บทที่ 41 ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนทั้งนั้น

ท่องภพสยบหล้า

หลังจากเจียงวั่งจากไป กำแพงด้านหลังฟางเจ๋อโฮ่วก็พลันเลื่อนออกเผยให้เห็นประตูลับบานหนึ่ง ฟางเฮ่อหลิงถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ ถูกเข็นเข้ามาในสภาพอัปยศที่สุด

หอชมจันทร์เดิมเป็นกิจการที่ตระกูลฟางดูแลอยู่แล้ว เมื่อครั้งนั้นฟางเผิงจวี่จึงเลือกทำร้ายเจียงวั่งที่นี่

ฟางเจ๋อโฮ่วยกมือขึ้น ผลักผู้พิทักษ์ประจำตระกูลของฟางเฮ่อหลิงออกไป แล้วจึงคลายผนึกที่ปากของบุตรชาย ขณะเดียวกันก็แก้มัดให้

แต่ฟางเฮ่อหลิงไม่ขยับ ทั้งตัวเหมือนโคลนกองหนึ่ง นั่งตัวอ่อนยวบแบบนั้นอยู่บนเก้าอี้

ที่แท้ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในการสนทนานี้ที่ห้องส่วนตัวข้างๆ ภายใต้การจับตามองของผู้พิทักษ์มาตลอด แต่ทั้งส่งเสียงไม่ได้และขยับไม่ได้

“เหมือนอย่างที่เจ้าเห็น” ฟางเจ๋อโฮ่วพูด “เขาเอาชนะเจ้าได้ด้วยพลังที่แท้จริง ไม่มีเล่ห์กลอุบายใดๆ ระหว่างเจ้ากับเจียงวั่งเป็นความห่างชั้นที่ชัดเจน เป็นความแตกต่างที่เจ้าประมาทเลินเล่อ”

ฟางเฮ่อหลิงไม่พูดอะไร แต่สายตาที่เขามองบิดาของตัวเองเหมือนแฝงไว้ด้วยการขอร้องรางๆ…กำลังบอกว่า ขอร้องท่านอย่าได้พูดอีกเลย!

“เหมือนกับที่เจ้าเห็น บิดาของเจ้าอับอายขายหน้าเพราะเจ้า” ฟางเจ๋อโฮ่วพูดต่อไป

ดวงตาของฟางเฮ่อหลิงหลุบต่ำลง แววตาเลื่อนลอย

ฟางเจ๋อโฮ่วเดินมาข้างหน้าแล้วยื่นมือบีบใบหน้าเขา ให้เขาหันมามองตาตน

“เหมือนอย่างที่เจ้าเห็น ตระกูลฟางของข้าถูกคนดูถูกก็เพราะเจ้า!” ฟางเจ๋อโฮ่วเอ่ย

ฟางเฮ่อหลิงน้ำตาไหลพราก เขายกมือคิดจะหยุดน้ำตา กระทั่งอยากจะยัดมันกลับเข้าไป แต่การขัดขืนก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เขาไม่อาจหยุดความอ่อนแอเหมือนสุนัขตัวหนึ่งของตัวเองได้เลย

และเสียงของฟางเจ๋อโฮ่วก็ยังคงดังต่อไป “เพื่อเจ้า ข้าเบียดบังทรัพยากรของญาติผู้พี่เจ้า เพื่อเจ้า ข้าถอยจากผลประโยชน์ต่างๆ เพียงเพื่อช่วงชิงโอกาสให้เจ้าเข้าไปเป็นศิษย์สายในของสำนักเต๋า เพื่อเจ้าแล้วข้ายอมทนกับความไม่เป็นธรรมได้ทั้งนั้น แต่เจ้าเล่า?! เจ้ากลายเป็นตัวตลกของทั้งเมืองเฟิงหลินในสายตาของผู้คนไปแล้ว ตอนนี้ยิ่งหมดอาลัยไม่ยอมพัฒนาตัวเอง ทำตัวเหมือนเศษสวะ และทำให้ข้าฟางเจ๋อโฮ่วคนนี้กลายเป็นตัวตลกไปด้วย!”

“ข้าก็ไม่อยาก ข้าก็ไม่อยาก…” ฟางเฮ่อหลิงส่ายหน้าไปด้วย เอ่ยอึกๆ อักๆ พลางร้องไห้ไปด้วย สุดท้ายก็ตะโกนออกมา “ข้าก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน!”

