บทที่ 172 คำถามนี้ตอบง่าย โดย Ink Stone_Romance
เรื่องนี้กะทันหันเกินไปแล้ว
ทำไมไม่เจอกันช่วงหนึ่ง อยู่ดีๆ เขาวิ่งมาแสดงเจตนานี้?
คุณหนูจวินลำบากใจอยู่บ้าง
แต่ตั้งใจคิดดูก็ไม่อาจนับได้ว่ากะทันหัน คิดให้ละเอียด ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา เขาก็ค่อนข้างดีกับนางจริงๆ
เพียงแค่นางคุ้นชินกับการที่ผู้อื่นดีกับนาง จึงไม่ได้คิดมาก
เวลานี้คิดดูอีกครั้ง คนผู้หนึ่งดีกับคนอีกผู้หนึ่งย่อมไม่ใช่ไร้เหตุผล
และคนผู้หนึ่งชอบคนอีกผู้หนึ่งก็ย่อมมองออกได้
เช่นดวงตาสุกสกาวของชายหนุ่มผู้นี้เวลานี้
คุณหนูจวินในใจรสชาติแปลกแปร่งอยู่บ้าง
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก” นางเอ่ย เงยหน้าสบดวงตาทั้งสองของชายหนุ่มผู้นี้
นางเข้าใจความหมายของตนแล้ว
หนิงอวิ๋นเจารู้สึกเพียงหัวใจเต้นเร็วขึ้น ร่างกายร้อนขึ้นนิดหนึ่ง
ส่วนที่นางเอ่ยว่าไม่ค่อยเข้าใจนัก เขากลับเข้าใจ
นางไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถามประโยคนี้ออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ คนผู้นี้คือนาง
ก่อนหน้านี้ก็เวลานี้ปีที่แล้ว เด็กสาวคนนี้ยังคลั่งไคล้ไล่ตามเขา รอคอยพานพบเขาในเทศกาลโคมไฟ ได้ยินว่ายังเขียนบทกวีให้เขาบทหนึ่งด้วย
แต่สำหรับเขาแล้ว คุณหนูจวินผู้นี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ดุจเดียวกับบรรดาหญิงสาวที่ไล่ตามอยู่หลังร่างเขาเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจและไม่จำเป็นต้องคิดหยุมหยิมด้วย
ต่อมาเขาออกจากบ้านร่ำเรียนของตนเองต่อ ใจไม่วอกแวกมุ่งแสวงหาความสำเร็จ
คุณหนูจวินคนนั้นอยู่ที่บ้านก่อเรื่องอย่างไร ก่อเรื่องอะไรไป เขาที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงย่อมไม่มีทางรู้ แล้วก็ไม่มีคนบอกเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้กับเขา
ในสายตาของเขามีเพียงเส้นทางขุนนางเบื้องหน้า ไม่มีเวลาว่างสนใจข้างหลังข้างกาย
ต่อมานางถอนหมั้น ต่อมาสองบ้านขัดแย้งกัน ผูกแค้น
คนที่เคยเมินเฉยหลีกหลบแทบไม่ทัน คนที่ควรจะให้เกียรติอยู่ห่างๆ ทำไมกลับกลายเป็นชื่นชอบและปรารถนา? หากรู้วันนี้ล่วงหน้า ครานั้นใยต้อง?
สัญญาหมั้นยกเลิกแล้ว เรื่องในอดีตจบไปแล้ว เขาดันจะวิ่งกลับมา
นี่เป็นเรื่องที่ยากจะให้คนเชื่อ ยากจะเข้าใจจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ยิ้ม
“ข้าก็ไม่เข้าใจ” เขาเอ่ย “ต้องไม่ใช่รักแรกพบแน่นอน”
ไม่ใช่รักแรกพบ ถ้าอย่างนั้นย่อมเป็นนานวันหลงรัก
คำพูดที่ทำให้คนเขินอายเช่นนี้เขาก็เอ่ยออกมาตรงไปตรงมาเช่นนี้ เหมือนดั่งเอ่ยอธิบายข้อถกเถียงทางปรัชญาสักข้อ
ความตรงไปตรงมาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเหมาะนักกับคุณหนูจวิน ความลำบากใจเหล่านั้นสลายไป นางก็ยิ้มด้วยแล้ว คิดไปถึงการคุยเล่นเกี่ยวกับรักแรกพบของพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่นาน
รักแรกพบย่อมไม่ใช่แน่นอน หากใช่จวินเจินเจินคงไม่ตาย แล้วก็คงไม่มีตนเองในวันนี้
คิดถึงจวินเจินเจิน คุณหนูจวินก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง
“เรื่องนี้พูดยากอยู่บ้าง” นางเอ่ย
สีหน้านางจริงจัง เหมือนศึกษาข้อถกเถียงทางปรัชญาอยู่บ้างเช่นกัน
นี่เป็นข้อถกเถียงทางปรัชญาอย่างหนึ่งจริงๆ
หากเวลานี้นาทีนี้เป็นจวินเจินเจิน ได้ยินประโยคเชิญชวนประโยคนี้ของหนิงอวิ๋นเจาต้องดีใจไม่หยุดแน่
แต่หากเวลานี้นาทีนี้เป็นจวินเจินเจิน หนิงอวิ๋นเจาก็คงไม่มีทางเอ่ยประโยคนี้ออกมา
