ตอนที่ 407 มั่วชิงเฉินออกจากกักตน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ตั้งแต่ก่อแก่นปราณเป็นต้นมา เกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน ดังนั้นมั่วชิงเฉือนอยู่ในช่วงสภาพจิตใจเพียงพอตบะกลับไม่พออย่างหายาก

 

 

เวลาสองปีพูดไม่ได้ว่ายาวนาน นางตัดสินใจปิดประตูไม่รับแขกตั้งใจบำเพ็ญเพียร ทั้งสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่รู้เรื่อง อีกทั้งยังเพิ่มพูนความสามารถ ช่างเป็นเรื่องได้ทั้งขึ้นทั้งล่องจริงๆ

 

 

ทักทายเฉิงหรูยวน ถังมู่เฉินสองคนแล้ว นับแต่นี้มั่วชิงเฉินก็เริ่มทุ่มเทสู่ชีวิตการบำเพ็ญเพียร ที่ลานบ้านเงียบๆ ที่แยกออกมาที่เฉิงหรูยวนเปลี่ยนให้นางใหม่โดยเฉพาะ

 

 

การกักตนบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ไม่เหมือนอย่างทำลายคอขวดทะลวงเขตแดน นั่งบำเพ็ญเพียรเงียบๆ ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือนกระทั่งหลายปี ตรงกันข้าม ทุกวันบำเพ็ญเพียรเสร็จมั่วชิงเฉินก็จะปะทะคารมกับอีกาไฟที่พักสายตาอยู่บนต้นท้อเฒ่าในลานบ้าน หรือเย้าแหย่เขาน้อยที่ชอบอาบแดดสักหน่อย

 

 

ยามที่เลี้ยงจิตวิญญาณ นางยังหยิบกระบี่ชิงมู่ออกมาซ้อมอย่างสงบเยือกเย็น หวังว่าจะทะลวงขั้นที่สี่เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ได้ในเร็ววัน… วิญญาณบุปผาจรัสแสง

 

 

ที่นางให้ความสำคัญกับขั้นวิญญาณบุปผาจรัสแสงเช่นนี้ ที่จริงเป็นเพราะในอนาคตหากสำแดงโดยใช้ธนูชิงอิ่น จะเป็นวิชายุทธโจมตีหมู่ที่เหมาะสมอย่างที่สุด

 

 

ในม้วนคัมภีร์หยกพูดไว้ เมื่อเคล็ดวิชากระบี่ถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อสำแดงออกมาก็จะปรากฏแสงวิญญาณที่ก่อตัวจากปราณกระบี่หมื่นสาย ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนดุจจับต้องได้ สามารถแทงทะลุสมบัติวิเศษป้องกันชั้นเลิศได้

 

 

ลองนึกดู ปราณกระบี่ที่ร้ายกาจเช่นนี้หมื่นสายปล่อยออกพร้อมกัน จะมีอานุภาพเพียงใด

 

 

แน่นอน ต่อให้เชี่ยวชาญเคล็ดกระบี่ขั้นสี่ ก็ไม่มีทางปล่อยแสงกระบี่หมื่นสายตั้งแต่เริ่มแรกได้ หากแต่เป็นจากน้อยไปมาก ตามความตระหนักที่มีต่อเคล็ดกระบี่ที่สูงขึ้นทุกวัน นี่ก็คือเรื่องหลังจากนี้แล้ว

 

 

สงบใจลงมาโดยสิ้นเชิงทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญเพียร ไม่มีผู้อื่นและเรื่องหยุมหยิมคอยรบกวน ชีวิตจึงดุจสายน้ำที่อ่อนโยนเงียบสงบ ค่อยๆ ไหลผ่านวันแล้ววันเล่า

 

 

ยามที่เวลาสองปีค่อยๆ ล่วงเลยไป ตบะของมั่วชิงเฉินหนึ่งก้าวหนึ่งรอยเท้าเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นที่สี่ ในที่สุดก็ฝึกสำเร็จเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว แม้ยังปล่อยแสงกระบี่ไม่ถึงร้อยสาย กลับได้กำลังเสริมเพิ่มมาอีกหนึ่ง

 

 

นอกเหนือจากนี้ ต้นสำลีตกสวรรค์ที่ถูกนางใช้สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนรดอย่างใส่ใจมาตลอดในที่สุดก็โตขึ้นช้าๆ แม้ยังไม่ออกดอก ก็เป็นเพียงเรื่องช้าเร็วเท่านั้น

