เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1035 นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง

แปลโดย iPAT

 

เมฆสีขาวเคลื่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า

 

ราชสีห์ตัวโตคำรามเสียงต่ำขณะที่เท้าทั้งสี่ของมันเหยียบย่ำอากาศและบินอยู่บนชั้นเมฆ

 

ร่างกายของมันเป็นสีขาวราวหิมะ แผงคอของมันพลิ้วไหวไปตามกระแสลมที่ถูกสร้างขึ้นจากใต้ฝ่าเท้า

 

บนแผ่นหลังของราชสีห์มีผู้อมตะสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ หนึ่งชายและหนึ่งหญิง

 

ผู้อมตะหญิงดูมีอายุมากกว่า นางเหมือนหญิงอายุหกสิบปี แต่ดวงตาของนางยังส่องประกายสดใส

 

ผู้อมตะชายอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มที่มีร่างกายบอบบางและปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นเยียบออกมา

 

“ท่านลุงทวด พาหนะของท่านช่างอัศจรรย์นัก มันสามารถบินอยู่บนก้อนเมฆ เพียงครึ่งวันพวกเราก็เดินทางมาได้ไกลถึงหลายหมื่นลี้” ผู้อมตะหญิงกล่าวยกย่อง

 

“นี่คือราชสีห์ปราณ มันเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย มันไม่ได้บินอยู่บนก้อนเมฆ แต่มันสามารถควบคุมมวลอากาศ” เด็กหนุ่มอธิบาย

 

“ราชสีห์ที่สามารถควบคุมมวลอากาศ ข้าไม่เคยเห็นสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน สัตว์อสูรเดียวดาย…มันคือสิ่งใด?” ผู้อมตะหญิงถาม

 

ผู้อมตะหนุ่มเผยรอยยิ้ม “ฉีอี้ เจ้าพึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องทั่วไปของโลกผู้อมตะ ราชสีห์ปราณตัวนี้มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพลังปราณอยู่บนร่างกาย เมื่อมันโตเต็มวัย มันจะสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ในปัจจุบันราชสีห์ชนิดนี้หาได้ยากมาก มันเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว เราสามารถพบเห็นพวกมันในสวรรค์สีขาวและสวรรค์สีดำเท่านั้น”

 

“สำหรับสัตว์อสูรเดียวดาย มันเป็นระดับของสัตว์อสูรเหมือนกับผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง สอง และสาม แต่สัตว์อสูรจะเริ่มตั้งแต่สัตว์อสูรเดียวดาย สัตว์อสูรบรรพกาล และสัตว์อสูรแรกกำเนิด สัตว์อสูรเดียวดายมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับหก สัตว์อสูรบรรพกาลมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ด และสัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด”

 

ดวงตาของผู้อมตะหญิงส่องประกายขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกว่าราชสีห์ตัวนี้ค่อนข้างอันตราย ขอบคุณท่านลุงทวดที่ช่วยให้ข้าผ่านพ้นภัยพิบัติและก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ หากข้าต่อสู้กับราชสีห์ตัวนี้เพียงลำพัง ข้าอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส”

 

ในความเป็นจริงฉีช่ายที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มมีอายุหลายร้อยปีและเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด

 

เขาเต็มไปด้วยประสบการณ์ แน่นอนว่าเขาสามารถคาดเดาว่าหลานสาวผู้นี้กำลังคิดสิ่งใด

 

ฉีช่ายยกแขนขึ้นตบไหล่ให้กำลังใจฉีอี้ “เสี่ยวอี้ อย่าได้กังวล ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ หลังจากข้าทำธุระเสร็จแล้ว พวกเราจะกลับไปยังถ้ำสวรรค์ทะเลฉี ผู้อาวุโสของตระกูลอยู่ที่นั่น หากพวกเขารู้ว่าตระกูลฉีมีผู้อมตะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน พวกเขาจะมีความสุขมาก หลังจากนี้เจ้าจะอาศัยอยู่ที่นั่นและเรียนรู้สิ่งต่างๆจากเหล่าผู้อาวุโส อย่าลืมสังเกตและตั้งคำถามให้มาก”

 

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านลุงทวดที่แนะนำ” ฉีอี้ลุกขึ้นโค้งคำนับฉีช่ายด้วยการแสดงออกที่จริงจัง

 

“อืม นั่งลงเถอะ” ฉีช่ายพยักหน้าและแสดงออกด้วยความภาคภูมิใจ

 

ฉีอี้นั่งลงก่อนจะถามด้วยความลังเล “ตระกูลฉีของเรามีผู้อมตะมากมาย  เหตุใดพวกเราไม่ปกครองภาคใต้เหมือนตระกูลวูกับตระกูลเฉิง?”

