บทที่ 903 ความสิ้นหวังสุดท้าย

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

สภาพแวดล้อมปิดตาย การรอคอยอย่างสิ้นหวัง…เหล่าผู้รอดชีวิตในบริษัทลอว์สันถูกความกดดันดึงลงสู่ห้วงแห่งความบ้าคลั่ง หลังจากบ้าคลั่งผ่านไป พวกเขาก็ด่ำดิ่งสู่ความกลัว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้บันได ศพที่ถูกฎฆ่าตายอย่างน่าอนาถถูกโยนลงไปที่ชั้นสอง ส่วนพนักงานอีกคนที่ถูกมัดมือติดกับบันไดนั้นหายใจรวยริน ผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ตาย

คนที่เหลือต่างพากันปลอบใจตัวเองอย่างทุกข์ทรมาน แต่ผ่านไปหลายวันแล้ว ทีมช่วยเหลือก็ยังคงไม่มา…

“อาหารและน้ำจำนวนน้อยที่พวกเราหาเจอในโรงอาหารพนักงานในตอนแรก ความจริงมีไม่พอยาไส้ด้วยซ้ำ และเพื่อถ่วงเวลา แต่ละคนก็ได้ส่วนแบ่งอาหารกันน้อยมาก ดังนั้นหลังจากที่ขาดอาหาร ทุกคนก็หิวโหยจนทนไม่ไหว พอถึงตอนนั้นก็เริ่มมีคนสงสัยว่าทีมช่วยเหลือจะมาจริงหรือไม่ บางคนก็เริ่มเสนอว่าให้หนีออกไปหาอาหาร…แต่ไม่มีใครคาดคิดเลย ว่าการที่คนมากมายรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ได้ดึงดูดซอมบี้มากมายให้เข้ามาตั้งนานแล้ว พวกซอมบี้หาพวกฉันไม่เจอ แต่กลับสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพวกฉัน พวกมันปิดกั้นตึกทั้งหลังไว้ทุกทาง พวกฉันไม่มีทางออกไปได้เลย…”

หญิงชุดขาวหัวเราะแปลกๆ อีกครั้ง “ตอนนั้นฉันกลัวมาก ทั้งกลัวว่าจะถูกซอมบี้กิน และกลัวว่าตัวเองจะหิวตายไปทั้งอย่างนั้น…ผู้หญิงที่อยู่กับฉันในตอนนั้นเป็นเพื่อนร่วมงานแผนกเดียวกับฉัน พวกเราสองคนขี้กลัวมาก วันๆ ก็เลยได้แต่นั่งปลอบใจกันเอง มนุษย์ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง ถึงแม้จะอ่อนแอมาก แต่ถ้าหากมีที่พึ่งหรือแรงขับเคลื่อน ก็จะสามารถอดทนยืนหยัดต่อไปได้ แต่พอถึงเวลาอย่างนั้น ไม่ว่าจะยืนหยัดอีกซักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ฉันเองก็ไม่คิดว่าเธอจะสติแตกไปก่อนฉันซะอีก เธอร้องไห้แล้วบอกว่าพวกเราจะกลายเป็นเหมือนศพสองศพนั้น ที่ต้องนอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น และรอวันเน่าตายไปอย่างเงียบๆ…”

“นายเข้าใจความรู้สึกที่ต้องรอวันตายมาถึงไหม? แล้วก็ความหวาดกลัวด้วย? อ้อ ใช่สิ นายไม่รู้…ความจริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก บางทีพอนึกย้อนไป ฉันก็จะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังมองดูฉันอีกคน…เหมือนตอนนี้” เธอยังคงก้มหน้ามองศพผู้หญิงคนนั้น พลางบอก

หลิงม่อไม่ได้โต้ตอบ เขายังคงมองหาโอกาส…โอกาสที่จะเปิดช่องให้เย่เลี่ยนลั่นไกปืน

“แต่ที่ฉันคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ เสียงร้องไห้ของเธอกลับนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…และในเวลาอย่างนั้น ก็ไม่มีใครคำนึงอีกแล้วว่าสิ่งที่พวกเราจะทำเป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือไม่ เพราะไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าความตายอีกแล้ว เพื่อมีชีวิตรอดต่อไป ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ผิด…”

ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของหญิงสาว เสียงสั่นเครือหนึ่งพลันดังขึ้นมา

“ใช่แล้ว…ยังมีศพอยู่ไม่ใช่หรอ?”