 

 

อีกาไฟและเขาน้อยในฐานะเผ่าปีศาจ แม้ไม่ขาดโอสถสำหรับกิน ตบะกลับเพิ่มช้ามาก บัดนี้ยังเป็นอสูรวิญญาณขั้นห้าทั้งคู่ มั่วชิงเฉินก็ไม่ใจร้อน อายุขัยเผ่าปีศาจเหนือกว่านักบำเพ็ญเพียรมาก เจ้าสองตัวนี้ล้วนไม่ถนัดการต่อสู้ ตนก็ไม่คาดหวังให้พวกมันช่วย สามารถบำเพ็ญเพียรก้าวหน้าตามครรลองเช่นนี้ได้ ก็ดีมากแล้ว

 

 

ทบทวนเคล็ดกระบี่รอบหนึ่งแล้ว มั่วชิงเฉินเก็บกระบี่ชิงมู่ขึ้น โบกมือเก็บต้นท้อเฒ่ากลางลานบ้านเข้าสวนยาพกพา จากนั้นเก็บผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเข้าถุงอสูรวิญญาณอีก

 

 

“เจ้านาย ท่านจะออกไปแล้วหรือ?” เขาน้อยสีขาวดุจหิมะทั้งตัวสะบัดขนที่ยาวและอ่อนนุ่ม ถามเสียงซื่อว่า

 

 

มั่วชิงเฉินลูบเขาของเขาน้อยทีแล้วทีเล่าว่า “เขาน้อยฉลาดจริงๆ”

 

 

เขาน้อยกะพริบตาอย่างน้อยใจว่า “เจ้านาย เขาน้อยไม่ชอบอยู่ในถุงอสูรวิญญาณ”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกผิดเล็กน้อย อีกาไฟและเขาน้อยล้วนเปิดปัญญาวิญญาณแล้ว แม้ในถุงอสูรวิญญาณมีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับให้อสูรวิญญาณบำเพ็ญเพียร อีกทั้งนางก็จงใจไม่ได้ตัดขาดการติดต่อระหว่างพวกมันและโลกภายนอก ทว่าอสูรวิญญาณเหมือนเขาน้อยนี้ กลับใกล้ชิดกับธรรมชาติโดยสัญชาตญาณ ไม่ยอมขลุกอยู่ในสถานที่ขนาดเท่าฝ่ามือ

 

 

ทว่าตั้งแต่ที่มันกลายเป็นอสูรวิญญาณของตน กลับมักไม่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณไม่ได้ บัดนี้สำหรับมันแล้ว ต่อให้แค่อยู่ในลานบ้านเล็กๆ ก็ยังดีกว่าในถุงอสูรวิญญาณ

 

 

เขาน้อยแม้บริสุทธิ์ กลับไม่โง่ พบอย่างเฉียบไวว่ามั่วชิงเฉินทำใจไม่ได้ จึงรีบเอาหัวอันเทอะทะมุดในอ้อมกอดนาง แล้วอ้อนว่า “เจ้านาย เขาน้อยไม่กลับเข้าถุงอสูรวิญญาณได้หรือไม่ ท่านขี่เขาน้อยเป็นม้าก็ได้นี่นา เขาน้อยฝึกร้องเหมือนม้าเป็นแล้วนะ ท่านฟังดูว่าเหมือนหรือไม่”

 

 

มองดูท่าทางที่พยายามร้องเลียนแบบม้าของเขาน้อย มั่วชิงเฉินหยุดมือ ในที่สุดมุมปากก็อมยิ้มจางๆ ว่า “เขาน้อยเลียนแบบได้เหมือนมาก เจ้านายละเลยไปเอง ต่อไปจะให้เขาน้อยอยู่ข้างนอกให้มากๆ”

 

 

เขาน้อยแหงนหัวอันเทอะทะขึ้นอย่างดีใจ ตาโตฉ่ำเยิ้มเป็นประกายว่า “อืม ต่อไปเขาน้อยจะต้องเป็นม้าที่ดีให้ได้!”

 

 

มั่วชิงเฉินขำว่า “เขาน้อยเป็นอสูรเขาเดียวที่ดีนะ” พูดพลางกวาดมองไปทางอีกาไฟ ไยวันนี้เจ้านี่ถึงไม่ชิงดีชิงเด่น?

