บทที่ 24 ผู้ฝึกใช้มนตรา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 24 ผู้ฝึกใช้มนตรา Ink Stone_Fantasy

หลังจากได้อ่านบทความที่แม่มดบันทึกไว้ตอนที่อยู่ในความตื่นเต้นและตัวสั่นเทา ลูเซียนก็ถึงกับช็อกจนพูดอะไรไม่ออก ความจริงแล้ว หลังจากที่เขาทะลุมิติมาและค้นพบว่านี่คือโลกแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์และเวทมนตร์ เขาก็เคยเกิดความสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขายังรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกนี้และเวทมนตร์น้อยเกินไป เขาจึงลืมความสงสัยเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว

ประเด็นแสนอัศจรรย์นี้พุ่งเป้าไปที่สิบคำถามเกี่ยวกับจุดกำเนิดและกฎต่างๆ ของโลกใบนี้ มันทำให้ลูเซียนเชื่อว่าถ้าเขาเข้าใจปัญหาเหล่านี้ได้ เขาก็อาจจะเข้าถึงความจริงของโลกนี้ เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทะลุมิติมาได้ และอาจหาทางกลับไปได้

‘ผู้ใช้อาร์เคนที่ชื่อดักลาสคนนี้ ถึงเขาจะหาคำตอบให้กับสิบคำถามนั้นไม่ได้ทั้งหมด แต่ตราบใดที่เขายังคงหาคำตอบให้กับปัญหาพวกนี้ เขาก็น่าจะกลายเป็นผู้ใช้อาร์เคนที่เยี่ยมยอดในเวลานี้ อาจเก่งกาจเทียบเท่านักเวทในตำนานที่พูดถึงตอนต้นบทความเลยก็ได้’

‘มีวารสารที่ชื่อ “อาร์เคน” แล้วยังนักเวทที่แม่มดได้เจอในเมืองนี้อีก ดูเหมือนว่าบนโลกนี้จะมีสถานที่ที่สามารถเรียนเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัย แต่มันแปลกๆ แฮะ ทำไมที่นี่ถึงมีวารสารได้ล่ะ’

‘ในโลกเวทมนตร์ ผู้ใช้อาร์เคนอยู่ในสถานะไหนและมีอำนาจแค่ไหนกันนะ’

ยิ่งลูเซียนคิดถึงบทความที่อยู่ในบันทึกของแม่มด เขายิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เขานึกอยากเจอกับนักเวทประหลาดผู้นั้นเสียเดี๋ยวนี้ และย้ายไปยังที่ที่สามารถเรียนเวทมนตร์ได้อย่างปลอดภัยจนกว่าเขาจะแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยกลับมายังเมืองอัลโต้เพื่อแอบช่วยครอบครัวจอห์น

ในบรรดาคำถามทั้งหมด ลูเซียนตื่นเต้นและอยากรู้เกี่ยวกับสองคำถามนี้มากที่สุด

“ดิน ไฟ ลม และน้ำคือธาตุพื้นฐานจริงหรือ หากเป็นเช่นนั้น พวกมันใช้กฎหรือรูปแบบใดเพื่อก่อกำเนิดเป็นโลกแสนอัศจรรย์ใบนี้ หากไม่ใช่ แล้วอะไรเล่าที่เป็นพื้นฐาน องค์ประกอบเวทมนตร์ที่แท้จริงควรจะเป็นสิ่งใด”

“เพราะเหตุใดโลกนี้จึงมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สีเงิน เพราะเหตุใดมันจึงขึ้นและตกทุกๆ วัน และพลังงานอะไรที่ทำให้พวกมันดำเนินต่อไปเช่นนั้น สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญในโลกนี้ หากเราถามหาเหตุผลมากขึ้น เราก็อาจจะค้นพบความจริง แต่ตอนนี้เรายังไม่เข้าใจเลยว่าความจริง กฎเกณฑ์ และองค์ความรู้เหล่านี้เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์หรือไม่ ว่าพวกมันนำมาใช้ร่วมกับเวทมนตร์ได้หรือไม่ และมันจะช่วยให้เราสำรวจธรรมชาติของโลกเวทมนตร์ได้หรือไม่”