 

ฉีช่ายเผยรอยยิ้มบาง “เจ้าต้องการถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสที่กลายเป็นผู้อมตะจึงไม่ทำตัวเช่นตระกูลวูกับตระกูลเฉิงและปล่อยให้ลูกหลานถูกรังแกใช่หรือไม่?”

 

“ข้าไม่กล้า” ฉีอี้กล่าวด้วยความกังวล

 

“ในอดีตเมื่อข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ข้าก็มีคำถามเดียวกับเจ้า” ฉีช่ายถอนหายใจ “เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน มันต้องใช้เวลาสักพักในการอธิบาย”

 

“สาเหตุที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับบรรพชนของตระกูลฉี เขาเป็นหนึ่งในนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงเมื่อหลายพันปีก่อน”

 

“นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง?” ฉีอี้ถาม

 

“ห้าเซียงคือผู้อมตะห้าคนที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในภาคใต้ ในช่วงเวลานั้นพวกเขาเป็นผู้อมตะระดับแปดที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกผู้อมตะ พวกเขาร่วมมือกันสำรวจสวรรค์สีขาวและสวรรค์สีดำ ทั้งห้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่านักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง บรรพชนของเรา ฉีเซียง เป็นหนึ่งในนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ตระกูลของเราบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพลังปราณเป็นหลัก”

 

“ผู้อมตะระดับแปด!” ฉีอี้ตกตะลึง

 

ฉีช่ายถอนหายใจ “ในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้อมตะระดับเก้า ผู้อมตะระดับแปดถือเป็นจุดสูงสุด ทุกการกระทำของพวกเขาถือเป็นตำนานและจะส่งผลกระทบในวงกว้าง เวลานั้นนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก พวกเขามักร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู ดังนั้นผู้อมตะระดับแปดคนอื่นๆมักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกเขา”

 

“การคงอยู่ของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงทำให้ภาคใต้มีความได้เปรียบภูมิภาคอื่น พวกเขามีชื่อเสียงมาก แต่หลายสิบปีต่อมา กลุ่มนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงกลับแยกย้ายกันไป”

 

“เพราะเหตุใด?” ฉีอี้เร่งถาม

 

ฉีช่ายถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียด บางทีอาจเป็นเพราะนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงพบความลับอันยิ่งใหญ่แต่มีเพียงผู้เดียวที่จะได้รับมัน นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงต่างต้องการสิ่งนี้ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาใกล้เคียงกันและเพราะความสัมพันธ์ของทั้งห้า พวกเขาจึงใช้วิธีเดิมพัน”

 

“เดิมพัน?”

 

“ถูกต้อง การเดิมพันนี้มีผลหนึ่งพันปี กฎของการเดิมพันก็คือ ทั้งห้าเซียงต้องเฝ้าดูบุตรหลานของตนเติบโตขึ้นด้วยตนเอง หลังจากหนึ่งพันปี ตระกูลใดแข็งแกร่งที่สุด ตระกูลนั้นจะเป็นผู้ชนะ”

 

ฉีอี้คิดและตระหนักว่าหนึ่งพันปีได้ผ่านไปแล้ว ดังนั้นนางจึงเปิดปากถาม “แล้วผู้ใดได้รับชัยชนะ?”

 

ฉีช่ายเผยรอยยิ้มขมขื่น “หนึ่งพันปีต่อมามีสองตระกูลที่มีจำนวนผู้อมตะสูงสุดเท่ากันและไม่สามารถหาผู้ชนะ ส่วนอีกสามตระกูลต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นสองตระกูลที่เหลือจึงต้องเดิมพันต่ออีกหนึ่งพันปี สองพันปี สามพันปี จนถึงตอนนี้นักสำรวจสวรรค์ห้าเซียงเสียชีวิตไปแล้วแต่การเดิมพันยังดำเนินต่อไป”

 

“เป็นเช่นนั้น!” ฉีอี้รู้สึกพูดไม่ออก

 

หลังจากนั้นนางจึงยอมรับความจริง “นั่นหมายความว่าหากปราศจากการเดิมพันนี้ ภาคใต้จะมีมากกว่าห้ากองกำลังใหญ่?”

 

ฉีช่ายส่ายศีรษะ “ท่ามกลางเซียงทั้งห้ามีผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะรวมอยู่ด้วย ระบบตระกูลเป็นการกระทำของฝ่ายธรรมะเท่านั้น”

 

“ตระกูลฉีของเราเป็นหนึ่งในห้าเซียง แล้วอีกสี่คือผู้ใด?” ฉีอี้ถาม

 

ฉีช่ายตอบ “ฉีเซียง หนี่เซียง ไป่เซียง เซี่ยเซียง ซื่อเซียง พวกเขาคือนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง สถานที่ที่ข้ากำลังจะไปคือหนี่เซียงรุ่นปัจจุบัน”

 

“เหตุใดท่านลุงทวดจึงต้องไปหาหนี่เซียง?”

