ตอนที่ 1458 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (5) / ตอนที่ 1459 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (6)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1458 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (5)

 

 

หลังจากที่นางพยายามออกมาจากมิติลวงตาอย่างยากลำบาก นางก็ไม่พบร่องรอยของอวิ๋นเซียว นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแคว้นจนทำให้ผู้คนปิดปากเงียบ

 

 

ถ้ามิติลวงตาส่งนางไปที่ภูผาผู้ใช้เวท นางอาจจะถามหัวหน้าเผ่าได้ แต่ใครจะรคิดเล่า ว่ามันจะส่งนางมาที่ตีนเขาแทน อวิ๋นลั่วเฟิงต้องการหาอวิ๋นเซียวโดยเร็วจึงไม่อยากเสียเวลาปีนเขากลับขึ้นไปใหม่

 

 

“เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง หัวหน้าเผ่าผู้ใช้เวทใกล้จะลาโลกแล้ว”

 

 

ทันใดนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ได้ยินคนสองคนคุยกัน ทำให้นางหยุดเดิน

 

 

หัวหน้าเผ่าผู้ใช้เวท?

 

 

“มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรของแคว้นเจ็ดเมืองนี่ เผ่าผู้ใช้เวทแข็งแกร่งมาก ข้าสงสัยจริงๆ ว่าใครลงมือกับหัวหน้าเผ่า”

 

 

“ฮ่าๆ ข้ารู้เรื่องนี้มานิดหน่อย เขาพูดกันว่ามีคนทรยศในเผ่าผู้ใช้เวทแล้ววางยาจ้าวปรสิตในร่างหัวหน้าเผ่าทำให้จ้าวปรสิตโจมตีเจ้านายมันเองจนทำร้ายหัวหน้าเผ่า”

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงขมวดคิ้วแน่น ตอนที่อยู่ในมิติลวงตา นางก็สงสัยอยู่ว่าทำไมคนของเผ่าผู้ใช้เวทถึงไปร่วมมือกับหุบเขาพิษ กลายเป็นว่าเพราะเขาทรยศเผ่าผู้ใช้เวทนี่เอง…

 

 

ขณะที่อวิ๋นลั่วเฟิงกำลังใคร่ครวญ นางก็เห็นชายกล้ามโตคนหนึ่งเดินตรงมาหานาง ชายคนนั้นไม่ได้สนใจมองทาง เขาหันหน้าไปทางอื่นแล้วเดินเร็วมาก แม้กระทั่งตอนที่เขามาถึงหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง เขาก็ยังไม่หยุดฝีเท้า

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงหมุนตัวหลบชายคนนั้นแต่ว่าด้านหลังอวิ๋นลั่วเฟิงดันมีก้อนอิฐอยู่ ชายผู้นั้นไม่ได้มองทางจึงสะดุดล้มดังพลั่กแล้วส่งเสียงร้องโหยหวนดังลั่นจนถึงท้องฟ้า

 

 

ชายหนุ่มกำนิ้วเท้าแน่นแล้วมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างเดือดดาล “นางชั่ว เจ้ากล้าลอบโจมตีข้าหรือ!”

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้มองชายหนุ่มแล้วก้าวเดินต่อไปราวกับคนที่อยู่ข้างหลังไม่มีตัวตน

 

 

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มรีบคว้าไหล่ของอวิ๋นลั่วเฟิงเอาไว้แต่ก่อนที่มีเขาจะได้แตะตัวอวิ๋นลั่วเฟิงก็มีมือทรงพลังและอำมหิตจับข้อมือของเขาไว้แน่น เขาเจ็บจนต้องส่งเสียงร้องอีกครั้ง

 

 

หุ่นเชิดชายมองชายหนุ่มอย่างเย็นชา เขาใช้แรงมหาศาลจนทำให้ได้ยินเสียงกระดูกแตกละเอียด

 

 

“เจ้าก็ตัวใหญ่เสียเปล่าแต่กลับมองไม่เห็นทางที่ตัวเองเดิน ยังกล้ามาโทษคนอื่นอีกหรือ” เด็กชายตัวน้อยหัวเราะเยาะแล้วหันหน้าไปมองชายหนุ่ม

 

 

ชายหนุ่มไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดแล้วแก้ตัวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะนางชั่วนี่ ข้าก็คงไม่สะดุดก้อนอิฐหรอก ข้าควรจะชนนาง ดังนั้นนางจึงเป็นคนผิด!”