ไม่มีใครพูด แต่กลับมีคนเงยหน้ามองเขา

คนคนนั้นกระตุกมุมปาก แล้วพูดต่อว่า “แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาเน่าเปื่อยไปเฉยๆ…สู้…ฉันหมายถึง พวกเขาไม่ใช่คนแล้วนี่? พวกเขาเป็นซอมบี้……ซอมบี้ยังกินคนได้ ทำไมพวกเรากินไม่ได้…ถึงจะติดเชื้อ ก็ยังดีกว่าตอนนี้…” เสียงพูดของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายกลับกระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

“นายบ้าไปแล้วหรอ!” มีคนตะคอก

“ฉันบ้า? ฮ่าฮ่า…ลองคิดดูให้ดีแล้วกัน หา? พวกแกอยากเน่าตายหรอ? พวกเราคิดผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว เราควรหาวิธีหนีออกไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีซอมบี้เยอะขนาดนี้ ตอนนี้ถึงอยากจะหนี ก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว…ถ้าหากยังพอมีแรงบ้าง พวกเราก็สามารถไปจากสถานที่บ้าๆ นี้ได้ ไปไหนก็ได้ทั้งนั้น ดีกว่าต้องอดตายทั้งเป็นอยู่ที่นี่!” พูดไปพูดมาเขาก็ร้องไห้ ทว่าความคลุ้มคลั่งในน้ำเสียงเขากลับยิ่งคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ

พอเห็นยังไม่มีใครพูดอะไร เขากลับยันตัวลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยสายตาดุดัน “ช่างหัวพวกแกแล้วกัน…เอาเป็นว่าฉันไม่อยากตายอย่างนั้น พวกแกก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเจ้านั่นแล้ว ฉันไม่อยากตายอย่างนั้น…ฉันจะมีชีวิตต่อไป ฉันจะต้องรอด…”

คนที่เหลือต่างมองดูเขาเดินโซซัดโซเซไปทางบันได เสียงพึมพำของเขาดังสะท้อนอยู่ในหูของทุกคน…

ต้องรอด ไม่อยากตาย…อย่างน้อย ก็จะตายไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้…มันน่ากลัวเกินไป น่ากลัวเกินรับไหว…

“จากนั้น…เรื่องราวก็ดำเนินต่อไปจนยากจะหยุดยั้งได้ แรกเริ่มเดิมทีมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ต่อมาก็กลายเป็นคนส่วนใหญ่…สุดท้าย ก็กลายเป็นทุกคน…บางคนกินไปด้วยอ้วกไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยังบังคับตัวเองให้กลืนลงท้องไป…หลายคนไม่ได้ทำเพื่อเติมท้องให้เต็ม แต่เป็นเพราะหวาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อมีคนนำ เรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นการแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งไร้เหตุผล” หญิงชุดขาวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หลิงม่อกลับรู้สึกหนังศีรษะชาไม่หยุด…

ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น คนกลุ่มนี้ถูกบังคับให้กลายเป็นบ้าไปแล้ว…

“จากนั้นล่ะ?” หลิงม่ออดถามต่อไม่ได้

หรือเป็นเพราะเรื่องพวกนี้กระทบกระเทือนจิตใจเธอเกินไป ดังนั้นถึงได้ส่งผลต่อการกลายพันธุ์ในภายหลังของเธอ? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คงไม่มีอะไรให้อ้างอิงได้มากนัก หรืออาจพูดได้ว่า นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่พบเจอได้น้อยมากเลยก็ว่าได้…สำหรับคนที่ผ่านภัยพิบัติในครั้งนั้นมา มีใครบ้างที่ไม่ซุกซ่อนความทรงจำอันเจ็บปวดไว้ในใจ? เหมือนเรื่องที่เกิดในบริษัท์ลอว์สัน ก็เกิดขึ้นกับในอีกหลายที่เหมือนกัน แต่หลังจากกลายพันธุ์ คนพวกนั้นกลับไม่ได้มีอาการเหมือนหญิงชุดขาว…

“เอ๋ ไม่ถูกสิ…” หลิงม่อปฏิเสธความคิดนี้ทันที เพราะเขาพบว่าตัวเองได้มองข้ามประเด็นสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ไป “พวกเขากินศพที่ถูกสงสัยว่าติดเชื้อนี่นา…”

