บทที่ 135 เมฆาสีชาดประกายแสงโลหิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 135 เมฆาสีชาดประกายแสงโลหิต

บทที่ 135 เมฆาสีชาดประกายแสงโลหิต

ในป่าลึก บนต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ขนาดสิบคนโอบ เฉินซีซ่อนตัวเงียบอยู่บนกิ่งที่มีพุ่มใบหนาทึบ ขณะเดียวกันญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาซึ่งเทียบได้กับคนที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแผ่กระจายออกไปทั่วพื้นที่โดยรอบเกือบหนึ่งร้อยลี้

ต่อมาไม่นานเป้าหมายจึงปรากฏตัว

ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีแดงเข้มผมถักเปีย ท่าทางบอกชัดถึงความร้ายกาจ ขณะนั้นเขาพุ่งวาบตรงมาทางเฉินซีอย่างรวดเร็ว ยามที่เขาก้าวไปแต่ละก้าวยาวกว่าหนึ่งร้อยจั้ง อีกทั้งความรวดเร็วก็ยากจะหาผู้เสมอเหมือน ราวกับความเร็วของสายฟ้าฟาด

หลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตกอย่างนั้นหรือ?

ชั่วขณะหนึ่งข้อมูลของคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพลันวาบขึ้นในใจของเฉินซี ยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดแห่งหุบเขาดาวตกมีอายุสิบเก้าปี บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดารา สำเร็จเต๋ารู้แจ้ง ศัสตราวิเศษขวานวงจันทร์ระดับมนุษย์ขั้นสูงสุด ทั้งเหี้ยมโหดและไร้ความปรานี ลีลาการต่อสู้ที่รวดเร็วและรุนแรง…

‘เจ้าคนนี้นั่นเอง… ทว่าข้าและเขาไม่ใช่มิตรหรือศัตรู เหตุใดจึงไล่ตามข้าอย่างไม่ยอมเลิกลาเช่นนี้?’

หัวคิ้วของเฉินซีขมวดแน่น หลังจากขับไล่นายน้อยแห่งตระกูลเซี่ย…เซี่ยจ้านออกไป ชายหนุ่มซึ่งลอบเคลื่อนไหวไปในป่ามาตลอด ทว่ากลับรู้สึกเหมือนมีคนกำลังติดตามมา ตอนนี้เขาปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์พุ่งกวาดออกไปจึงพบกับหลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตก เฉินซีจึงประจักษ์ในทันทีว่าตนกำลังตกเป็นเป้าของใครบางคน แต่ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดคนคนนี้จึงต้องไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ

ทันใดนั้นหลัวซิ่วเองก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่างเช่นกัน จากนั้นเขาพลันเงยหน้าขึ้นมา เงาสลัวและเย็นเยียบทว่าวาวโรจน์ด้วยแสงสีฟ้าประหลาดพุ่งวาบออกมาจากลูกนัยน์ตา และเพียงมองแวบเดียวนั้น เขาก็สังเกตเห็นเฉินซีซึ่งหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปราวสิบลี้แล้ว

วิธีมองของคนผู้นี้แปลกประหลาดนัก!

ในหัวใจของเฉินซีเต็มไปด้วยความขัดเคืองทันใดนั้นเขาก็กระโดดผลุงลงจากต้นไม้ทันที และพุ่งเข้าป่าลึกไปอย่างรวดเร็ว ใช่ว่าเขาจะกลัวอีกฝ่าย เพียงแต่ชายหนุ่มไม่อยากสนใจหลัวซิ่วซึ่งตามหลังมา ก่อนที่ตนจะพบกับเฉินฮ่าว

ผ่านไปชั่วไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เฉินซีตั้งใจว่าจะสัญจรผ่านพื้นที่โล่งในป่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ทว่าเขากลับสังเกตเห็นกลุ่มผู้บ่มเพาะสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในบริเวณลานโล่ง

ฝั่งหนึ่งเป็นคนหนุ่มสาวรวมสิบสามคน พวกเขาสวมชุดสีเงินเรียบร้อย ที่แขนเสื้อปักสัญลักษณ์กระบี่เหินสีเขียวเข้ม ที่น่าตกตะลึงคือพวกเขาคือกลุ่มศิษย์ของหนึ่งในหกตระกูลใหญ่…ตระกูลฉาง