“เช่นนั้นก็พิสูจน์ให้ข้าเห็น!” ฟางเจ๋อโฮ่วตะคอก

ชายกลางคนที่กุมอำนาจของตระกูลฟางไว้แล้วคนนี้ผ่อนแรงมือลง

สองมือของเขาเปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าฟางเฮ่อหลิง เอ่ยเสียงอ่อนลงว่า “เช่นนั้นก็พิสูจน์ให้ข้าเห็น…ลูกชายข้า”

……

หลังออกมาจากหอชมจันทร์แล้ว ฝีเท้าของเจียงวั่งไม่ได้หนักอึ้ง

พูดตามตรง หลังจากเข้าสำนักสายใน เขาก็ไม่กังวลอีกว่าตระกูลฟางจะทำอะไรเขา ตระกูลฟางแห่งเมืองเฟิงหลินที่ว่ากัน แม้รวยทรัพย์มากอำนาจ แต่เทียบกับสำนักเต๋าแล้วนับเป็นอะไรได้

เขาเจียงวั่งขอเพียงมุ่งมั่นมานะฝึกบำเพ็ญ ในอนาคตไม่ช้าก็เร็วจะได้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ของรัฐจวง ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นขุนนางใหญ่โตในเมืองซินอันเมืองหลวงของรัฐจวงก็เป็นได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจตระกูลผู้ดีชนบทในเมืองเฟิงหลินนี้

มีเพียงวันนี้ที่ฟางเจ๋อโฮ่วพูดถึงเจียงอันอัน ถึงทำให้เจียงวั่งเกิดจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ตระกูลฟางไม่ทำอะไรอื่น แค่บงการให้ลูกหลานในตระกูลบางคนรังแกอันอันที่สถานศึกษา นี่ก็ทำให้เจียงวั่งไม่อาจอดทนได้แล้ว

ความอยุติธรรมบางอย่างเขาทนรับได้ แต่อันอันรับไม่ได้ บิดาจากไปแล้ว ท่านน้าแต่งงานใหม่ อันอันมีเพียงเขาเท่านั้น

“เจ้ากินอิ่มไหม…นี่! ยังจะเช็ดกับเสื้อข้าอีก!” เจียงวั่งยื่นมือดันศีรษะน้อยๆ ของเจียงอันอันออกไป

ตอนนี้นางถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขน กำลังแอบเช็ดคราบน้ำมันบนปากกับไหล่ของเจียงวั่ง

อันอันกะพริบตากลมโตปริบๆ ปากจิ้มลิ้มสะอาดหมดจด แต่กลับเม้มอย่างไร้เดียงสา “ก็ท่านไม่เช็ดมือให้ข้า…”

เจียงวั่งยอมแพ้ทันที น้ำเสียงจนปัญญานัก “เจ้าดูสิ ตัวข้ายังมีตรงไหนที่สะอาดบ้าง…ตามใจเถอะ”

หมายถึงปล่อยไปตามยถากรรมแล้ว

มือน้อยๆ ของเจียงอันอันวุ่นวายเช็ดแล้วเช็ดอีก จู่ๆ นางก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะ”

“ข้าถามเจ้าว่า…เฮ้อ!” เจียงวั่งถอนหายใจ เอ่ยขึ้นมาว่า “ไปร้านเนื้อแพะตำรับลับตระกูลไช่?”

“อืมๆ” เจียงอันอันพยักหน้ารัว นางยื่นมือน้อยๆ ไปประคองใบหน้าของพี่ชายเอาไว้แล้วหันไปทางขวา “ไปทางนี้!”

เจียงวั่งผละศีรษะออกอย่างรังเกียจ “ข้ารู้ทางน่า!”

เจียงอันอันดีใจลิงโลด “ย่ะ~!”

เจียงวั่งอุ้มเจียงอันอันหมุนตัวเดินไปทางร้านเนื้อแพะ

“จริงด้วย พรุ่งนี้อาจารย์ให้ท่านไปสถานศึกษาหน่อย” คราวนี้เจียงอันอันนึกธุระออกจริงๆ

เจียงวั่งขมวดคิ้ว “อาจารย์เจ้าได้บอกหรือไม่ว่าเรื่องอะไร”

อันอันน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ซุกหน้ากับอกของเจียงวั่ง พูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่รู้”

เจียงวั่งว้าวุ่นใจทันที

……

ในขณะเดียวกันนี้เอง ภายในจวนเจ้าเมือง การสนทนาที่มีเพียงต่งเออและเว่ยชวี่จี๋กำลังดำเนินไป

“…หากเป็นแบบที่ข้าคิดจริงๆ มีเหยื่อล่อนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะไม่มาติดกับ รอมารพวกนั้นโผล่หน้าออกมา พวกเราก็รวบตาข่ายทีเดียว แล้วฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก!” เว่ยชวี่จี๋ชูกำปั้น “นี่ก็คือแผนทั้งหมด”

“วางแผนได้รัดกุมมาก” ต่งเออพยักหน้า สีหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเคย “แต่ข้าว่าไม่มีความหมายเท่าไร”

“เพราะอะไร”