 

 

อีกาไฟเห็นมั่วชิงเฉินมองมา ยืดอกแหงนหน้าว่า “เจ้านาย รีบไปเถอะ สองปีนี้ขลุกอยู่ในที่นกไม่ถ่ายเช่นนี้ ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว”

 

 

“ไม่กี่วันก่อนเจ้ายังไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลัง ยังบอกว่าเจอเด็กเล็กๆ สองคนกำลังดื่มสุราอยู่…” เขาน้อยพูดเบาๆ

 

 

อีกาไฟถลึงตาใส่ว่า “เจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวนี้หัดฟ้องเป็นด้วยหรือ!”

 

 

“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินเรียกเตือน

 

 

อีกาไฟก้มหน้าลงด้วยความแค้นใจว่า “เจ้านายนับวันยิ่งลำเอียงแล้ว” พูดจบฟิ้วเสียงหนึ่ง มุดเข้าถุงอสูรวิญญาณเองแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า กวัดมือเรียกเขาน้อยว่า “เขาน้อย ไปเถอะ เราออกไปข้างนอกกัน”

 

 

“ขอรับ” เห็นมั่วชิงเฉินรักษาคำพูดไม่ได้ให้มันกลับเขาถุงอสูรวิญญาณจริงๆ เขาน้อยตามไปอย่างหน้าชื่นตาบาน

 

 

มั่วชิงเฉินมีความคิดของตัวเอง เซิงโจวนิยมนักบำเพ็ญเพียรสายยุทธ์ ส่วนคนฝึกยุทธส่วนใหญ่ชอบขี่ม้า ตั้งแต่มาเซิงโจวแล้วเฝ้าสังเกตอย่างเงียบๆ ก็พบว่าในทะเลนักบำเพ็ญเพียรย่อมโดยสารเรือเป็นธรรมดา อยู่บนเกาะไปที่ต่างๆ คนส่วนใหญ่จะขี่ม้า

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ นางปล่อยเขาน้อยออกมากลับไม่นับว่าเป็นเรื่องสะดุดตาคน

 

 

ผลักประตูลานบ้านที่ปิดผนึกจนฝุ่นเขรอะมาสองปี ยันต์ส่งสารสองสามแผ่นก็พุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินดูทีละแผ่น ล้วนเป็นคำพูดไร้สาระจุกจิกจู้จี้ของถังมู่เฉิน มีเพียงยันต์แผ่นล่าสุดเป็นของเฉิงหรูยวน ในนั้นบอกว่าสองปีผ่านไปแล้ว หากแม่นางมั่วออกจากกักตนกรุณาติดต่อเขาด้วย

 

 

คิดๆ ดูแล้ว มั่วชิงเฉินชูมือตอบข่าวคราวไปสองแผ่น ผ่านไปไม่นาน เฉิงหรูยวนในชุดแดงก็รุดมาถึงแล้ว

 

 

“แม่นางมั่วไม่พบกันสองปี ยิ่งกระปรี้ประเปร่าสดใส ดูท่าเวลาสองปีนี้ แม่นางมั่วได้ผลมากพอดู” เฉิงหรูยวนพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ในที่สุดก็สงบลงมาบำเพ็ญเพียรได้สักครา คิดว่าความก้าวหน้าอย่างไรก็ต้องมีบ้าง เอ่อ สหายเต๋าเฉิง ไม่ทราบพี่ใหญ่ข้าบัดนี้อยู่ที่ใด?”

 

 

“สหายเต๋าถังอยู่กับฉงเหวิน ไปล้อมจับม้าโต้วายุแล้ว” เฉิงหรูยวนพูดพลางสายตาตกลงบนตัวเขาน้อยที่หลบอยู่หลังมั่วชิงเฉิน ในตาฉายแววตะลึงทันที ชมว่า “ม้าดี!”

 

 

ยามที่เพิ่งมาเซิงโจวมั่วชิงเฉินก็เคยเห็นม้าโต้วายุแล้ว เป็นม้าเทพจริงๆ ทว่าเขาน้อยของนางเป็นอสูรเขาเดียว ย่อมไม่ด้อย นางก็ไม่ได้เปิดเผย เพียงแต่ยิ้มนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋าเฉิงชมเกินไปแล้ว เออใช่ สหายเต๋าเฉิงส่งยันต์สงสารให้ข้าน้อย จะไปเฟิ่งหลินโจวแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

เฉิงหรูยวนมุมปากกระดกขึ้น แย้มยิ้มขึ้นมาว่า “แม่นางมั่วไม่เชิญข้าเข้าไปนั่ง?”