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีเพียงห้าคนเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะสวมเครื่องแต่งกายแตกต่างกัน แต่บนแขนเสื้อของทุกคนมีตัวอักษรปักอย่างงดงามว่า ‘ตู้’ ซึ่งแน่นอนว่าคนเหล่านี้คือคนของตระกูลตู้

ขณะนั้นศิษย์ตระกูลฉางทั้งสิบสามคนได้เข้ามาล้อมฝ่ายตระกูลตู้ทั้งห้าไว้ตรงกลาง และทุกคนมีศัสตราวิเศษอยู่ในมือ สีหน้าท่าทีเผยให้เห็นความเหี้ยมเกรียม ซึ่งแสดงให้เห็นชัดว่าหากเกิดความขัดแย้งขึ้นเมื่อใด พวกเขาก็จะจู่โจมเข้าหากันอย่างรุนแรง

การที่จู่ ๆ เฉินซีก็โผล่เข้ามาทำให้ทั้งสองฝ่ายตกใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกสายตาหันขวับมามองเขาเป็นตาเดียว และเมื่อเห็นหน้าคนที่เข้ามา คนทั้งสองฝ่ายพลันแสดงออกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดว่าแววตาที่ศิษย์ของตระกูลตู้มองเฉินซีเปี่ยมด้วยความหวังในฐานะที่เขาเป็นมิตรกับตู้ชิงซีซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขาจึงต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะที่ศิษย์ของตระกูลฉางกลับจ้องมองมาอย่างดุร้าย แววตาขุ่นเคืองแฝงความข้องใจ

เฉินซีมองผ่านคนทั้งสองฝ่าย แต่เขาสังเกตเห็นว่ากระแสรังสีที่แผ่ออกมาของศิษย์ตระกูลตู้ทั้งห้านั้นออกจะสับสนอลหม่านอย่างมาก ทั้งสีหน้าก็เผือดซีด แสดงว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย คงเพราะทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกันมาก่อนหน้านี้

ชายหนุ่มมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น ในช่วงที่มีงานเทียบอันดับมังกรซ่อน บางคนอาจรวมกันเป็นกลุ่มสหายเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับศิษย์จากกองกำลังใหญ่แห่งอื่นได้อยู่ดี และเมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจึงไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง

สำหรับเฉินซีไม่ได้ตั้งใจจะหยุดช่วยเหลือแต่อย่างใด ขณะนั้นชายหนุ่มขยับทำท่าจะไปต่อ เขาเป็นมิตรกับตู้ชิงซีก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนตระกูลตู้ทุกคน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฝ่ายตระกูลตู้ดูเป็นรองศิษย์ของตระกูลฉางอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดแค่พวกเขาทำลายยันต์เคลื่อนย้ายก็จะสามารถหนีไปได้โดยไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต

เหนือสิ่งอื่นใด แม้ว่าเขาจะเข้าไปช่วยคนพวกนั้นให้ผ่านวิฤตในครั้งนี้แล้วต่อไปพวกเขาจะทำอย่างไร จะสามารถก้าวขึ้นสู่เจดีย์ชั้นที่สองได้หรือไม่ หรือจะขึ้นสู่ชั้นที่สามได้หรือ? เมื่อพลังไม่แข็งแกร่งพอ การรู้ว่าเมื่อใดควรถอยดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เมื่อกลุ่มคนพวกนั้นเห็นท่าทางของเฉินซี สายตาของศิษย์ตระกูลตู้ทั้งห้าก็ดูจะผิดหวังขึ้นมา ในขณะที่ฝั่งศิษย์ของตระกูลฉางแอบดีใจเงียบ ๆ

ฉับพลันที่เฉินซีขยับตัวพุ่งออกไกลกว่าสิบจั้งก็มีเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนมาจากข้างหลัง “สหายเต๋าเฉินซี ห่างออกไปร้อยลี้ บริเวณนั้นมีผู้บ่มเพาะตระกูลซูรวมตัวกันอยู่กลุ่มใหญ่ เจ้าต้องระมัดระวังให้ดี”

