ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร แต่โดยนามแล้วจี๋อิ๋งก็เป็นบ่าวสาวของเฉิงฉือ
นางทุบตีเฉิงสวี่ และด้วยเสียงกรีดร้องของอู๋เป่าจาง ไม่นานคนของตระกูลเฉิงก็น่าจะเร่งมาถึงกันแล้ว นางบรรลุผลแล้วก็ควรจะไปได้แล้ว ยังจะรั้งอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร
จี๋อิ๋งถลึงตาเบิกกว้าง
ไหวซานทำสัญญาณมือให้อีกสองสามครั้ง
จี๋อิ๋งโกรธจนกระโดดตัวโหยงขึ้นมา
จะดีจะร้ายโจวเสาจิ่นก็เป็นญาติของตระกูลเฉิง อีกทั้งเฉิงสวี่ก็ยังอยู่ตรงหน้านี้อย่างไม่ถูกต้องนัก ต่อให้มีคนคิดจะแตะต้องนาง ก็ต้องระมัดระวังเรื่องชื่อเสียงด้วยมิใช่หรือ นอกจากนี้ยังมีนายท่านสี่เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้อยู่ด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยให้โจวเสาจิ่นเสียเปรียบอยู่แล้ว ให้นางรั้งอยู่ที่นี่คอยปกป้องโจวเสาจิ่นเช่นนี้มันคืออะไรกัน จะให้นางต่อยฮูหยินหยวนหรือฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรืออย่างไร
จี๋อิ๋งยกมือขึ้นมากำลังจะหันไปทำสัญญาณมือให้ไหวซาน ปรากฏว่านางจะเพิ่งยกแขนขึ้นเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงเป็นห่วงเป็นใยของโจวเสาจิ่นดังมาให้ได้ยินตรงข้างหูว่า “จี๋อิ๋ง เจ้าเป็นอะไรไป”
ไหวซานสีหน้าเคร่งขึ้น ท่าทางเข้มงวด ทำสัญญาณมือว่า ‘ห้ามขัดคำสั่ง’
จี๋อิ๋งระงับความโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ สูดลมหายใจเข้าลึกสองสามลมหายใจแล้วถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากจะต่อยคนแซ่เฉิงผู้นั้นอีกสักหมัดหนึ่ง” ขณะที่กล่าว ก็บีบนวดกำปั้นไปด้วย
โจวเสาจิ่นมองใบหน้าที่ไม่เหลือชิ้นดีของเฉิงสวี่แล้ว รีบกล่าวขึ้นว่า “การกระทำของเขาในตอนนี้ โทษยังไม่ถึงตาย หากพวกเราตีเขาอีก ก็ออกจะเกินไปสักหน่อยแล้ว เจ้าปล่อยเขาไปเถิด!”
ต่อให้อยากฆ่าเฉิงสวี่ นางก็ไม่อาจลากจี๋อิ๋งที่ไม่รู้เรื่องอะไรมาเกี่ยวข้องด้วย!
จี๋อิ๋งหน้ามืดครึ้ม กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่กล่าวอะไร
มีเสียงอึกทึกที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมาจากด้านนอกของโพรงหิน
ชุนหว่านโอบไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัว!” จี๋อิ๋งกล่าวปลอบโยนพวกนาง “มีข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องพวกเจ้าแม้แต่ปลายนิ้วเดียว!”