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้งเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยว่าเสียมารยาทแล้ว เชิญเฉิงหรูยวนเข้าไป

 

 

เฉิงหรูยวนก้าวเข้าลานบ้าน รู้สึกเพียงกลิ่นหอมดอกท้อประดุจมีประดุจไม่มีระลอกหนึ่งถาโถมเข้ามา ทว่ามองรอบๆ ลานบ้านกลับมีเงาดอกท้อที่ไหน

 

 

“สหายเต๋าเฉิงหาอะไรอยู่?”

 

 

เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “ข้าน้อยกำลังหาว่ากลิ่นหอมดอกท้อมาจากไหน” พูดถึงตรงนี้มุมปากก็แข็งทื่อ แอบว่าวันนี้พูดจาบุ่มบ่ามไปหน่อยแล้ว หากกลิ่นหอมดอกท้อนั่นมาจากตัวแม่นางมั่ว ตนยังตั้งใจพูดออกมา เช่นนั้นมิทำให้นางเข้าใจตนผิดว่าเป็นคนบุ่มบ่ามหรอกหรือ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมาก ยิ้มว่า “ยามที่ข้าน้อยเข้ามาอยู่ วางต้นท้อไว้ในลานบ้านต้นหนึ่ง วันนี้เพิ่งเก็บขึ้น”

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฉิงหรูยวนโล่งอก เอ่ยตามสบายว่า “ดูท่าทางแม่นางมั่วถูกใจดอกท้อเป็นพิเศษ”

 

 

หัวข้อนี้สบายๆ มาก มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “น่าจะเพราะวาสนาที่ก่อขึ้นยามเยาว์วัยกระมัง ที่พำนักของข้า ก็ชื่อลั่วเถา”

 

 

นางพูดเช่นนี้ ที่คิดอยู่ในใจกลับเป็นต้นท้อเฒ่าในลานบ้านของท่านปู่ต้นนั้น และยังมีงานเลี้ยงลูกท้อที่จัดขึ้นพร้อมพี่น้องในตระกูลงานนั้น

 

 

เฉิงหรูยวนเห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าหวั่นไหว ใจรู้ว่าทำให้นางนึกถึงความทรงจำบางอย่าง จึงไม่พูดออกมา เพียงแต่นั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ

 

 

มั่วชิงเฉินฟื้นกลับเป็นปกติด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว นางโบกมือ บนโต๊ะหยกเขียวก็ปรากฏขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่ง จอกสุราหยกขาวสองใบขึ้น “วันนี้ข้าน้อยออกจากกักตน ต้องคารวะสหายเต๋าเฉิงจอกหนึ่ง ขอบคุณที่สนับสนุนสถานที่ที่ปลีกวิเวกเช่นนี้ให้ ข้าน้อยถึงสามารถบำเพ็ญเพียรสองปีโดยที่ใจไม่วอกแวกได้”

 

 

เฉิงหรูยวนจ้องขวดน้ำเต้าสุราแล้วตาเป็นประกาย ดื่มสุราหมดจอกแล้วว่า”แม่นางมั่วเกรงใจไปแล้ว ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของเจ้าบ้านเท่านั้น กลับเป็นยอดสุราของแม่นางมั่วนี่สิ ทำให้ข้าคิดถึงมานานมากแล้ว”

 

 

“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว

 

 

เฉิงหรูยวนจึงหัวเราะว่า “ปีนั้นแม่นางมั่วให้สุราทิพย์ข้าไว้หลายขวดน้ำเต้ามิใช่หรือ ยังมีน้ำผึ้งวิญญาณหลายขวดด้วย ข้าได้ลิ้มลองยอดสุราเช่นนี้ จึงเอาไปแสดงกตัญญูต่อหัวหน้าตระกูลขวดหนึ่ง ใครจะรู้ว่าหัวหน้าตระกูลกลับดื่มไม่หายอยาก กลับบังคับเอาที่เหลือไป เหลือทิ้งไว้เพียงขวดเดียว ยังมีน้ำผึ้งวิญญาณนั่น มารดารข้ากินแล้วก็ชมไม่หยุดปากเช่นกัน ไม่ลืมมาตลอดเลยนะ”