เฉินซีชะงักฝีเท้าหยุดทันที และเมื่อหันไปมองจึงได้พบกับเจ้าของเสียงเตือน ซึ่งก็คือเป็นหนุ่มน้อยที่ได้รับบาดเจ็บจนใบหน้าซีดเซียว เขาเป็นหนึ่งในห้าของศิษย์ตระกูลตู้

ชายหนุ่มสามารถแยกแยะความจริงใจในคำพูดเหล่านั้นได้ จึงเงียบงันไปชั่วขณะก่อนที่จะหมุนตัวหันกลับมา “เจ้าชื่ออะไร เหตุใดจึงบาดเจ็บถึงเพียงนี้”

‘เมื่อมีคนแสดงน้ำใจต่อข้า ข้าก็จะตอบแทนคืนให้เป็นสิบเท่า!’

หากไม่มีใครเตือน เฉินซีคงรีบไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และแม้ว่าต่อไปตู้ชิงซีจะถามไถ่เขาเรื่องนี้ เขาก็จะไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด ทว่าตอนนี้ศิษย์ตระกูลตู้กลับเอ่ยเตือนเขาด้วยความสุจริตใจ อีกทั้งยังไม่รีรอที่จะบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เขาด้วย ถ้าเขายังไปเสียโดยไม่สนใจคำเตือนนั้น หากเกิดอะไรขึ้นก็ยากจะหาข้ออ้าง

ศิษย์ตระกูลตู้เมื่อเห็นเฉินซีย้อนกลับมาแม้จะตกใจไม่น้อย หากสีหน้าของพวกเขาได้เผยความยินดีออกมาวูบหนึ่ง เจ้าหนุ่มน้อยหน้าซีดสูดลมหายใจ ขณะที่เจ้าตัวพยายามข่มความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นมาในใจ “ข้า…ตู้อวี่ บาดเจ็บเพราะศิษย์ของตระกูลซูขอรับ”

เฉินซีนิ่งงัน จากนั้นสายตาข้องใจได้เบนไปยังกลุ่มตระกูลฉางทั้งสิบสามทันที

“สหายเต๋าเฉินซี บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าตระกูลซูกับตระกูลฉางได้ผนึกกำลังกัน โดยพุ่งเป้าไปที่เจ้าและตระกูลต้วนมู่ ตระกูลซ่งและตระกูลตู้ของเรา”

“ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ ทางพระราชวังข่ายดาราและสำนักเมฆาอนันต์ก็เข้าร่วมกับฝ่ายตระกูลซูแล้วด้วย พวกมันผนึกกำลังกันถ้าเห็นศิษย์ของเราสามตระกูล พวกมันจะไม่ละเว้นเลย” เมื่อเห็นว่าท่าทีของเฉินซีตั้งใจที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ศิษย์ของตระกูลตู้ก็รีบพูดออกมา เข้าทำนองน้ำขึ้นให้รีบตัก

ใครคือเฉินซี? คนที่น่าเกรงขามสร้างวีรกรรมสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนกับผู้ฝึกขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกหนึ่งคน! หากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนคนนี้ สถานการณ์ย่ำแย่นี้คงได้รับการแก้ไขในไม่ช้า!

‘อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้พระราชวังข่ายดาราและสำนักเมฆาอนันต์ต่างก็รู้เรื่องที่ข้าสังหารไฉ่เล่อเทียนกับอวี้ฮ่าวไป๋แล้วสินะ? แต่พวกตระกูลฉางเล่า? ใช่แล้ว! ฉางปินตายด้วยคมกระบี่ของตู้ชิงซีในดินแดนของราชาอีกาทมิฬ…หากเป็นเช่นนี้จริง สถานการณ์ของข้ากับเฉินฮ่าวเห็นทีจะยิ่งแย่ลงไปใหญ่…’

ในหัวของเฉินซีเกิดความคิดผุดวาบขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน พลันทำให้สีหน้าท่าทีของเขากลายเป็นเย็นชา ชายหนุ่มหันไปมองกลุ่มศิษย์ตระกูลฉางก่อนจะเอ่ยกับคนเหล่านั้น “ถ้าพวกเจ้ามีคนมากกว่านี้ ก็คงไม่ปล่อยข้าไปแต่โดยดีกระมัง?”