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดเดินแล้วหันกลับมามองชายคนนี้ “เจ้าหมายความว่าข้าควรยืนอยู่เฉยๆ ให้เจ้าชนงั้นหรือ”

 

 

ชายหนุ่มกัดฟัน “ถ้าข้าชนเจ้า เจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ ดีกว่าให้ข้าสะดุดก้อนอิฐ”

 

 

“ขอโทษที” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้ว “ข้าคิดว่าการที่เจ้าชนข้าเป็นเรื่องเสียเกียรติ”

 

 

“เจ้า…” ชายหนุ่มเคยแต่รังแกและกระทืบผู้อื่น ดังนั้นแม้ตอนนี้เขาจะโดนหุ่นเชิดจับอยู่ เขาก็ยังใจแข็ง ทว่าครั้งนี้หุ่นเชิดชายไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพูดแล้วกำข้อมือของชายหนุ่มแน่นจนเกือบจะทำลายกระดูกของเขา ความเจ็บปวดซัดเข้าหาชายหนุ่มจนทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก

 

 

“อวิ๋นอี้”

 

 

อวิ๋นอี้เป็นชื่อของหุ่นเชิดชาย หลังจากที่เขาได้ยินชื่อตัวเอง หุ่นเชิดก็ไม่ได้ลงมืออีก กระนั้นเขาก็ส่งสายตาน่าขนลุกไปให้ชายหนุ่ม ทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงค่อยๆ เดินไปหาชายหนุ่มแล้วหยิบยาออกมาจากที่ไหนสักแห่ง จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปในปากเขา

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1459 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (6)

 

 

ชายร่างใหญ่ไอแห้งๆ ด้วยความหวังจะคลายยาออกมาได้ แต่ว่าเม็ดยาได้ละลายในปากเข้าสู่ปอดเขาเรียบร้อย

 

 

“เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” ชายร่างใหญ่เบิกตากว้างแล้วตะโกนด้วยความโกรธ

 

 

“ยาพิษ” เด็กสาวยกยิ้มร้าย พอรวมกับน้ำเสียงขณะพูดก็ยิ่งให้ความรู้สึกน่ากลัว

 

 

สีหน้าของชายร่างใหญ่เต็มไปด้วยความกลัว ตอนนี้เองเขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าเขากำลังหาเรื่องคนแบบไหน

 

 

“ข้าถามเจ้าแค่สองสามคำถามแต่เจ้ากลับต้องการจะสังหารข้างั้นหรือ”

 

 

“เปล่า” อวิ๋นลั่วเฟิงส่ายหน้า “ถ้าข้าอยากจะสังหารเจ้า ข้าคงโจมตีเจ้าไปแล้ว ข้าให้ยาพิษก็เพราะอยากให้เจ้าช่วยอะไรสักหน่อย”

 

 

ชายร่างใหญ่กลัวจนพูดไม่ออกแล้วร่างก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงหยิบก้านสมุนไพรสีม่วงออกมาจากธำมรงค์มิติแล้วยื่นให้ชายร่างใหญ่

 

 

“ไปส่งสมุนไพรนี้ให้เผ่าผู้ใช้เวทแล้วมอบให้หัวหน้าเผ่า แล้วตอนนั้นคนจากเผ่าผู้ใช้เวทก็จะรักษาให้เจ้าเอง” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้มเยาะเมื่อเห็นสีหน้าของชายร่างใหญ่ขณะที่จับจ้องสมุนไพรแก้พิษในมือนาง “สมุนไพรแก้พิษนี้ไม่ได้รักษาพิษได้ทุกอย่าง แล้วพิษที่ข้าให้เจ้าก็มีแค่ปรสิตของเผ่าผู้ใช้เวทเท่านั้นที่ขับพิษออกได้ ถ้าเจ้าใช้วิธีอื่นก็จะตายทันที!”

