ตอนที่ 75 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (6)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ใบหน้าของชิวเฟิ่งฉูฉายแววสาแก่ใจและสมน้ำหน้าอย่างปิดไม่มิด ท่าทีเช่นนั้นล้วนอยู่ในสายตาของชิวเฟิ่งหลานซึ่งลอบส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ น้องชายของตนผู้นี้ไม่รู้จักเก็บอาการเสียบ้าง คงยากที่จะก้าวหน้า

 

 

ชิวเฟิ่งหลานมองชิวเยี่ยไป๋ ประกายตาเย็นเยียบ “ในเมื่อน้องสี่ยอมรับแล้ว ย่อมรู้ผลลัพธ์กระมัง นอกจากข้าต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อฮูหยินใหญ่แล้ว ยังต้องร่างหนังสือรายงานกราบทูลความผิดของเจ้า ทั้งยังต้องลงโทษตามกฎตระกูล”

 

 

กฎของตระกูลชิวเข้มงวดยิ่งนัก หากเป็นสตรีทำผิดกฎตระกูล จะต้องถูกกักบริเวณในศาลบรรพชน ทั้งยังต้องหิ้วระฆัง[1]เดินไปมา หากเป็นบุรุษต้องถูกโบยด้วยแผ่นไม้[2]หรือเฆี่ยนด้วยหวาย แผ่นไม้ที่ใช้โบยย่อมมิใช่ไม้ธรรมดา แต่เป็นแผ่นไม้เนื้ออ่อนและเนื้อแข็งเรียงซ้อนกันหลายชั้น โบยลงไปไม่เป็นอันตรายต่อเอ็นและกระดูก แต่เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิต!

 

 

ที่เจ็บที่สุดมิใช่การเฆี่ยนด้วยแส้ทั่วไป แต่เป็นหวาย หวายที่ใช้เฆี่ยนผ่านการชุบน้ำยาจนมีความยืดหยุ่น ประกอบกับฝีมือในการลงหวาย ที่จะต้องไม่ทำให้ผิวหนังปริแตกแต่เนื้อแหลกเหลวยับเยิน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นแววตาของชิวเฟิ่งฉูลุกวาวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความตื่นเต้น จึงลอบแค่นเสียงในใจ คร้านที่จะสนใจเขา นางมองไปยังชิวเฟิ่งหลานกล่าวว่า “พี่ใหญ่ทำสิ่งใดล้วนเที่ยงธรรมเสมอ ข้าย่อมชื่นชม เพียงแต่เรื่องนี้มีความนัย”

 

 

ชิวเฟิ่งหลานมองชิวเยี่ยไป๋ สีหน้าที่เดิมยังสงบนิ่งพลันดุดัน ดวงตาฉายแววเยาะหยัน “อ้อ! ความนัยอันใด”

 

 

ชิวเฟิ่งฉูรีบร้องรับ “น้องสี่ รีบพูดเร็ว”

 

 

เขาร้อนใจอยากให้เจ้าชิวเยี่ยไป๋ที่เคยทำร้ายตนได้ลิ้มรสการลงโทษตามกฎตระกูล จึงได้ทำทีช่วยพูดให้ชิวเยี่ยไป๋ เพราะยิ่งเขาช่วยพูด แล้วหากชิวเยี่ยไป๋ไม่ยอมรับผิดตามคำชี้นำของเขา ประเดี๋ยวคงถูกลงโทษอย่างหนัก!

 

 

พี่ใหญ่ผู้นี้เกลียดคนปั้นน้ำเป็นตัว ไม่ยอมรับผิดเป็นที่สุด

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ ทำทีราวกับลำบากใจ สุดท้ายยังคงถอนใจอีกครั้งกล่าวว่า “เป็นเพราะข้าทำตามคำขอของพี่สาม จึงได้ผลักนางตกน้ำ”

 

 

คำพูดนี้ทำเอาทุกคนงงงัน

 

 

ชิวเฟิ่งหลานโกรธจนแทบหัวเราะออกมา มุมปากกระตุกกล่าวว่า “อ้อ เช่นนั้นหรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดน้องสามจึงต้องการให้เจ้าผลักนางตกน้ำ”

 

 

ชิวเฟิ่งฉูอยากสวนทันควันว่าชิวเยี่ยไป๋พูดจาส่งเดช แต่เห็นสายตาเย็นเยียบของชิวเฟิ่งหลานก็รีบหุบปากลงอย่างฝืนใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจอีกครา “เพราะพี่สามไม่อยากรีบแต่งงานกับบุตรชายของท่านเสนาบดี ตระกูลเรากำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางเกรงว่าหากออกเรือนไปตอนนี้อาจทำให้ครอบครัวฝ่ายเจ้าบ่าวลำบากใจ แต่ไม่มีหนทางใดที่ดีกว่า จึงคิดว่าหากตนตกน้ำก็จะได้พักฟื้นสักระยะ รอให้คลื่นลมสงบค่อยว่ากัน ปกติข้ากับพี่สามสนิทกันดี นางคิดแล้วจึงฉวยโอกาสวันที่ข้าเพิ่งกลับมาถึง รอขอความช่วยเหลือ”