“เจ้าคิดว่า…” ต่งเออมองเขาด้วยแววตาถากถาง “เจ้าพวกที่ก่อคดีโหดเหี้ยมในตำบลเสี่ยวหลินยังมีความจำเป็นต้องมาปรากฏตัวที่เมืองเฟิงหลินอีกหรือ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าไม่รู้เรื่องสำนักกระดูกขาวอะไรที่เจ้าว่า และก็ไม่เข้าใจว่าของที่เจ้าเอามาอย่างลำบากยากเย็นชิ้นนั้นมีแรงดึงดูดอะไร แต่เรื่องใหญ่อย่างสามเมืองเสวนาเต๋า ในเมืองเฟิงหลินป้องกันอย่างเข้มงวด ของนั่นควรค่าให้พวกมันเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นเชียวหรือ คนโง่ไม่มีทางทำให้พวกเราหัวหมุน และสังเวยตำบลเสี่ยวหลินทั้งตำบลภายใต้สายตาของเจ้ากับข้าได้หรอก! อีกทั้งเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่าพวกมันใช่สำนักกระดูกขาวหรือไม่กันแน่ มิใช่หรือ”

“เช่นนั้นก็ทำได้เพียงลองดู ต่งเออ! คดีตำบลเสี่ยวหลินผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ข้าต้องมีคำอธิบาย!”

“แต่เจ้ามีความมั่นใจเท่าใด เจ้าจะใช้ความปลอดภัยของประชาชนทั้งเมืองเฟิงหลินเดิมพันกับความมั่นใจของเจ้าหรือ”

“เมืองเฟิงหลินเป็นของข้า ข้าตัดสินใจแล้ว!”

ต่งเออตบโต๊ะลุกพรวดขึ้น “เมืองเฟิงหลินคือเมืองเฟิงหลินแห่งรัฐจวง!”

“ต่งเออ เจ้าลองคิดดู” เว่ยชวี่จี๋จำต้องผ่อนท่าทีลง “ที่รัฐฉิน รัฐจิ่ง กระทั่งรัฐยงที่อยู่ข้างๆ เรา! พวกเขาทำเรื่องแบบนี้ได้หรือ สังเวยตำบลหนึ่งทั้งตำบล! ประชาชนตั้งมากมาย วิญญาณที่เดิมทีควรได้พักผ่อนอย่างสงบไม่รู้เท่าไร!

นครวารีแม่น้ำชิงเกิดความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย กองทัพทั้งเขตปกครองชิงเหอก็ต้องเคลื่อนพล มารกลืนจิตใจตนหนึ่งปรากฏกาย กรมอาญาทั่วทั้งเขตการปกครองชิงเหอก็บุกไปพร้อมกัน ฝ่ายตรงข้ามรู้จักพวกเราเป็นอย่างดี แต่พวกเรากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันเลย! เรื่องแบบนี้ เจ้ายังอยากเห็นอีกหรือ ถึงเวลาแล้ว พวกเราจะต้องสืบมาให้ได้!”

ต่งเออนั่งลงอย่างห่อเหี่ยว “ใช่ พวกเราล้วนต้องรับผิดชอบ คนที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมเหล่านั้น ในรายชื่อที่พวกเขาเคียดแค้นสาปแช่งก่อนตาย น่าจะมีเจ้าและข้าด้วยอย่างแน่นอน”

เสียงของเขาเหนื่อยล้า “ทำตามแผนของเจ้าก็แล้วกัน สำนักเต๋าทางนี้จะให้ความร่วมมือ หากมารพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ก็ให้ข้าได้ดูเสียหน่อยว่า…ดีชั่วล้วนมีผลสนองจริงหรือไม่!”

“หากคนพวกนั้นเป็นคนของสำนักกระดูกขาวจริง เทียนยมโลกน่าจะสำคัญกับพวกมันมาก ในเมื่อเป็นของที่…เอามาจากที่นั่น”

“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ข้าจะร่วมมือกับเจ้าเต็มที่ หวังว่าสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะของเขตปกครองชิงเหอ”

“พวกมันอาจจะมา หรือบางทีอาจจะไม่มา แต่ข้าก็ทำได้แค่ลองดูเท่านั้น” เว่ยชวี่จี๋พึมพำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นว่า “จู้เหวยหว่อคนนั้นกลับมาไม่ทันจริงๆ หรือ คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”

“สนามรบของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” ต่งเออหันหน้าไป เหมือนมองไปยังสักที่หนึ่งตรงขอบฟ้าไกลผ่านหน้าต่าง “เขาถูกกำหนดแน่แล้วว่าจะเป็นคนที่เปล่งประกายในสำนักเต๋าระดับรัฐ เอาสิทธิ์รายชื่อมาก็เสียเปล่า สิทธิ์รายชื่อของงานสามเมืองเสวนาเต๋า ข้าหวังว่าจางหลินชวนจะคว้ามันมาได้”

“เช่นนี้แล้ว เมืองเฟิงหลินก็จะมีอัจฉริยะในสำนักเต๋าระดับรัฐสองคน เจ้าคิดแผนได้สมบูรณ์แบบดีนี่”

“ข้าจะชี้แนะพวกเขาอย่างเต็มกำลัง ถือเสียว่าเป็นการไถ่บาปที่เล็กน้อยไร้ความสำคัญจากข้าก็แล้วกัน”

ในห้องอันมืดมิด ไม่รู้ว่าเสียงทอดถอนใจของใครดังขึ้น

เก้าอี้ว่างเปล่า

………………………………………………………