 

 

เห็นท่าทางเสียดายของเฉิงหรูยวน มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “สุราทิพย์และน้ำผึ้งวิญญาณพวกนั้น ข้าน้อยหมักเองทั้งหมด หากสหายเต๋าเฉิงชอบ ก็จะมอบให้สหายเต๋าอีกหน่อย”

 

 

พูดพลางดันขวดน้ำเต้าสุราหลายใบและไหกระเบื้องสีขาวที่ใส่น้ำผึ้งวิญญาณข้ามไป

 

 

เฉิงหรูยวนเก็บขึ้นอย่างดีใจว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอหน้าหนารับไว้แล้ว”

 

 

สุราทิพย์ที่แม่นางมั่วให้ เป็นของล้ำค่าในสุราจริงๆ ในฐานะผู้ชายจะมีสักกี่คนที่ไม่รักสุรา ส่วนน้ำผึ้งดอกท้อวิญญาณนั่นแม้รสชาติดี เขากลับไม่ชอบของหวาน ทว่ามารดากลับชอบเป็นพิเศษ ยังบอกเขาว่ากินน้ำผึ้งวิญญาณพวกนี้แล้วไม่เพียงร่างกายจิตใจสบาย แม้แต่สีหน้าก็ดูดีขึ้นไม่น้อย ถามเขาใหญ่ว่าเอามาจากไหน

 

 

เขากลัวว่าจะสร้างปัญหาให้มั่วชิงเฉินเปล่าๆ จึงไม่ได้พูดมาก มารดายังไม่พอใจด้วยเหตุนี้ บัดนี้มีน้ำผึ้งวิญญาณอีกสองสามไหไปแสดงความกตัญญูอีกแล้ว คิดว่ามารดาต้องดีใจมากเป็นแน่

 

 

ทั้งสองคนดื่มสุราคุยเล่นตามสบาย เฉิงหรูยวนบอกว่าครึ่งเดือนให้หลังก็คือวันออกเดินทางไปเฟิ่งหลินโจว ให้มั่วชิงเฉินเตรียมพร้อมไว้ก่อน

 

 

“เดิมทีข้ายังอยากถามว่าแม่นางมั่วจะซื้อม้าโต้วายุไว้สักตัวหรือไม่ บัดนี้ดูแล้วกลับไม่จำเป็นแล้ว”

 

 

“ไปเฟิ่งหลินโจวจำเป็นต้องขี่ม้า?” มั่วชิงเฉินถามอย่างแปลกใจ

 

 

เฉิงหรูยวนอธิบายว่า “ไปเฟิ่งหลินโจวจำเป็นต้องข้ามมหาสมุทร ย่อมต้องโดยสารเรือ ทว่าถึงเฟิ่งหลินโจวแล้ว ภูมิประเทศที่นั่นกว้างใหญ่และราบเรียบ เหมาะกับการขี่ม้าพอดี ม้าโต้วายุความเร็วเร็วยิ่ง ไม่ด้อยกว่าสมบัติวิเศษเหินหาว มีบางเวลากลับสะดวกกว่านั่งสมบัติวิเศษเหินหาวเสียอีก”

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นพี่ใหญ่ข้าและสหายเต๋าเสิ่นไปล่าม้าโต้วายุก็เพราะเรื่องนี้หรือ?”

 

 

เฉิงหรูยวนหัวเราะอย่างจำใจว่า “ใช่แล้ว ลูกผู้น้องนิสัยดื้อรั้น ได้ยินสหายเต๋าถังบอกว่าจะไปล่าม้าโต้วายุด้วยตนเองสักตัว ที่ตนซื้อมาในตอนแรกกลับไม่เองแล้ว จะไปล่าด้วยให้ได้”

 

 

กำลังพูดอยู่ ก็เห็นคนรับใช้เฉิงอู่รีบรุดมา ชำเลืองมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งแล้วที่จะพูดก็หยุดไว้อีก

 

 

“เรื่องอะไร?” ต่อหน้าคนรับใช้ อำนาจผู้นำของเฉิงหรูยวนเผยออกมาจนหมด

 

 

เฉิงอู่ลังเลครู่หนึ่งว่า “คุณชายญาติผู้น้องได้รับบาดเจ็บขอรับ”