 

ฉีช่ายลังเลเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง “ตอนนี้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นในโลกของผู้อมตะ ผู้อมตะภาคใต้จำนวนมากเสียชีวิตที่ภูเขาอี้เทียน หนึ่งในผู้อาวุโสของเราเสียชีวิตที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงต้องมาหาหนี่เซียงเพื่อร่วมมือกันตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น?”

 

“อา…ภูเขาอี้เทียน…” ฉีอี้อุทาน

 

โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวน การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนเกี่ยวข้องกับผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์และผู้อมตะ เป็นธรรมดาที่ฉีอี้จะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

 

แต่นางรู้เพียงว่าฝ่ายธรรมะของภาคใต้ส่งกองกำลังบุกโจมตีฝ่ายปีศาจบนภูเขาอี้เทียนเพื่อรักษาความยุติธรรมเท่านั้น ในภาคใต้ไม่เคยมีกองกำลังปีศาจขนาดใหญ่ ดังนั้นฝ่ายธรรมะจึงไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น

 

ฉีช่ายบอกฉีอี้เกี่ยวกับการเดิมพันบนภูเขาอี้เทียนของกลุ่มผู้อมตะ

 

ในที่สุดฉีอี้ก็ตระหนักถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

 

นางพึมพำ “ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับผู้อมตะราวกับสวรรค์และพื้นพิภพ ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าเป็นเพียงตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะเท่านั้น”

 

ความจริงเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฉีอี้ที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเป็นอย่างมาก

 

ฉีช่ายได้ยินและเผยรอยยิ้ม

 

เมื่อผู้ใช้วิญญาณก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ทั้งความแข็งแกร่ง วิธีการบ่มเพาะ และความคิดของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป

 

ฉีช่ายใช้เหตุการณ์บนภูเขาอี้เทียนเพื่อกระตุ้นฉีอี้ให้เติบโตขึ้นและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นบทสนทนาของทั้งสองจึงหยุดลง

 

ราชสีห์ปราณยังวิ่งอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ

 

ด้วยค่ายกลวิญญาณ คนทั้งสองที่นั่งอยู่บนแผ่นหลังของราชสีห์ปราณจึงไม่รู้สึกถึงแรงลมหรือเสียงใดๆ

 

ฉีอี้รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ มนุษย์ไม่ต่างจากแมลงตัวน้อย นางคิด ‘ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเป็นผู้อมตะ ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป มนุษย์กับผู้อมตะแตกต่างกัน ข้าต้องจำเรื่องนี้เอาไว้’

 

หลังจากเตือนตนเอง อารมณ์ของฉีอี้จึงกลับมาเป็นปกติ

 

ฉีช่ายกล่าว “อันที่จริงระหว่างสองสามพันปีที่ผ่านมา ในบรรดาทายาทของนักสำรวจสวรรค์ห้าเซียง ตระกูลฉีของเราเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ลูกหลานของเซี่ยเซียงบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเลือด พวกเขาเกือบถูกลบออกไปจากโลกใบนี้แล้ว ลูกหลานของซื่อเซียงอาศัยอยู่ในถ้ำสวรรค์และใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน พวกเขาไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป สายเลือดสุดท้ายของไป่เซียงพึ่งถูกกำจัดไปเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับหนี่เซียง แม้พวกเขาจะมีหลายสาขาในภาคใต้ แต่ก็ไม่มีผู้อมตะตระกูลหนี่อีกต่อไป”

 

ฉีอี้พยักหน้า “การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเป็นเรื่องยากลำบากอย่างแท้จริง หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านลุงทวด ข้าคงตายในภัยพิบัติไปแล้ว”

 

ฉีช่ายยิ้มและส่ายศีรษะ “แท้จริงแล้วตระกูลหนี่มีความหวังมากที่สุดในการผลิตผู้อมตะ แต่เพราะสาเหตุนี้กองกำลังอื่นจึงขัดขวางพวกเขาและทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช”

 

“สามพันปีหลังการเดิมพัน ตระกูลหนี่ให้กำเนิดผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมที่โดดเด่นมากผู้หนึ่ง เขาชื่อหนี่เหริน เขาเป็นผู้อมตะคนสุดท้ายของตระกูลหนี่ ก่อนเขาตาย เขาได้ทำลายข้อตกลงและหลอมรวมวิญญาณอมตะเข้ากับสายเลือดของตระกูลหนี่”