 

 

ชายร่างใหญ่ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เขายื่นมือสั่นๆ ออกไปรับสมุนไพรแก้พิษ เขากลัวความตายมาก ดังนั้นเขาไม่มีทางลองใช้วิธีขับพิษอื่นเป็นแน่

 

 

“ไปกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงหันหลังเดินไปยังท้ายถนนโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตากลับมามองเขาอีก

 

 

เสี่ยวซู่ตามนางไปอย่างเชื่อฟังแล้วจับมือนางขณะแย้มยิ้มสดใสบนใบหน้าน่าทะนุถนอมของเขาขณะที่ฉาฉานอนอยู่บนศีรษะของเขา ฉาฉาทำหูตั้งแล้วใช้สีหน้าเสียใจมองอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่เป็นพักๆ

 

 

หงิงๆ …

 

 

มันไม่อยากติดตามเสี่ยวซู่แต่ถูกบังคับไม่ให้กระโดดเข้าไปหาอ้อมกอดของเจ้านาย

 

 

“จะว่าไปแล้ว ท่านแม่” เสี่ยวซู่นึกอะไรบางอย่างออกจึงยื่นมือเล็กๆ ของเขาไปเกาก้นแล้วดึงผลไม้ออกมาก่อนยื่นให้อวิ๋นลั่วเฟิง “นี่เป็นผลเปลี่ยนร่างมนุษย์ที่ข้าสร้างขึ้นมาใหม่ ท่านเอาไปให้เหมิงเหมิงกินได้”

 

 

สัตว์อสูรวิญญาณทุกตัวแข็งแกร่งพอจะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว แต่โชคไม่ดีที่ผลเปลี่ยนร่างมีน้อยมาก จนถึงวันนี้ก็มีออกมาแค่ผลเดียว ดังนั้นก็ควรยกให้เหมิงเหมิง

 

 

อวิ๋นลั่วเฟิงหน้ามืดครึ้มขณะมองผลเปลี่ยนร่างมนุษย์ที่เสี่ยวซู่ดึงออกมาจากก้น “เจ้าเอาให้เหมิงเหมิงเองเถอะ”

 

 

เสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงรังเกียจผลไม้นี้จึงยิ้มอย่างมีความสุข “ขอรับ ข้าจะเข้าไปในมิติคัมภีร์เซียนสักพักแล้วยกมันให้เหมิงเหมิง”

 

 

“เสี่ยวซู่” ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงส่องประกายบางอย่าง “เจ้าผลิตผลเปลี่ยนร่างมนุษย์ออกมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”

 

 

“เรื่องนี้…” เสี่ยวซู่เงียบไปแล้วหันหน้าหนีไปข้างหนึ่ง “เอาสมุนไพรพลังฌานให้ข้า ยิ่งสมุนไพรคุณภาพดีเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่ใช่แค่ข้าสามารถผลิตผลเปลี่ยนร่างได้ แต่ยังสร้างผลไม้อย่างอื่นได้ด้วย แล้วก็คงไม่ใช้เวลาสร้างนานเท่านี้”

 

 

สมุนไพรพลังฌาน? จู่ๆ อวิ๋นลั่วเฟิงก็รู้สึกว่าเส้นทางการหาสมุนไพรพลังฌานของนางไม่มีทางสิ้นสุด

 

 

……

 

 

ภายในตระกูลจวินแห่งเมืองวิญญาณ ประมุขตระกูลกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าวิตกกังวล เมื่อเขาเห็นเด็กสาวน่าเอ็นดูเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าเขาก็อ่อนลง

 

 

“หลิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ เจ้าหาที่อยู่ท่านปู่เจ้าเจอแล้วหรือ”

 

 

ที่จริงหลิงเอ๋อร์รู้ดีว่าท่านปู่อยู่ที่ไหนแต่นางก็ไม่เคยเปิดเผยที่อยู่เขาเพราะนางสัญญากับท่านปู่ไว้แล้ว ดังนั้นหลิงเอ๋อร์จึงโกหกหน้าซื่อ “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ท่านปู่ไม่ได้บอกข้าไว้”