ถึงแม้จิตใจของโจวเสาจิ่นจะไม่ค่อยสงบนัก แต่ยังคงพยายามทำสีหน้าให้ตัวเองดูนิ่งที่สุด
นางกล่าวขึ้นว่า “จี๋อิ๋ง เจ้ารีบไปเถิด! ต่อให้เดินหลบไปไม่พ้น ก็แอบอยู่ตรงปากทางเข้าก่อนก็ยังดี ถ้าหากมีคนถามขึ้นมา ข้าจะบอกว่าข้าเป็นคนตีก็แล้วกัน”
จี๋อิ๋งมองโจวเสาจิ่นที่อ่อนโยนบอบบาง แล้วก็มองเฉิงสวี่ที่ร่างกายสูงใหญ่ กล่าวขึ้นยิ้มๆ อย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนตีเฉิงสวี่ จะมีคนเชื่ออย่างนั้นหรือ”
ด้วยเหตุนี้เฉิงฉือถึงได้ให้นางคอยอยู่ที่นี่ด้วยกระมัง
แต่เหตุใดเขาถึงไม่คิดดูบ้างว่า ถ้าหากฮูหยินหยวนผู้นั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นมานางจะทำอย่างไร
ทั้งที่เป็นสตรีเหมือนกันแท้ๆ หรือว่าโจวเสาจิ่นเป็นหยก แต่นางเป็นเพียงหญ้าต้นหนึ่งหรืออย่างไร
จี๋อิ๋งไม่พอใจยิ่งนัก ตัดสินใจว่าประเดี๋ยวตอนที่ได้เจอเฉิงฉือจะต้องถามเขาให้รู้เรื่อง
แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายืนกรานว่าข้าเป็นคนตี พวกนางคงไม่อาจจับตัวข้าไปสอบสวนได้หรอกกระมัง นอกจากนี้ชุนหว่านก็ให้คนไปแจ้งหม่าฟู่ซานแล้ว ข้าเพียงต้องประจันหน้ากับพวกนางครู่หนึ่ง ก็หลุดจากเรื่องยุ่งยากนี้ได้แล้ว ถึงเวลานั้นความจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญแล้ว…”
จี๋อิ๋งรู้สึกว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นมีเหตุผลยิ่ง อดไม่ได้ที่จะตริตรองอยู่ในใจ
แม้แต่โจวเสาจิ่นยังคิดเรื่องนี้ได้ ไม่มีเหตุผลที่เฉิงฉือจะคิดไม่ได้
เป็นเพราะเขาอยากให้ตนอยู่เป็นแพะรับบาปให้โจวเสาจิ่น ช่วยลดความไม่พอใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่มีต่อโจวเสาจิ่น กล่าวคือ โจวเสาจิ่นสุภาพน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ เรื่องทุบตีคนอะไรนั้นย่อมต้องเป็นความคิดของตนอยู่แล้ว ต่อให้โจวเสาจิ่นคิดจะขัดขวางตนอย่างไร ด้วยสภาพของโจวเสาจิ่นแล้ว จะขัดขวางตนได้หรือ
ถึงว่าไหวซานนั่งแอบมองตนอยู่บนต้นไม้แต่ไม่ส่งเสียงเลยสักคำ
ไม่แน่ว่าที่ช่วงนี้ตนได้พักอยู่ที่บ้านตลอดนั้นก็คงจะเป็นความตั้งใจของเฉิงฉือด้วยเช่นกัน เพราะกลัวว่าเวลาที่โจวเสาจิ่นต้องการให้นางช่วยเหลือแล้วจะหาตัวคนไม่เจอ…ยิ่งคิดจี๋อิ๋งก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉิงฉือนั้นมีแต่แผนชั่วร้ายเต็มท้องไปหมด จึงอดไม่ได้ที่จะด่าเฉิงฉืออยู่ในใจไปอีกหนึ่งยก
รู้สึกว่าการที่โจวเสาจิ่นเทิดทูนเฉิงฉือนั้นช่างตาบอดเสียจริงๆ
รอให้ครบสัญญาสิบปี ตอนที่นางกลับมามีอิสระอีกครั้งนางจะต้องเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเฉิงฉือต่อหน้าโจวเสาจิ่นให้จงได้…
โจวเสาจิ่นเห็นจี๋อิ๋งไม่ขยับ ก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก เร่งให้นางรีบไปเสีย
แต่สุดท้ายก็ไม่ทันจนได้
เสียงอึงคะนึงของฝีเท้าดังอยู่ใกล้ๆ ปากโพรงหินแล้ว อู๋เป่าจางร้องขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า “ตรงนั้นเจ้าค่ะๆ!”