ตามที่ลูเซียนเคยเรียนมา ดิน ไฟ ลม และน้ำหาใช่ธาตุพื้นฐานไม่ ส่วนคำถามที่สองนั้นเหมือนจะถามว่าเราจะสามารถนำกฎของโลกมาผสมผสานปรับใช้กับเวทมนตร์ได้หรือไม่ นั่นหมายความว่าความรู้ที่ลูเซียนได้เรียนมาตลอดหลายสิบปีกับความรู้ที่อยู่ในห้องสมุดห้วงจิตอาจมีประโยชน์เมื่อเขาเริ่มเรียนการใช้มนตรา

ถ้าใช้ได้จริง เช่นนั้นองค์ความรู้พวกนี้จะมีประโยชน์แค่ไหนกัน ในตอนนี้ลูเซียนยังไม่ได้ไปสัมผัสกับโลกเวทมนตร์ จึงทำได้เพียงคาดเดาอยู่ในใจ ‘อย่างน้อย ตั้งแต่ที่ทะลุมิติมา ฉันก็เจอแต่อะไรที่คล้ายกับเงิน ทองแดง และเหล็ก เป็นไปได้ว่าที่นี่จะมี ‘ธาตุ’ อยู่จริงๆ และนอกจากพลังศักดิ์สิทธิ์กับเวทมนตร์แล้ว ฉันก็ยังไม่เจออะไรที่ขัดต่อหลักฟิสิกส์เลย’

‘แต่พอคิดถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังจิต ไหนจะสัตว์เวทที่ทั้งแปลกทั้งแข็งแกร่งแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าโลกนี้ช่างย้อนแย้งจริงๆ’

ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวลูเซียน ‘พอลองมาคิดดูแล้ว เหตุผลที่ฉันเปิดหนังสือบางเล่มในห้องสมุดไม่ได้อาจไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ น่าสงสัยจริงๆ’

หลังจากครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่นาน ความตื่นเต้นลิงโลดของลูเซียนก็ค่อยๆ สงบลง ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นมากและเข้าใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเรียนเวทมนตร์โดยไม่ให้ใครจับได้ เขาไม่ควรทำตัวทะเยอทะยานคิดฝันที่จะไล่ตามสิ่งที่ยังไม่มีการพิสูจน์

ไม่ว่าจะโลกไหน ทักษะการประยุกต์ใช้สิ่งรอบตัวก็ยอดเยี่ยมเสมอ

เมื่อหยุดความคิดทุกอย่างได้แล้ว ลูเซียนก็เปิดบันทึกไปหน้าถัดไป

‘หลายครั้งที่หลังจากเข้าฌานหรือทำการทดลองเสร็จ ข้าจะคิดถึงเขา ชายผู้รอบรู้สง่างามผู้นั้นช่างเปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหล’

‘เขาบอกข้าว่าเขาเดินทางมาที่อัลโต้เพื่อทำภารกิจลับสำคัญ หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี อีกสองสามเดือนเขาก็จะพาข้าไปยังสรวงสวรรค์ของเหล่านักเวท หรือก็คือกองบัญชาการของ ‘สภาเวทมนตร์แห่งทวีป’’

‘คืนนี้ เขาขอให้ข้าไปพบที่สุสานของเขตอาเดรอน’

พอเขียนถึงตรงนี้ บันทึกก็จบลง ข้างหลังสมุดมีแต่กระดาษว่างเปล่าที่แนบไว้ และดูเหมือนนางกับเพื่อนนักเวทจะถูกลอบโจมตีจากยามรักษาการณ์กะกลางคืนของทางโบสถ์

‘ไม่รู้ว่านักเวทคนนั้นหนีไปได้หรือเปล่า’ ลูเซียนคิดด้วยความกังวลใจ นักเวทผู้นั้นคือเบาะแสเดียวที่จะทำให้เขาหา ‘สภาเวทมนตร์แห่งทวีป’ เจอ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปหานักเวทคนอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ได้จากที่ไหน

หลังจากสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ลูเซียนก็ขจัดความคิดทุกอย่างออกไปจากหัว รวบรวมสมาธิให้สติชัดเจนแจ่มใส และเตรียมตัวพยายามเข้าฌานเพื่อดูว่าเขาจะเรียนเวทมนตร์ได้หรือไม่

ลูเซียนทำตามสิ่งที่เขียนไว้ในบันทึกเวทมนตร์ จังหวะการหายใจเข้าออกของเขาลึกยาวและนุ่มนวล พร้อมกับปล่อยให้จิตแยกออกไปอย่างอิสระ จากนั้นจึงค่อยๆ เรียกกลับมา แล้วปล่อยออกไป และเรียกกลับมาช้าๆ จนกระทั่งเขาเข้าสู่สภาวะที่เกือบจะว่างเปล่า

จากประสบการณ์ส่วนตัวของแม่มด นางนับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์และมีพลังจิตที่กล้าแข็งมาตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากที่นางเริ่มพยายามเข้าฌานเป็นครั้งแรก ก็ต้องใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะเข้าสู่สภาวะว่างเปล่าเช่นนี้ได้ และพลังจิตของนางก็พุ่งขึ้นสู่ระดับ ‘ผู้ฝึกใช้มนตราระดับฝึกหัด’ ที่สามารถสัมผัสได้ถึงเวทธาตุที่อยู่รอบๆ ตัว

ทว่า หลังจากขึ้นเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับฝึกหัด กว่าจะเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับสูงได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร แม้ว่ามันแทบจะไม่มีอุปสรรคใดในการเพิ่มพูนพลังให้กับจิตเลยก็ตาม การเข้าฌานคือการฝึกฝนพลังจิตและดวงจิตให้แข็งแกร่งพอจะสร้างสัญลักษณ์มนตราขึ้น

แม่มดเริ่มเรียนรู้วิธีการเข้าฌานตอนอายุสิบปี และกลายเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับฝึกหัดตอนอายุสิบสามปี พอนางอายุสิบสี่ นางก็ก้าวข้ามมาเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับสูง นางพอใจกับพรสวรรค์ทางด้านพลังจิตของนางเป็นอย่างยิ่ง

แต่ภายหลัง เพราะนางตีความโครงสร้างเวทมนตร์และการสร้างสัญลักษณ์มนตราได้ไม่ดีพอ นางจึงลองพยายามเพิ่มพลังจิตให้ขึ้นสู่ระดับนักเวทเพื่อบังคับตนเองให้สร้างได้สำเร็จ น่าเสียดายที่การเข้าฌานระดับสูงสำหรับผู้ฝึกใช้มนตรานั้นแทบไม่ได้ผลอะไร และนางก็ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ไกลกว่านี้ ดังนันนางจึงนึกถึงน้ำยาเวทมนตร์แสนหายากที่ชื่อ ‘น้ำยาเบิกพลังเวท’ และอยากจะใช้มันเพื่อเลื่อนขั้นขึ้นจากผู้ฝึกใช้มนตราพร้อมกับพลังจิตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ตอนอ่านบันทึกของแม่มด ลูเซียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และรู้สึกว่าเขาไม่สามารถพึ่งพาเวทมนตร์เพื่อรับมือกับการแก้แค้นจากแก๊งอันธพาลที่อาจเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ ความจริงแล้ว หลังจากที่เขาได้เป็นลูกศิษย์ของวิกเตอร์ นักดนตรีคนดังของเมืองอัลโต้ ที่มักได้รับเชิญไปแสดงให้กับพวกขุนนาง และท่องไปในวงสังคมชั้นสูง ถึงเขาจะไม่ได้มีคุณค่าอะไรอีก สมาชิกแก๊งอันธพาลส่วนใหญ่ก็น่าจะหยุดมารบกวนเขา เว้นก็แต่พวกที่ใจกล้าชอบเสี่ยงภัยเท่านั้น

