บทที่ 42 ชีพจรมงคล (1) Ink Stone_Romance
มีคนซื้อตัวหมอหลวงจาง ให้ความเห็นจอมปลอมแก่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้นั้นต้องการที่จะปิดบังเรื่องสุขภาพของตนจึงได้ก้าวข้ามความเป็นจริง ดังนั้นจึงฆ่าคนเพื่อปิดปาก
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มจะชัดเจนขึ้น
แต่…
ผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใคร? จุดประสงค์ของเขาคืออะไร?
ในเมืองหลวงแห่งนี้ ราวกับว่ามีลมพายุที่น่ากลัวกำลังเคลื่อนตัวในเงามืด
นอกจากฉู่อี้หมินพ่อลูกแล้ว หรือว่ายังมีผู้ที่ปรารถนาในบัลลังก์มังกรอีกหรือ
ออกมาจากห้องบรรทมของฮ่องเต้ เหยียนหลิงจวินไม่ได้กลับไปสำนักหมอหลวง แต่กลับออกไปจากวังแล้วตรงไปยังเรือนมีสุข
ฉู่สวินหยางไปถึงก่อนเขาก้าวหนึ่ง ผลักบานหน้าต่างออกเป็นช่องว่าง ถือถ้วยน้ำชาในมือพร้อมกับมองไปยังผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนด้านนอกอย่างใจลอย และครุ่นคิด
กระทั่งเหยียนหลิงจวินผลักประตูเข้ามา ฉู่สวินหยางจึงรู้สึกตัว วางน้ำชาที่เย็นชืดในมือลง แล้วปิดหน้าต่างลง
ด้วยเหตุที่หากยังสวมชุดขุนนางจะทำให้เป็นจุดสนใจของผู้คน เหยียนหลิงจวินจึงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ในรถม้า สวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวง่ายๆ เส้นผมที่กระจายลงมาบางส่วนอยู่บนไหล่ของเขา สีดำและขาวที่ตัดกันอย่างชัดเจนนั้นให้ความรู้สึกที่แปลกไป ทำให้มุมปากของเขาที่มักจะมีรอยยิ้มเป็นเส้นหนึ่งนั้นมีความเจ้าเล่ห์ปะปนอยู่หลายส่วน
“ข้าคิดว่าอย่างน้อยต้องรออีกครึ่งชั่วยามท่านจึงจะปลีกเวลาออกมาได้” ฉู่สวินหยางพูดยิ้มๆ
เหยียนหลิงจวินเดินเข้าไป ทว่ากลับไม่ได้ไปอยู่ข้างกายนาง แต่กลับโค้งกายนั่งลงบนตั่งหญิงงาม
“ดูแล้วเบื้องหลังนั้นมียอดฝีมือปรากฏตัวแล้ว” เหยียนหลิงจวินกล่าว
คำพูดประโยคเดียว พลันทำให้อุณหภูมิอันอบอุ่นภายในห้องนี้ราวกับถูกกดให้ต่ำลง
รอยยิ้มของฉู่สวินหยางแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก ลุกขึ้นเดินมานั่งอยู่ข้างกายเขา
เหยียนหลิงจวินไม่ได้รอให้นางถามทว่าเขากลับกล่าวขึ้นอีกว่า “ข้าถามหัวหน้าขันทีหลี่แล้ว แน่นอนว่าจางเฉิงไม่ได้พูดความจริง ในเวลานี้ฝ่าบาทยังไม่ได้ถูกปิดหูปิดตา เพียงแต่คิดว่าตนเองนั้นเป็นโรคที่รักษาไม่หาย อีกทั้งยังคิดเพียงแต่จะปิดบังอำพราง”
ริมฝีปากของฉู่สวินหยางเม้มเป็นเส้นตรง ขมวดคิ้วและพูดว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อยหรือ?”