เฉิงสือคุณชายใหญ่ของจวนรองเดินนำเข้ามาก่อน จากนั้นเป็นเฉิงเจิ้งคุณชายใหญ่ของจวนสาม ตามมาด้วยเฉิงอวี่คุณชายรองของจวนรอง…เฉิงอี๋นายท่านใหญ่ของจวนรอง เฉิงหลูนายท่านใหญ่ของจวนสาม…เฉิงนั่วคุณชายใหญ่ของจวนห้า เฉิงจวี่ญาติสายรองของจวนห้า…ยังมีเฉิงเก้าและเฉิงอี้ของจวนสี่ด้วย…
โพรงหินขนาดเล็กพลันแน่นขนัดจนแม้แต่น้ำก็ยังไหลผ่านไม่ได้
อู๋เป่าจางและสาวใช้ถูกเบียดไปอยู่ตรงมุม จึงมองไม่เห็นเงาคน
แต่คนที่มองเฉิงสวี่ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นนั้น เฉิงสืออ้าปากพะงาบๆ อย่างตกตะลึง เหลือบมองเฉิงเจิ้งที่อยู่ข้างหลังครั้งหนึ่ง เขากลับปิดปากแน่น
มือทั้งสองข้างของเฉิงเจิ้งกำอยู่ในแขนเสื้อ ไม่ได้เปล่งเสียงเอ่ยสิ่งใด
นายท่านใหญ่ทุกคนต่างมีสีหน้าดำดิ่งดุจน้ำ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
มีเพียงเฉิงนั่วกับเฉิงจวี่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังของทุกคนเท่านั้นที่ไม่รู้กาลเทศะ คนหนึ่งเขย่งเท้าขึ้นพร้อมกับยื่นคอไปมองข้างหน้า ตะโกนขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น มิใช่บอกว่าพี่ชายสวี่ดื่มมากไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดถึงวิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วเหตุใดน้องสาวรองไม่อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซาน มาอยู่ที่นี่ด้วยได้อย่างไร” ส่วนอีกคนหนึ่งสายตากลัดมันคู่นั้นราวกับติดหนึบอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น เออออกับคำพูดของเฉิงนั่วไปด้วย และกล่าวติดตลกไปด้วยว่า “พี่ชายสวี่ต้องเมามายจนไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้วเป็นแน่ ก็เลยเดินเพ่นพ่านมาถึงที่นี่…เพียงแต่ไม่รู้ว่าน้องสาวรองกำลังจะไปที่ใด เหตุใดถึงมาเจอพี่ชายสวี่ได้ พี่ชายสวี่ในสถาพเช่นนี้ ไม่รู้ว่าได้ล่วงเกินน้องสาวรองหรือไม่ น้องสาวรองที่ประหนึ่งดอกไม้เช่นนี้ เกรงว่าคงจะตกใจแย่แล้วกระมัง…”
หากกล่าวต่อไปอีก ก็จะเป็นการกล่าวคาดเดาเหตุการณ์ของเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว!
เฉิงหลูทั้งรู้สึกปวดใจและโกรธ
ปวดใจที่ไม่ง่ายเลยกว่าในบ้านจะมีเจี้ยหยวนผู้หนึ่ง และโกรธที่เฉิงสวี่น่าผิดหวัง ไปล่วงเกินโจวเสาจิ่นได้อย่างไร…
“เจ้าหุบปากประเดี๋ยวนี้!” เขาตะคอกเสียงดังอย่างอดไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นมองไปอย่างกรุ่นโกรธ “ผู้ใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ด้วย ถึงคราวให้เจ้าได้เอ่ยปากเมื่อใดกัน”
เฉิงจวี่หดคอกลับมา แอบอยู่ด้านหลังของเฉิงนั่ว
เฉิงหลูเองก็คร้านจะสนใจเฉิงจวี่
เขาถามโจวเสาจิ่นที่อยู่กับชุนหว่านเสียงนุ่มว่า “หลานสาวตระกูลโจว เจ้าลองบอกมาว่านี่ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เฉิงหลูกล่าวไปด้วย หันไปส่งสายตาอย่างร้อนใจให้โจวเสาจิ่นไปด้วย ประหนึ่งกำลังขอร้องอ้อนวอนให้นางช่วยพูดแทนเฉิงสวี่ดีๆ สักสองสามประโยค เปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กก็ให้ปล่อยผ่านไป
โจวเสาจิ่นกลับไม่มองเขา
นับตั้งแต่คนกลุ่มนี้เดินเข้ามา สายตาของนางก็ไปตกอยู่บนร่างของเฉิงฉือที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มคนมาโดยตลอด
เขาเดินเข้ามาอย่างสบายๆ ประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวน ด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลนั้นยังมีเฉิงลู่ติดตามมาด้วยผู้หนึ่ง
สีหน้าของท่านน้าฉือดูสบายๆ ทว่าสีหน้าของเฉิงลู่กลับคลุมเครือยากจะเข้าใจ ยังมองไปทางเฉิงฉือที่อยู่เบื้องหน้าเขาบ่อยๆ อีกด้วย นัยน์ตามีความขุ่นแค้นสายหนึ่งวาบผ่านโดยไม่รู้ตัว
สายตาของโจวเสาจิ่นพลันพร่ามัวขึ้นมาในทันใด
ต้องเป็นเพราะท่านน้าฉือกลัวว่าเฉิงลู่จะเล่นอะไรสกปรก ก็เลยเหนี่ยวรั้งเฉิงลู่เอาไว้ข้างกาย
นางรู้อยู่แล้วว่าท่านน้าฉือไม่มีทางที่จะไม่สนใจนาง!