แน่นอนว่าลูเซียนรู้สึกคาดหวังไม่น้อย เพราะเขาสังเกตเห็นมานานแล้วว่าหลังจากเหตุการณ์ในท่อน้ำเสีย พลังจิตของเขาได้เพิ่มขึ้นไปหลายขั้น จนเขาถึงขั้นรู้สึกได้รางๆ ว่ามีคนกำลังแอบสะกดรอยตามเขาอยู่ ซึ่งนี่อาจร่นระยะเวลาในการขึ้นเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับฝึกหัดลงเหลือเพียงไม่กี่เดือน หรือไม่กี่สัปดาห์ก็ได้

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเหนือความคาดหมายไปไกล

นั่นเพราะหลังจากที่ลูเซียนปล่อยให้พลังจิตที่ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำที่ซัดสาดเป็นระลอกคลื่นกระจายตัวออกไป และเรียกคืนกลับมาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็พบว่าตัวเองเข้าสู่สภาวะว่างเปล่าแล้ว และการเข้าฌานครั้งแรกก็สำเร็จโดยใช้เวลาน้อยกว่าสามสิบวินาที!

ขณะพยายามรักษาสภาวะนี้ไว้ ลูเซียนก็พยายามจะขยายพลังจิตออกไปให้ไกลขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายแตกต่างไปจากการมองด้วยตาเปล่า มันเต็มไปด้วยพลังที่นิ่งสงบ พลังที่ขยับร้อนรน พลังที่เบาบางใกล้ดับมอด และพลังที่ยืดหยุ่นอ่อนโยน

‘นี่คือธาตุพื้นฐานทั้งสี่ ดิน ไฟ ลม และน้ำงั้นหรือ พลังจิตของฉันเลื่อนขึ้นเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับฝึกหัดแล้ว!’ ลูเซียนประหลาดใจจนแทบจะคงสภาวะโลกของฌานไม่ได้ ‘ก็ไม่แปลกที่จะสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ถึงกับต้องเสี่ยงชีวิตแลกมานี่นะ สรุปคือตอนนี้ฉันเป็นผู้ฝึกใช้มนตราแล้วงั้นเหรอ’

เมื่อเข้าใจเหตุผล ลูเซียนจึงสงบลงพร้อมกับความปีติ บางทีอีกไม่นานเขาก็อาจใช้เวทมนตร์บทแรกได้!

‘ทำไมรู้สึกเหมือนดิน ไฟ ลม น้ำ ธาตุพื้นฐานทั้งสี่นี้เหมือนกับแรงมากกว่านะ’ ตอนที่ลูเซียนเตรียมตัวจะทำตามพื้นฐานการเข้าฌานธาตุที่พูดถึงใน ‘โหราศาสตร์และเวทธาตุ’ เพื่อดึงธาตุดิน ไฟ ลม และน้ำมาเพิ่มพลังให้กับจิต คำถามนั้นก็ผุดขึ้นในใจเสียก่อน เมื่อคิดถึงคำถามของดักลาสอีกครั้ง ลูเซียนจึงเริ่มตั้งข้อสงสัย ‘หรือว่า พวกนี้อาจเป็นแรงพื้นฐานในธรรมชาติ คือแรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน แรงแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม แต่ว่าแรงสามอย่างหลังนี่เกิดจากการรวมอนุภาคที่ต่างกันไม่ใช่เหรอ’

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ แต่ครั้งหนึ่งลูเซียนเคยได้ยินผ่านๆ หูจากคนของคณะวิทยาศาสตร์ว่า แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน แรงแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มนั้นเกิดจากการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวด้วยทฤษฎีบางอย่าง พวกมันสำแดงด้วยวิธีที่แตกต่างจากแรงพื้นฐานเดียวกัน

ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ ลูเซียนก็พลันพบว่าโลกที่จิตเขาสัมผัสอยู่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้านบนศีรษะเขาปรากฏดวงดาราที่เปล่งประกายพร่างพราวท่ามกลางความมืด ดาวแต่ละดวงต่างมีแรงที่ส่งลงมายังพื้นจนมองเห็นได้ และผืนดินก็แผ่แรงดึงดูดที่เข้มข้นมั่นคงออกมา นอกเหนือจากนี้แล้ว ไฟ ลม และน้ำดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก แต่รัศมีอาณาเขตที่แผ่อยู่ระหว่างแต่ละธาตุกลับคล้ายจะจางลงไปเล็กน้อย