“เจ้ารู้…” คนตระกูลฉางชายหนุ่มคนหนึ่งเผลอตอบคำถามของเฉินซี เขาอ้าปากจะย้อนถาม ทว่าไม่ทันพูดจบก็ตระหนักถึงความผิดพลาดตนเอง จากนั้นใบหน้าของมันพลันบิดเบี้ยวเหยเก

“เป็นอย่างนั้นจริงสินะ” เฉินซีพยักหน้าหงึก

“เฉินซี เจ้าต้องการอะไร?” เสียงศิษย์ตระกูลฉางร้องถามมา เมื่อต้องรับมือคนตระกูลตู้ทั้งห้าพวกเขาไม่เคยนึกเกรงเลยแม่แต่น้อย แต่เมื่อเพิ่มเฉินซีเข้ามาอีกคนทำให้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีหรือที่พวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงที่ดังกระฉ่อนของเฉินซีมาก่อน

ชื่อเสียงยิ่งมาก ยิ่งน่าหวาดกลัวมาก

หลักการนี้สมดั่งคำพูดที่ว่า ‘ความแข็งแกร่งนำมาซึ่งเกียรติยศชื่อเสียง และต้องแข็งแกร่งให้มากจนเป็นที่ยำเกรงแก่ขุนพล’

พลันกระบี่แปดเล่มทะยานแหวกอากาศขึ้นสู่ท้องฟ้าแทนคำตอบให้แก่ศิษย์ตระกูลฉางทั้งหลาย ขณะที่แสงเฉียบคมพุ่งวาบได้ผสานปราณกระบี่อันร้ายกาจปกคลุมไปทั่วชั้นฟ้า

การต่อสู้ยังความสับสนอลหม่าน ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเฉินซีในปัจจุบันรวมกับศิษย์ตระกูลตู้ทั้งห้าคน การกำจัดศิษย์ตระกูลฉางพวกนั้นนับเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

ศิษย์ตระกูลฉางกลุ่มนี้มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งสิ้น มิหนำซ้ำบางคนยังมีระดับบ่มเพาะสูงกว่าเฉินซีอีกต่างหาก ทว่าในเชิงเต๋าแห่งการต่อสู้ของคนเหล่านี้กลับด้อยกว่าชายหนุ่มอย่างสิ้นเชิง และยิ่งเมื่อเจอกับพลังแกร่งกล้าอันน่าสะพรึงกลัวของจิตวิญญาณของเฉินซีที่สามารถควบคุมกระบี่ท่องปรภพระดับมนุษย์ขั้นสูงทั้งแปดได้อย่างช่ำชอง การกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงทำได้โดยง่าย

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปมอดดับ บรรดาศิษย์ทั้งสิบสามคนของตระกูลฉางก็ถูกบังคับให้ต้องทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของตนเองและต้องออกจากเจดีย์แห่งนั้นพร้อมกับใจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ฟิ้วววว!

เฉินซีเก็บกระบี่ทั้งหมดเข้าที่และออกจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างนิดหน่อย เพื่อให้การต่อสู้ครั้งนี้ยุติลงโดยเร็ว เขาจึงทำได้เพียงยึดตราคำสั่งของศิษย์ตระกูลฉางไว้เท่านั้น และไม่ได้ฉวยเอาพวกแหวนมิติหรือเข็มขัดมิติของพวกมันมาแม้แต่ชิ้นเดียว อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เสียดายได้อย่างไร?

บัดนี้ศิษย์ทั้งห้าของตระกูลตู้เหนื่อยหอบอย่างแรงขณะที่ทุกคนนั่งลงกับพื้นที่ใกล้ ๆ กันนั้น สายตาที่พวกเขามองตรงไปยังเฉินซีเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม แม้จะรู้มานานแล้วว่าเฉินซีนั้นแข็งแกร่งมาก แต่พอได้มาเห็นกับตาตนเองว่าเฉินซีจัดการศิษย์ตระกูลฉางทั้งหมดได้อย่างง่ายดายเช่นไร พวกเขาก็ยังคงรู้สึกตกตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออกเป็นนาน