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือราวกับได้ยินมันก็ไม่ปาน ยืนมือไพล่หลัง หันมาพยักหน้าให้นางพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ประหนึ่งกำลังบอกนางว่า ‘ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่’
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าหัวใจเต็มไปด้วยความกล้าหาญ สาดสายตามองตรงไปที่เฉิงสือและคนอื่นๆ
เฉิงหลูไม่ได้คำตอบจากโจวเสาจิ่น จึงเพิ่มเสียงแล้วถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ
เรื่องเช่นนี้ จะให้นางพูดออกมาตรงๆ ได้อย่างไร
นางทบทวนคำพูดอยู่ในใจไปมาถึงสามรอบถึงได้รู้สึกว่าพร้อมแล้ว
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากนั้น เฉิงเหมี่ยนกลับเดินเข้ามาตรงหน้าของทุกคนด้วยใบหน้าเย็นเยียบ กล่าวกับเฉิงหลูว่า “นางเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง เจ้าจะให้นางกล่าวอะไร” กล่าวจบ เขาหมุนกายกลับมา กล่าวกับโจวเสาจิ่นด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “ถูกทำให้ตกใจแย่แล้วกระมัง ชุนหว่าน เจ้าจงพาคุณหนูรองของพวกเจ้าไปที่เรือนเจียซู่ ไปพักผ่อนที่เรือนของนายหญิงผู้เฒ่า มีเรื่องอะไรรอข้ากลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที” เป็นท่าทีปกป้องที่กำลังบอกว่า ‘พวกเจ้ามีเรื่องอะไรก็ให้มาชนกับข้า’
เฉิงฉือขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น
เฉิงอี๋กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “น้องชายเหมี่ยน คำพูดนี้ของเจ้าไม่ค่อยถูกต้องนัก! เจียซ่านถูกตีจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะตายหรือจะรอดก็ยังไม่แน่ชัด ภายในโพรงหินยังมีเพียงหลานสาวตระกูลโจวกับสาวใช้ของนางเท่านั้น..อย่างไรก็ต้องสอบถามสักหน่อยกระมัง”
“เจ้า!” เฉิงเหมี่ยนดูกราดเกรี้ยว กล่าวขึ้นว่า “นี่มีอะไรควรถามอย่างนั้นหรือ หลานสาวของพวกข้าได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เล็ก สุภาพเรียบร้อยและยึดมั่นในความดีงาม คุณสมบัติที่พึงมีอย่างคุณธรรม กิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนและวาจาล้วนมาจากมารดาของข้า นางจะตีเจียซ่านโดยไร้เหตุผลอย่างนั้นหรือ เจ้าเองก็เป็นคนมีบุตรหลาน เหตุใดถึงกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ เสียดายที่เจ้าเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลเฉิง!”
เฉิงอี๋โกรธจนตัวสั่น กล่าวขึ้นว่า “นี่น้องชายเหมี่ยนหมายความว่าอย่างไร กำลังจะบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ หรือว่าน้องชายเหมี่ยนตั้งใจจะมารับช่วงดูแลสำนักศึกษาตระกูลเฉิง อยากให้ข้าสละตำแหน่งเสีย?”