“หลังเกิดเรื่อง ทุกคนต่างก็พากันเงียบ…พูดไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้ามากเหมือนกัน ก่อนเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ทุกคนล้วนพยายามกล่อมตัวเองให้เชื่อว่าสองคนนั้นติดเชื้อจริงๆ แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ แต่ละคนกลับเริ่มภาวนาขอให้พวกเขายังคงเป็นมนุษย์อยู่…แต่ถ้าหากเป็นมนุษย์จริงๆ พวกเราก็ได้ทำเรื่องที่น่ากลัวสุดๆ ไปแล้วไม่ใช่หรอ? ความคิดของมนุษย์ช่างย้อนแย้งกันจริงๆ จนถึงตอนนี้ ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองในตอนนั้นเลยว่าคิดยังไงกันแน่ สรุปคือทุกคนล้วนเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีใครอยากคุยกับคนอื่นอีก พวกเราแต่ละคนต่างแยกกันนั่งอยู่ตามมุมห้อง สายตาที่มองคนอื่นก็เริ่มไม่เหมือนเดิม…”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ มือของหญิงชุดขาวก็ชะงักไป “แต่ในคืนวันนั้น สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง หนึ่งในสองศพนั้น ติดเชื้อเข้าแล้วจริงๆ…ดังนั้นบางคนในพวกเราจึงเริ่มกลายพันธุ์ แต่คนอีกส่วนกลับยังคงปกติ…และฉัน กลับเป็นหนึ่งในคนที่เริ่มกลายพันธุ์…”

“ฟางอิ๋ง…” หญิงชุดขาวในตอนนั้นหอบหายใจหนักหน่วง เธอค่อยๆ คลานไปหาหญิงสาวอีกคน อีกฝ่ายสะดุ้งและหดตัวเข้าไปในมุมห้อง และมองดูเธอขยับเข้ามาตรงหน้าตัวเองอย่างเงียบงัน

“ฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย…” หญิงชุดขาวพูดเสียงเบา

ใบหน้าของฟางอิ๋งถูกเงามืดปกคลุมไว้ จึงมองไม่เห็นว่าเธอกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่กันแน่ ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอจึงค่อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เธอเป็นอะไรไป…”

“ฉันไม่รู้ ตรงนั้น…น่าจะเป็นเนื้อเน่าล่ะมั้ง…” หญิงชุดขาวบอก

ฟางอิ๋งยกมือปิดปากตัวเองทันที แล้วบอกว่า “เธออย่าพูดถึงเรื่องนั้นสิ!”

“แต่ว่า…ฟางอิ๋ง เธอรู้สึกไม่สบายบ้างไหม?” หญิงชุดขาวถาม “ฟางอิ๋ง ฉันจะตายไหม? ถ้าหาก…ถ้าหากฉันตายแล้ว พวกเธอจะทำยังไงกับฉัน? เธอบอกมาสิ เธอจะช่วยฉันไหม?”

“อย่าพูดอีกเลย เธอไม่มีทางตายหรอก” ฟางอิ๋งถอยหลังอย่างต่อต้าน พลางพูดขึ้น

“ฉันร้อนจัง แต่ก็หนาวมากด้วย…หัวใจก็เต้นเร็วมาก…” หญิงชุดขาวพูดต่อ ตอนนี้สติของเธอเริ่มเลือนราง

ในที่สุดฟางอิ๋งก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เธอซ่อนตัวอยู่ในความมืดแล้วจ้องมองหญิงชุดขาว แล้วอยู่ๆ ก็กรีดร้องขึ้นมา “กรี๊ดด”

“เป็นอะไรไป?” หญิงชุดขาวถามพลางกระพริบตาปริบๆ

“ตะ…ตาของเธอ…เป็นสีแดง!…กรี๊ดด! เธอกลายพันธุ์แล้ว! เธอกลายพันธุ์แล้ว!” ฟางอิ๋งตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นยืนหมายจะวิ่งหนีหญิงชุดขาว

หญิงชุดขาวพลันสะดุ้งได้สติ เธอคว้าแข้งของฟางอิ๋งไว้ แล้วพูดเสียงเบา “ไม่นะ! ฟางอิ๋งเธออย่าตะโกนสิ! ฉันไม่อยากถูกตีจนตายทั้งเป็น! ฟางอิ๋งช่วยฉันด้วย เธอช่วยให้ฉันคิดหาทางเองเถอะนะ…ใช่แล้ว! ฉันจะออกไปจากชั้นสาม ให้ฉันออกไปก็พอแล้ว!”