“ขอบคุณสหายเต๋าเฉินซีมาก ที่ให้การช่วยเหลือเราในครั้งนี้ พวกเราทุกคนรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” เสียงพูดของตู้อวี่และเขาก็เป็นคนแรกที่ผุดลุกขึ้นก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพ ทำให้คนอื่นพลอยขยับลุกขึ้นคำนับแสดงการคารวะขอบคุณเฉินซีด้วย

“ไม่เป็นไร พวกเจ้าทุกคนควรรีบไปรวมกับสหายของพวกเจ้าจะดีกว่า ลำพังพละกำลังที่มีอยู่ พวกเจ้าทุกคนคงจะเข้าสู่เจดีย์ชั้นที่สองได้ยาก” เฉินซีกล่าวตามตรง ตอนที่เขาร่วมต่อสู้กับคนทั้งห้า ชายหนุ่มลอบพิจารณาพลังที่แท้จริงของทั้งห้าคนอย่างละเอียด ซึ่งบอกตามตรงว่าแย่มากจริง ๆ กระทั่งตัวเขาเองยังแทบจะทนดูต่อไปไม่ได้

นอกจากนี้เฉินซียังพบด้วยว่าศิษย์ตระกูลฉางที่เพิ่งทำลายยันต์เคลื่อนย้ายจากไปก็น่าเวทนาไม่ต่างกับศิษย์ตระกูลตู้เหล่านี้ พวกเขาดูเหมือนจะมีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชนก็จริง ทว่ากลับขาดความเด็ดเดี่ยวและไม่ได้หาญกล้าอย่างที่ผู้ยิ่งใหญ่พึงมี

พวกเขาเหล่านี้เปรียบเสมือนไม้ประดับในเรือนกระจก ไม่ว่าจะผลิดอกบานสะพรั่งสวยงามเพียงใดก็มีพลังชีวิตเทียบไม่ได้กับไม้ป่าที่ผ่านลม ผ่านฝนมานักต่อนัก

แน่นอนเฉินซีไม่ได้ดูแคลนทุกคนที่สามารถเข้ามาในเจดีย์ไปทั้งหมด มีผู้บ่มเพาะกว่าหนึ่งหมื่นคนซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวตนที่โดดเด่นที่สุดของคนรุ่นเยาว์ในดินแดนตอนใต้ ซึ่งแน่นอนว่าท่ามกลางคนพวกนี้ย่อมมีบางคนที่มีพลังน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

พวกตู้อวี่นิ่งด้วยตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ท่าทีของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขาก็ไม่ได้โต้แย้งกับเฉินซี เพียงแสดงออกด้วยความอับอาย

“เอาล่ะ พวกเจ้าระวังตัวให้ดี ข้าไปล่ะ” ทันใดนั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ว่าหลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตกที่ไล่ตามเข้ามาทุกขณะ และตอนนี้กำลังอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงยี่สิบลี้

‘ไอ้คนนี้เหมือนภูตผีที่คอยตามหลอกหลอนไม่ยอมเลิกราแท้!’

ชายหนุ่มนึกสบถในใจ จากนั้นเขาก็ขยับตัวตั้งท่าจะหันหลังกลับไป หากไม่ทันไรเสียงหัวเราะหวีดแหลมชวนขนหัวลุกได้ดังออกมาจากป่าทึบทางด้านหลัง “เฉินซี ถ้ายังหนีไปอีก ข้าจะฆ่าคนที่เจ้าเพิ่งช่วยไว้ให้หมดทุกคน!”

คนที่ได้ยินหันขวับไปทางที่มาของเสียงอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เจ้านี่มันกล้าขู่ข้า ฉะนั้นมันก็สมควรตาย!

หลัวซิ่วแห่งหุบเขาดาวตก!