เห็นเฉิงอี๋บ่ายเบี่ยงยื้อยุดกับเขา เฉิงเหมี่ยนกล่าวขึ้นด้วยดวงตาวาวโรจน์ว่า “พี่ชายอี๋หมายความว่าอย่างไร ตอนนี้พวกเรากำลังพูดเรื่องเจียซ่านอยู่ เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผู้ใดเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลเฉิงด้วย…”
ทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันขึ้นมาในไม่ช้า ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังอื้ออึงขึ้นมา
หยวนซื่อประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกวาดตามองทุกคนครั้งหนึ่ง แล้วก็ตกตะลึงเมื่อเห็นเฉิงสวี่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เพิ่งจะหลุดเสียงร้องว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ออกมา หยวนซื่อก็ปล่อยมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วกระโจนตัวไปที่ร่างของเฉิงสวี่แล้ว “เจียซ่านๆ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นี่แม่เอง! ผู้ใดตีเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ ใครช่างจิตใจโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ตีเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ได้” ขณะที่นางกล่าว ก็หันกลับมาด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า กวาดสายตามองเฉิงสือและคนอื่นๆ ทีละคนๆ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ร่างของเฉิงสือ
เฉิงสือหันไปมองโจวเสาจิ่น ในแววตาเต็มไปด้วยความหมายแฝง
หยวนซื่อเข้าใจกระจ่างแจ้ง เอ่ยขึ้นอย่างดุดันว่า “เป็นเจ้าที่ตีเจียซ่านจนบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ” ในแววตาฉายความสับสนออกมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่ก็เกิดขึ้นจากข้าเป็นเหตุ ท่านมีอะไรก็มาหาข้าก็พอ…”
ยังไม่ทันจะกล่าวจนจบประโยค นัยน์ตาของหยวนซื่อก็ฉายแววตาอำมหิตออกมา ดูประหนึ่งสัตว์ร้ายแม่ลูกอ่อนที่ลูกของมันถูกทำร้าย ที่พร้อมกับกระโจนออกมากัดกินนางในชั่วลมหายใจเดียวก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นตกใจกลัวจนถอยหลังติดๆ กันสองสามก้าวถึงทรงตัวยืนนิ่งได้
นางมองไปที่เฉิงฉืออย่างช่วยไม่ได้
เฉิงฉือหันมาพยักหน้าให้นางยิ้มๆ สีหน้าเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ
โจวเสาจิ่นรู้สึกจิตใจสงบขึ้นมา!
หยวนซื่อสีหน้าเย็นเยียบ “ไปหาเจ้า? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ให้ข้าไปหาเจ้า เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ เจียซ่านของพวกข้าเป็นเจี้ยหยวนของปีนี้…”
ความทรงจำของชาติก่อนปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของโจวเสาจิ่น ค่อยๆ ซ้อนทับเข้าด้วยกันกับหยวนซื่อที่อยู่เบื้องหน้า
ความเจ็บปวดและความกลัวเหล่านั้นไหล่บ่าเข้ามาในห้วงความคิดของนาง นางกำหมัดแน่น กล่าวเสียงดังว่า “บุตรชายของท่านเป็นเจี้ยหยวนก็เท่ากับว่าอยู่เหนือกว่าผู้อื่นแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าเองก็เป็นอัญมณีในอุ้งมือของบิดามารดาเช่นกัน ท่านมีเหตุผลอะไรมาว่าข้าเช่นนี้ บุตรชายของท่านทำผิดท่านไม่ลงโทษเขา กลับรู้จักแต่ต่อว่าว่าเป็นความผิดของผู้อื่นอย่างดื้อดึง ปัดความผิดของตัวเองไปให้ผู้อื่น ต่อให้บุตรชายของท่านเป็นเจี้ยหยวนแล้วอย่างไร หากไม่รับอิทธิพลของท่านมาจนกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ ก็คงจะรับอิทธิพลของท่านมาจนไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับสหายในที่ทำงานเป็นแน่ มีมารดาเช่นท่านสู้ไม่มีเสียยังจะดีกว่า!”
“หยาบคาย!” หยวนซื่อโกรธจนเกือบจะหายใจไม่ออก ลุกขึ้นมาง้างเงื้อมมือหมายจะไปตบโจวเสาจิ่น “มีใครพูดกับผู้ใหญ่แบบนี้เช่นเจ้าบ้าง วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาของเจ้าสักครั้ง!”
……………………………………………………………….