“เธอจะทำให้ซอมบี้บุกเข้ามา!” ฟางอิ๋งร้องไห้ไปด้วยตะโกนไปด้วย “ทุกคนมานี่เร็ว เธอกลายพันธุ์ไปแล้ว!” เพราะความหวาดกลัว อยู่ๆ เธอก็ยกเท้าขึ้น แล้วเตะหญิงชุดขาวอย่างแรง…

“แล้วจากนั้น ฉันก็ถูกมัด…” หญิงชุดขาวเดินเข้าไปกลางวงศพเหล่านั้นช้าๆ แล้วก็หยุดอยู่ตรงหน้าศพผู้หญิงคนหนึ่ง ศพผู้หญิงคนนั้นดูค่อนข้างอ่อนวัย และเป็นศพที่นั่งอยู่ใกล้ศพหญิงสาวศพนั้นมากที่สุด “ฉันรู้ว่าคนอื่นไม่มีทางเห็นใจฉันหรอก ฉันถึงได้ขอร้องเธอไม่หยุด” เธอพูดกับศพผู้หญิงคนนั้น “แต่เธอก็ไม่ยอมช่วยฉัน แถมยังจ้องฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจอีกต่างหาก…”

“จากนั้นฉันก็เข้าใจแล้ว ตอนที่พนักงานคนนั้นขอร้องพวกฉัน สีหน้าของฉันในตอนนั้นก็คงจะเป็นแบบเธอ…และนายรู้ไหม เขาไม่ใช่คนที่ติดเชื้อจริงๆ กลับเป็นอีกคนที่ใช่…” หญิงชุดขาวบอก และเงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้า แต่เธอก็ยังคงยืนหันข้างให้หลิงม่อ และหลิงม่อก็มองเห็นเพียงใบหน้าครึ่งซีกที่เต็มไปด้วยรอยแผล

“ฉันไม่อยากตาย แต่ทุกคนกลับมองฉันด้วยสายตาอย่างนั้น แถมพวกเขาก็ลงมือกับฉันอย่างไม่ปรานี…เรื่องแบบนี้พอมีครั้งแรก ครั้งที่สองก็จะง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ ในตอนที่ฉันคิดว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว ชั้นล่างกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา มีคนอื่นกลายพันธุ์แล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเหมือนฉัน พวกเขาเพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ในมุมห้อง ดังนั้นกว่าพวกเขาจะถูกจับได้ พวกเขาก็ได้กลายพันธุ์อย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว…”

“ฉันถูกจับมัดไว้ชั้นบน ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องที่ดังอย่างต่อเนื่องมากจากข้างล่าง ฟางอิ๋งไม่กล้าลงไป เธอเอาแต่ยืนจับราวบันไดอยู่ไม่ห่างจากฉัน แล้วร้องไห้ไม่หยุด และเพราะเธอกำลังร้องไห้ เธอเลยไม่เห็นการกลายพันธุ์ขั้นต่อไปของฉัน และไม่ได้ยินเสียงฉันแกะเชือก ความจริงตอนที่ฉันหลุดออกจากการถูกมัด ฉันไม่ได้อยากฆ่าเธอ…ตอนทำงานเธอมักเรียกฉันว่าพี่สาวตลอด ถึงแม้ไม่ใช่พี่น้องจริงๆ แต่รอดมาจนถึงตอนนี้ด้วยกันได้ ฉันก็มีความรู้สึกพิเศษกับเธออยู่บ้าง…แต่ตอนที่ฉันพยายามเดินขึ้นไปชั้นบน กลับไม่ระวังทำเสียงดัง…ตอนนั้นฉันสภาพแย่มากแล้ว จึงควบคุมการเคลื่อนไหวได้ลำบากมาก ดังนั้นพอฉันหันกลับไป ฟางอิ๋งก็ได้ลุกขึ้นมา และสบตากับฉันอย่างเหม่อลอย…”

หญิงชุดขาวฉีกยิ้มขึ้นมา บอกว่า “ฉันว่า ให้ฉันไปเถอะนะ…”

—————————————————————————–