 

 

คำพูดนี้ทำเอาทั้งห้องเงียบกริบ

 

 

คำตอบนี้เหนือความคาดหมาย เต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่แทบจะฟังขึ้นที่สุด

 

 

แม้แต่ชิวเฟิ่งฉูยังถึงกับเป็นเบื้อไป อยากจะบอกว่าชิวเยี่ยไป๋พูดจาเหลวไหล แต่ครั้นเห็นท่าทีเยือกเย็นของอีกฝ่าย กลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

 

 

ชิวซั่นหยวนลังเลครู่หนึ่ง ยังคงกล่าวว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่าก่อนที่พี่สามจะตกน้ำ เหมือนจะพูดกับพี่สี่ว่าเรื่องอะไรไม่เกี่ยวกับนาง นางมิได้ทำร้ายพี่หก แล้วมันคือเรื่องอะไรกัน”

 

 

ชิวเฟิ่งหลานเองก็นึกขึ้นได้ สายตาคมกริบจับจ้องชิวเยี่ยไป๋ หมายจะหาแววพิรุธบนใบหน้าอีกฝ่าย กลับเห็นสีหน้าชิวเยี่ยไป๋คล้ายลังเลและจนใจ ทว่าปราศจากความร้อนตัวแม้แต่น้อย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจ “นั่นเพราะเดิมข้าไม่เต็มใจช่วย นางจึงเดาว่าข้าสงสัยว่านางมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องของน้องหก แต่ซั่นหนิงนิสัยเป็นเช่นไร มีหรือข้าจะไม่รู้ เรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับพี่สามอยู่แล้ว ดังนั้นจึงจำต้องช่วยนาง เพราะถึงอย่างไรซั่นหนิงก็ติดค้างนาง”

 

 

คนบางคนยามปดสามารถพูดเป็นตุเป็นตะ สีดำกลับเป็นขาว ชิวเยี่ยไป๋คือคนประเภทนี้

 

 

แต่ไหนแต่ไรนางก็เห็นว่าการพลิกแพลงคำพูดและใช้วาจาคลุมเครือเป็นวาทศิลป์อย่างหนึ่ง มิใช่ใครก็ทำได้ จำต้องมีหนังหน้าหนายิ่งกว่ากำแพง ใจกล้า รอบคอบ และไหวพริบเฉียบไว

 

 

คำพูดนี้ คนเดียวที่จะพลิกได้…ก็คือชิวซั่นจิง ซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้ความจริง แต่ใครๆ ก็รู้ว่าชิวซั่นจิงเวลานี้…

 

 

ชิวเฟิ่งหลานมองชิวเยี่ยไป๋ด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนไปมาไม่อาจหยั่งคะเน เอ่ยเสียงหนักว่า “น้องสี่ เจ้าจงจำคำพูดวันนี้ให้ดี รอให้น้องสามดีขึ้นเมื่อไร หากนางพูดไม่ตรงกับเจ้า กฎตระกูลต้องเพิ่มเป็นสามเท่า เจ้าจะไม่มีวันรับราชการได้อีกตลอดชีวิต!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รับคำด้วยสีหน้าอมยิ้ม ตอบทันควันอย่างฉาดฉานว่า “แน่นอน หากอาการของพี่สามดีขึ้น แล้วพูดผิดจากข้าละก็ อย่าว่าแต่สามเท่าเลย สิบเท่าข้าก็ยอม และเพื่อเลี่ยงข้อกังขา นับแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่เข้าใกล้เรือนพี่สามอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”

 

 

เห็นท่าทีสงบนิ่งไร้กังวลของชิวเยี่ยไป๋แล้ว แม้แต่ชิวเฟิ่งหลานก็ยังเชื่อนางอยู่สามส่วน

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ได้แต่รอให้ชิวซั่นจิงฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยว่ากัน

 

 

ยังดีที่ชิวเฟิ่งหลานเป็นคนรอบคอบระมัดระวังในทุกเรื่องเสมอ จึงมิได้ทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริก เรื่องนี้จึงยุติลงอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป และกลับไปกำชับบ่าวของตนให้สงบปากสงบคำ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ออกจากห้องชุมนุมอย่างสบายใจ เห็นพวกคนรับใช้ด้านนอกที่กำลังรอดูเรื่องสนุกแตกฮือราวกับนกแตกรัง พากันแสร้งทำเป็นทำความสะอาดสระบัวนอกโถงอวี้เฟิง