ลูเซียนที่อยู่ในโลกแห่งฌานไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘นี่โลกของเวท ‘ธาตุ’ ที่ฉันใช้จิตสัมผัสจะเปลี่ยนไปตามความเข้าใจ หรือการที่ฉันค่อยๆ พัฒนาและเข้าใจชัดเจนงั้นเหรอ’

ทว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนจะไม่ส่งผลโดยตรงกับการฝึกพลังจิตหรือการเรียนเวทมนตร์ของลูเซียนในตอนนี้เลย

‘เดี๋ยวนะ ดวงดาวบนฟ้า ไม่ใช่ว่านี่คือฌานที่จะเข้าถึงได้หลังจากเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับสูงแล้วหรอกเหรอ’ ลูเซียนพลันนึกถึงการเข้าฌานอีกรูปแบบของผู้ฝึกใช้มนตราที่บันทึกไว้ในบันทึกของแม่มด

ตำราโหราศาสตร์และเวทธาตุ เพียงชื่อก็บอกแล้วว่ามันมุ่งเน้นไปที่โหราศาสตร์และศาสตร์แห่งธาตุ แน่นอนว่าทั้งสองศาสตร์มีวิธีการเข้าฌานที่แตกต่างกัน แต่ผู้ฝึกใช้วิธีการเข้าฌานของโหราศาสตร์จะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้ที่ใช้วิธีของศาสตร์แห่งธาตุในแง่ของการเพิ่มพูนพลังให้จิตและดวงจิต และแม่มดเจ้าของบันทึกก็ใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล

แต่ว่า ด้วยพื้นฐานการเข้าฌานของโหราศาสตร์ บังคับให้ผู้ฝึกใช้มนตราที่เริ่มเข้าไปในโลกแห่งฌานครั้งแรก จะต้องเลือก ‘ดาวแห่งโชคชะตา’ ประจำตัวจากดวงดาวบนฟ้าในห้วงจิตและต้องพยายามเชื่อมกับมัน จากนั้นก็ทำให้สายสัมพันธ์นั้นมั่นคง หากทำเช่นนี้ การเรียนมนตราทั้งหลายของโหราศาสตร์จะได้รับความช่วยเหลืออย่างมาก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ หากไม่มีดาวแห่งโชคชะตาประจำตัว ก็จะไม่สามารถเรียนหรือใช้เวททำนายชะตาได้

ตามความเชื่อของโหราศาสตร์แล้ว จิตทุกดวงมีดาวสักดวงบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเป็นคู่ โชคชะตาของคนผู้นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับดาวแห่งโชคชะตาประจำตัว นักเวทจะมองไม่เห็นสายใยแห่งโชคชะตาหากไม่เชื่อมต่อจิตกับดาวประจำตัว และจะไม่สามารถมองเห็นเส้นชะตาบนฟ้าได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวททำนายชะตาและอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้ พื้นฐานการเข้าฌานของโหราศาสตร์จึงต้องบังคับให้พลังจิตของผู้ฝึกใช้มนตราอยู่ในระดับสูงหรือมีความรู้เพียงพอที่จะเรียนศาสตร์แขนงนี้ ก่อนที่พวกเขาจะได้ใช้จิตสัมผัสกับดวงดาวบนฟ้า พวกเขาจะต้องฝึกฝนด้วยวิธีการเข้าฌานของศาสตร์แขนงอื่นที่ไม่ขัดแย้งกัน จนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับสูง

ลูเซียนพึมพำในใจ ‘ทำไมแรงโน้มถ่วงถึงเชื่อมโยงกับโชคชะตาล่ะ ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีหลายๆ อย่างที่ไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้จากโลกก่อนแฮะ หรือไม่ มันอาจเป็นแค่เหตุผลที่ฉันไม่เข้าใจก็ได้’

————————————————