“อีกฝ่ายได้คาดคะเนความคิดและการกระทำทุกย่างก้าวของฝ่าบาทไว้อย่างแม่นยำ แม้กระทั่งฝ่าบาทจะหาท่านหมอจากสำนักแพทย์ใดมาเพื่อยืนยันเรื่องนี้ ทุกอย่างล้วนอยู่ในฝ่ามือ ซื้อตัวล่วงหน้า และหลังจากที่บรรลุจุดประสงค์แล้วกลับเป็นฝ่าบาทที่ฆ่าคนปิดปากเพื่อปิดบังเรื่องสุขภาพของตน” เหยียนหลิงจวินกล่าว พร้อมทั้งมองนางด้วยสายตาลุ่มลึกครั้งหนึ่ง
สามารถใช้ประโยชน์จากฮ่องเต้ในการยืมดาบฆ่าคน จุดนี้ไม่น่าแปลกใจ แต่สามารถรู้ข่าวล่วงหน้า ไปซื้อตัวท่านหมอที่จะมาจับชีพจรให้กับฝ่าบาทล่วงหน้านั้น…
ความยากในเรื่องนี้นั้นช่างน่าตกตะลึงนัก
อย่างน้อยตามที่ฉู่สวินหยางรู้ แม้แต่ฉู่อี้อันก็ยังไม่มีความสามารถนี้
“คนข้างกายที่เขาเชื่อใจได้และสามารถทำเรื่องแทนเขานั้นมีไม่มาก…” ฉู่สวินอย่างเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด
“ฐานกำลังของข้าที่อยู่ที่นี่นั้นตื้นเขิน มีเรื่องราวมากมายที่มีใจคิดช่วยแต่ไร้ซึ่งกำลัง” เหยียนหลิงจวินกล่าว “อย่างไรยังคงต้องหาวิธี ใช้คนของเสด็จพ่อของเจ้ามาตรวจสอบ แต่ในเมื่อคนผู้นั้นกล้าที่จะทำ ดูเหมือนเขาจะไม่เกรงกลัวว่าคนในวังบูรพาของพวกเจ้าจะรู้ คาดว่า…เขามีความมั่นใจในเรื่องนี้ยิ่งนัก หรือไม่อาจจะเตรียมแผนการสำรองเพื่อรับมือดีแล้ว ยามนี้ท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าต่างไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก อย่าได้ฝืนจนเกินไปนัก”
“อืม ข้ารู้ดีแก่ใจ” ฉู่สวินหยางพยักหน้า
“เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก แล้วยังมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะยิ่งนัก ได้เลือกเวลาอย่างเจาะจงเป็นพิเศษเมื่อฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงรวมไปถึงฉู่ฉีเหยียนล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวง ช่างเป็นการป้องกันที่ต้องใช้ความเตรียมพร้อมอย่างมากเลยทีเดียว”
เหยียนหลิงจวินเห็นท่าทางขมวดคิ้วของนางแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา ยกมือขึ้นลูบหว่างคิ้วของนาง “ทางฝ่าบาทยัง คงไม่เกิดเรื่องในเวลานี้หรอก เจ้าไม่ต้องตึงเครียดนำไป รู้ในใจก็พอแล้ว”
พูดแล้วก็โอบกอดนางเอาไว้ รั้งกายนางซบลงบนขาของตนเอง
สมองของฉู่สวินหยางพลันสว่างวาบขึ้น เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขา “ท่านมีความคิดบางอย่างใช่หรือไม่?”
