได้อยู่ที่บ้านสิงแล้ว แล้วคนที่เข้าไปเผาของที่ห้องของฉันหลังจากฉันจากไป……”