ส่วนพวกตู้อวี่กลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันทันทีที่ได้ยินแบบนั้น พวกเขาไม่อาจเดาได้ว่าเสียงที่ฟังน่าสลดหดหู่อย่างไม่เหมือนใครเช่นนี้เป็นของผู้ใด

“พวกเจ้าไปเสีย พวกเจ้าช่วยข้าไม่ได้ มิหนำซ้ำจะกลายเป็นภาระของข้าเสียเปล่า ๆ” เฉินซีออกคำสั่ง

สีหน้าของพวกตู้อวี่เหยเกไม่สู้ดีในทันที และมีสองสามคนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าทันใดนั้น ทุกคนจึงได้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไว้ผมถักเปียสวมชุดฮั่นฝูสีแดงสดทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เฉินซีพูดถูกแล้ว หากพวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่เท่ากับรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!” หลัวซิ่วในชุดฮั่นฝูสีแดงสดยิ่งทำให้เขาดูเหมือนอสูรกระหายเลือด เมื่อรวมกับเสียงแหลมน่าขนลุกของเขาก็ยิ่งกระตุ้นความกลัวให้ใครต่อใครโดยไม่ได้ตั้งใจ

ใบหน้าของพวกตู้อวี่แดงก่ำทั้งโกรธและอับอาย แต่ท้ายสุดพวกเขาก็ไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นจึงพากันรีบร้อนหลีกไปอย่างรวดเร็ว

“หนีไปกันหมดรวดเร็วแท้ ถ้าข้าไม่ใช้ชีวิตของพวกมันขึ้นมาขู่ เห็นทีเจ้าจะคงไม่ยอมพบหน้าข้าสินะ ใช่ไหม” หลัวซิ่วหัวเราะเอื่อย ๆ ลูกนัยน์ตาสีฟ้าหม่นของคนพูดจ้องเขม็งมายังเฉินซีดุจอสรพิษกำลังจ้องที่จะตะครุบเหยื่อ ดูราวกับปีศาจชั่วร้าย

“เจ้ากำลังทำให้ข้าโมโห” ใบหน้าของเฉินซีขณะนี้เรียบเฉยอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดได้ออกทะยานไปรอบตัวพร้อมกับสาดแสงกะพริบวูบวาบด้วยปราณกระบี่อันร้อนแรง

“ไม่รีรอที่จะลงมือ เจ้าคงไม่อยากรู้จุดประสงค์ในการมาของข้าครั้งนี้สินะ?” เสียงพูดอย่างใจเย็นของหลัวซิ่วดังมา

“ข้ารู้แค่ว่าต้องการจะฆ่าเจ้ามากที่สุดในตอนนี้!” หลังพูดจบ เฉินซีก็ยกมือขึ้นและชี้ออกไป ฉับพลันเสียงกระหึ่มดังออกมาจากแปดกระบี่ท่องปรภพ ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตรงเข้าหาหลัวซิ่วประหนึ่งสายฟ้าฟาด

“ได้เลย! ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะเอาชนะเจ้าเสียก่อน” หลัวซิ่วหรี่ตาสีฟ้าหม่นเล็กน้อย ขณะที่ประกายแสงแดงฉานกระจายออกจากร่างนั้น ก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและเปลี่ยนเป็นมวลเมฆสีแดงก่ำแผ่ปกคลุมอาณาบริเวณกว้างกว่าสิบจั้ง และแสงโลหิตได้แผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนาทันที จากนั้นจึงเริ่มจู่โจมเฉินซี พื้นที่โดยรอบไม่ว่าจะเป็นต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ เถาวัลย์ สุมทุมพุ่มไม้หรือแม้แต่พงหญ้า… เมื่อใดที่ถูกอาบด้วยแสงโลหิต ต้นไม้เหล่านี้จะสึกกร่อนลง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะแหลกสลายกลายกลุ่มควันสีเขียวหายไปทันที เป็นที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ทันทีที่แปดกระบี่ท่องปรภพของเฉินซีสัมผัสเจ้าก้อนเมฆแดงฉานกลุ่มนั้น พวกมันเหมือนจมหายเข้าไปในก้อนสำลีจนเป็นเหตุให้พลังที่สถิตอยู่ในกระบี่ถูกต้านทานกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า อีกทั้งกระบี่เองก็ถูกแสงโลหิตอันชั่วร้ายกัดกร่อนจนกระทั่งเกิดเสียงดังกึกก้อง

ขณะนั้นเฉินซีรีบบังคับกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นสภาพกระบี่บินของตนเองชายหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าเวลานี้แสงบนกระบี่หรี่ลงไปเป็นอันมาก นี่มันพลังอะไรกันแน่? เหตุใดจึงมีพลังกัดกร่อนหนักหน่วงเหลือเกิน!