“ค่อยพูดกันเถิด” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ทว่ากลับไม่เอ่ยอันใดด้วยท่าทีระมัดระวังยิ่ง
เขาพูดเช่นนี้คือไม่มีความมั่นใจและหลักฐานที่ชัดเจน แม้ฉู่สวินหยางจะรู้สึกผิดหวังในใจแต่นางรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เดิมทีก็ไม่ใช่จะพูดได้ตามอำเภอใจ เมื่อคิดดูแล้วจึงปล่อยวาง
เหยียนหลิงจวินเห็นนางยังคงมีท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงก้มหน้าลูบปลายจมูกของนาง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องสำคัญได้คุยเรียบร้อยแล้ว เวลานี้พวกเราควรจะปรึกษาเรื่องส่วนตัวแล้วดีหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางช้อนตาขึ้นมองเขา
เมื่อคืนหลังจากนางกลับไปถึงจวนก็คิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ความดื้อดึงของเหยียนหลิงจวินทำให้นางหมดสิ้นหนทาง เขาย่อมอยู่ที่นี่แน่นอน ส่วนนางไร้ซึ่งหนทางเช่นกัน
และ…
ว่ากันอย่างยุติธรรมแล้วนั้น ระยะนี้นางเหมือนจะเคยชินที่จะมีเขาอยู่ข้างกายและปรากฏตัวอยู่เสมอ
“ในเมื่อท่านยืนกรานเช่นนี้ เช่นนั้น…ก็แล้วแต่ท่านเถิด” ฉู่สวินหยางกล่าว
เดิมทีอยากจะหลีกเลี่ยงเว้นระยะห่างจากสัมผัสใกล้ชิดของเขา แต่เมื่อถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าสมองของนางคิดเช่นใด อยากจะผลักออกไปแต่กลับเดินเข้าไปหา เหมือนกับระยะนี้ที่เขาคุ้นชินกับกริยาที่จะล่อลวงนาง นางจุมพิตเบาๆ ที่มุมปากของเขา จากนั้นตบไปที่ไหล่ของเขาเตรียมลุกขึ้นยืน
เหยียนหลิงจวินเคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้าฟาด ถูกกริยาดังกล่าวของนางทำให้ตกตะลึง เมื่อตั้งตัวติดนั้นกลับพบว่านางลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินจากไป
เขายื่นมือออกมาเกี่ยวข้อมือของนางเอาไว้ ดึงเพียงเบาๆ ก็พาฉู่สวินหยางกลับมาได้แล้ว
ฉู่สวินหยางตกใจ รีบยกมือขึ้นกั้นหน้าอกของเขาเอาไว้ เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ…
จากนั้นยังไม่ทันได้สบสายตา นาทีถัดมาช่องว่างเบื้องหน้ากลับตีลังกาหมุนกลับ ถูกเขากดลงบนตั่งหญิงงาม
แขนของนางพาดลงไปบนลำคอด้านหลังของเขา สีหน้าสีตาจริงจังของนางส่งให้เขานั้นเต็มไปด้วยคำถาม
เหยียนหลิงจวินมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา จึงรู้สึกโล่งใจยิ่ง ในใจนั้นเริงร่าเป็นพิเศษ
เขากวาดสายตามองใบหน้าไปทั่ว น้ำเสียงต่ำพร่าเอ่ย “คำพูดของเจ้าในคืนนั้น ยังถือเป็นจริงเป็นจังได้หรือไม่?”
ฉู่สวินหยางงุนงงไปครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อกระจ่างแจ้งในคำพูดของเขาพลันตกตะลึงไปทันที ในเวลาชั่วขณะนี้ไม่รู้ว่าจะตอบโต้เขากลับไปเช่นไรดี
เหยียนหลิงจวินเห็นนางหน้าแดงก่ำในพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าและแววตาของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น เขาก้มลงงับปลายจมูกของนาง “ท่าทางของเจ้าเช่นนี้มักจะมีข้อโต้แย้งอยู่เสมอ ข้าวางใจไม่ลงจริงๆ อย่างนี้ดีหรือไม่…”
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียงของเขา ฉู่สวินหยางนั้นตกใจ ผลักเขาออกเต็มแรงเพื่อหนีออกไป
เหยียนหลิงจวินเตรียมตัวป้องกันไว้นานแล้ว นางผลักครั้งหนึ่งไม่มีผลอันใด นาทีถัดมาก็ถูกปิดปากเสียแล้ว
ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ในสมองของฉู่สวินหยางเต็มไปด้วยคำพูดที่ส่งสัญญาณของเขาเมื่อสักครู่ ไม่มีอารมณ์ที่จะให้ความร่วมมือกับเขาแม้แต่น้อย