 

 

หนิงชุนยืนรอที่ประตูแล้ว เห็นนางออกมาก็รีบเข้าไปหา กระซิบว่า “เสี่ยวชีไปที่เรือนคุณหนูสามแล้ว รับรองได้ว่าคุณหนูสามจะว่าง่ายเชื่อฟังแต่โดยดีเจ้าค่ะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าอย่างพอใจ “อืม ดูท่าว่าข้าวเหนียวยัดไส้พุทราแดง น่องไก่ กับหัวสิงโตน้ำแดง[3]เมื่อคืนไม่เสียของจริงๆ”

 

 

นางสัญญากับชิวเฟิ่งหลานว่าจะไม่ไปหาชิวซั่นจิง แต่มิได้รับปากว่าคนของนางจะไม่ไปหาชิวซั่นจิงด้วย อย่าว่าแต่ชิวซั่นจิงจะอาการทุเลาหรือไม่ ยังต้องดูความต้องการของนางด้วย

 

 

ทั้งสองเดินกลับไปช้าๆ ตามทางเดินในสวนดอกไม้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเร่งฝีเท้าตามมาและเสียงแค่นหัวเราะของบุรุษดังขึ้นด้านหลัง “ชิวเยี่ยไป๋”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หันไปมอง เห็นชิวเฟิ่งฉูกำลังเร่งฝีเท้าเข้ามา มุมปากก็ยกยิ้ม “พี่รอง มีอะไรชี้แนะหรือ”

 

 

ชิวเฟิ่งฉูถลึงตาใส่อย่างดุร้าย “เจ้าได้ใจไปเถอะ ข้าไม่เชื่อวาจาพลิกลิ้นของเจ้า พี่ใหญ่ส่งคนไปคอยดูแลชิวซั่นจิงอย่างเข้มงวดแล้ว นางอาการดีขึ้นเมื่อไร ข้าจะรอดูความฉิบหายของเจ้า!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รอจนชิวเฟิ่งฉูเอ่ยวาจาร้ายกาจจบ จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “พี่รอง ท่านดูสิเราสองคนยืนอยู่ริมทะเลสาบ ลมพัดแผ่วๆ แต่ผิวน้ำนิ่งสนิทไร้ริ้วคลื่น ตะวันสาดส่อง งามหรือไม่”

 

 

ชิวเฟิ่งฉูอึ้งงัน ตามไม่ทันความคิดที่เปลี่ยนปุบปับของอีกฝ่าย จากนั้นก็ตวาดว่า “แล้วอย่างไร เจ้าอย่ามาทำเฉไฉ…”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตัดบทเขา ถอนหายใจอีกครั้ง “ก็ไม่อย่างไรดอก เพียงแต่ยามนี้ช่างเหมาะเจาะที่จะทำความผิด มีแค้นชำระแค้น เป็นโอกาสให้ทำผิดได้อย่างเปิดเผย”

 

 

พูดจบนางพลันตวัดเท้าถีบใส่ท้องของชิวเฟิ่งฉูอย่างไม่เกรงใจ

 

 

ร่างคนผู้หนึ่งร้องลั่นคำเดียวแล้วก็ตกลงไปในน้ำดังตูม

 

 

ชิวเฟิ่งฉูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ให้อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่ากลางวันแสกๆ ชิวเยี่ยไป๋ถึงกับกล้าถีบคนตกทะเลสาบอีกครั้ง กล้าทำผิดซ้ำสอง!

 

 

เขาสำลักน้ำหลายอึก มือเท้าตะเกียกตะกายจนโผล่พ้นผิวน้ำ โมโหจนตัวสั่น จ้องชิวเยี่ยไป๋เขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้าถึงกับกล้า…ถึงกับกล้า…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] มาจากคำว่า ‘ถีหลิง’ เป็นรูปแบบการลงโทษนางกำนัลที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง โดยผู้ถูกลงโทษจะต้องหิ้วระฆังไว้ในมือทั้งสองข้าง แล้วเดินไปเดินมา ทั้งต้องร้องเพลงไปด้วย ห้ามทำระฆังตกพื้น และห้ามทำให้ระฆังเกิดเสียงเด็ดขาด

 

 

[2] ลักษณะเหมือนไม้พาย

 

 

[3] เรียกอาหารที่ทำจากหมูสับปรุงรสปั้นเป็นก้อนกลม นำไปทอด แล้วราดด้วยซอสน้ำแดง