เขาจุมพิตนาง นางต่อสู้สุดแรง คิดจะผลักเขาออก
แต่ในเวลานี้นางเพิ่งรู้ว่าน้ำหนักของร่างกายชายหนุ่มสำหรับหญิงสาวแล้วนั้นราวกับน้ำหนักของขุนเขาลูกหนึ่ง ไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยจริงๆ
มือข้างหนึ่งของเขากอดรัดร่างของนางไว้ กักขังร่างของนางทำให้นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มืออีกข้างหนึ่งกดอยู่บนหลังของนาง กดร่างของนางให้แนบชิดกับร่างกายของเขา
นี่ไม่ใช่การล้อเล่นเพียงการลิ้มรสชั่วครู่ และไม่ใช่ความปรารถนาที่รุ่มร้อน แต่เป็นการเจตนาทำให้นางร้อนใจ จุมพิตนี้ของเขาช่างละเอียดอ่อนและมัวเมายิ่งนัก กระทั่งท้ายที่สุด ต่อให้ฉู่สวินหยางจะรู้สึกตัวอย่างแจ่มชัด ร่างของนางก็อ่อนยวบล้มลงในอ้อมกอดของเขาอยู่ดี ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนแต่อย่างใด
เมื่อได้รับการตอบสนองจากนาง ในสมองของเหยีนหลิงจวินราวกับมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น ความพยายามที่จะมีเหตุผลของเขากลับค่อยๆ สูญสลายไป เขาหลับตาลง ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นดื่มด่ำกับสัมผัสและรสชาติของนางด้วยความรู้สึกที่ล้ำเลิศยิ่งนัก สุดท้ายแม้กระทั่งการหายใจของคนทั้งสองล้วนสับสนไปหมด
“ซินเป่า…” นิ้วมือของเหยียนหลิงจวินเข้าประคองแก้มของนาง น้ำเสียงนั้นต่ำและแหบพร่า ปลายนิ้วนั้นสั่นสะท้านทว่าอ่อนโยน
แก้วตาสีดำในดวงตาของเขาราวกับมีลมพายุอยู่ลูกหนึ่ง ราวกับพร้อมที่จะบ้าคลั่งขึ้นตลอดเวลา เหมือนจะม้วนให้คนทั้งคนหายเข้าไปในนั้น
ฉู่สวินหยางหน้าแดงก่ำ ลมหายใจค่อยๆ มั่นคง ดวงตาทั้งคู่ทอประกายหยาดเยิ้ม นาทีนี้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแค่ใช้สายตานั้นมองตอบเขานิ่งๆ
นิ้วมือของเขาค่อยๆ ไล้บนผิวที่ขาวดุจหยกลงมาตามโครงหน้าของนาง กริยาเมื่อสักครู่นั้นไม่นับว่าร้อนแรงนัก ทว่ากลับทำให้อาภรณ์ของนางยับย่นเสียแล้ว ปกคอเสื้อเปิดออกเล็กน้อย ทำให้ลำคอขาวราวกับหิมะปรากฏแก่สายตา
นิ้วมือของเหยียนหลิงจวินแตะลงบนผิวของนาง ทว่ามันกลับสั่นสะท้านเบาๆ อยู่หลายส่วน จากลำคอลงมาถึงกระดูกไหปลาร้าที่ละเอียดอ่อนงดงามนั้น
ลมหายใจของเขาสั่นสะท้าน ลมหายใจเร่าร้อนนั้นพ่นออกมาจากจมูกและปากของเขา
ฉู่สวินหยางนั้นเดิมร่างกายตึงเครียดอยู่หลายส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงถูกลมหายใจของเขาแผดเผาไปทั่ว ให้ความรู้สึกเหมือนร่างของตนนั้นถูกคนเอาไปนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถูกนึ่งจนสุก
นางรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง นิ้วมือที่อยู่บนไหล่ของเหยียนหลิงจวินนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
สายตาของเหยียนหลิงจวินตกลงมาอยู่บนคอเสื้อของนาง
อาภรณ์หลายชั้นนั้นเปิดอ้าออก ตู้โตวสีแดงที่มีเชือกเพียงเส้นเดียวปรากฏแก่สายตา สีแดงสดบนร่างนั้นตัดกับผิวพรรณที่ขาวผ่องราวกับหิมะ กระตุ้นให้เลือดในหัวใจของคนนั้นเดือดพล่าน มองแล้วทำให้คนถึงกับตาพร่า
จากต้นจนจบ ฉู่สวินหยางไม่ได้ปฏิเสธการแนบชิดของเขา นางเพียงแค่ตื่นเต้นเล็กน้อย
ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะควบคุมตัวไม่อยู่ อยากทำอะไรบางอย่างตามสัญชาตญาณของตนเองบ้าง ทว่าท่ามกลางความยั่วยวนเช่นนี้ กลับทำให้สมองของเขากลับเต็มไปด้วยจินตนาการ
เขาเพียงคิดจะครอบครองนาง เป็นเจ้าของนาง และไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เขาเคยคิดวางแผนเกี่ยวกับอนาคตระหว่างคนทั้งสอง
————————————————