จวินเจินจินผู้พบหน้ากันครั้งหนึ่งไม่ได้ทำให้เขาหลงรัก คนที่คบหาไปมาหาสู่จนทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้ในวันนี้คือฉู่จิ่วหลิง
แต่หากไม่มีจวินเจินเจิน เขาก็ไม่มีโอกาสรู้จักคบหากับฉู่จิ่วหลิง
ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนอื่นเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่หนิงอวิ๋นเจารู้สึกว่าคุณหนูจวินเป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก
ไม่มีเอียงอายทำอันใดไม่ถูก ไม่มีตระหนกตกใจถอยหนี
เหมือนไม่กี่วันก่อนนั่งถกเรื่องรักแรกพบอย่างนั้น ชายหญิงกินดื่มตรงไปตรงมา ใจปรารถนาแต่ไม่หยามเกียรติ
เรื่องนี้พูดยากอยู่บ้างจริงๆ
สารพัดเรื่องก่อนหน้านี้ไม่พูดถึงได้ แต่สารพัดเรื่องหลังจากนี้ยังมีอีกมากมายนัก
ทว่าในเมื่อเขารู้ชัดความในใจแล้ว ตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นย่อมต้องทุ่มใจพยายามเพื่อมัน
“เจ้าไม่ต้องตอบตอนนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “เจ้าลองคิดดูได้”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้ม
“ห่างจากคืนวันที่สิบห้ายังเหลืออีกสองวันหนึ่งคืน”
พูดหยอกล้อซุกซนเช่นนี้เป็นครั้งแรกน่าอายมากอยู่บ้าง แต่หวังว่านางจะไม่โมโห
คุณหนูจวินไม่ได้โมโห ได้ยินเข้าก็หัวเราะ
เห็นนางหัวเราะ หนิงอวิ๋นเจาในใจผ่อนคลายลงบ้างอีกครั้ง เรื่องยากอีกเท่าใดขอเพียงไปทำ ที่จริงก็ไม่ยาก
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ไม่ต้อง คำถามนี้ตอนนี้ข้าก็ตอบได้” นางเอ่ย
นี่ที่จริงเป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก ไม่ต้องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดนานขนาดนั้น
ไม่จำเป็นหรือ? หนิงอวิ๋นเจามองนาง
ก็ถูก เรื่องเช่นนี้ขอเพียงฟังหัวใจก็พอแล้ว เป็นเรื่องง่ายดายนักจริงๆ
“ขอบคุณคำเชิญของคุณชาย เพียงแต่ขออภัยยิ่ง” คุณหนูจวินเอ่ย
นางสีหน้านิ่งสงบ แววตาสุขุม เสียงอ่อนโยนทว่าเด็ดขาด
ขออภัยย่อมไม่ใช่เพราะรับคำเชิญของเขา
หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“ข้าขอถามว่าทำไมได้ไหม?” เขาเงยหน้ายิ้มเอ่ยถาม
คำถามนี้ก็ยังคงง่ายดายนัก
คุณหนูจวิน มองเขาไม่ลังเลหรือขบคิดสักนิด
“ไม่เหมาะ” นางเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ข้าไม่อยาก”
ไม่เหมาะคือพูดถึงสภาพจริงเหตุปัจจัยภายนอก ตัวอย่างเช่นบุญคุณความแค้นความขัดแย้งระหว่างตระกูลของนางกับตระกูลของเขา
ส่วนนางไม่อยากเป็นความเห็นส่วนตัวความปรารถนา นางฟังหัวใจ
คำตอบนี้ชัดเจนและจริงใจ สมเหตุสมผล ไม่มีสิ่งใดจับผิดและโต้แย้งได้
ก็เหมือนเช่นวิธีการเล่นหมากของนาง ดาบสุดท้ายสะบั้นเด็ดขาดฉับไวไม่ไว้ไมตรีสักนิด
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“เช่นนี้หรือ” เขาเอ่ย แล้วพยักหน้า “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
คำตอบของเขาก็เด็ดขาดฉับไวเช่นกัน ยกมือคำนับลาคุณหนูจวิน
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน”
คุณหนูจวินคำนับตอบ มองหนิงอวิ๋นเขาเดินจากไป ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
นี่ก็คือการถูกคนชอบ รวมถึงสารภาพความในใจหรือ?
เหมือนที่ก่อนหน้านี้เดินอยู่ข้างนอก บางครั้งเห็นชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นกั้นกลางด้วยต้นหลิวมองกันอยากพูดก็หยุด มองกันเงียบงัน
ชายหนุ่มชอบพอ หญิงสาวมีใจ ปรารถนาจะได้หัวใจของคนผู้หนึ่ง ศีรษะขาวโพลนไม่แยกจาก
คุณหนูจวินยกมือกุมใบหน้าตนเอง
เรื่องเช่นนี้นางเป็นผู้ชมมาโดยตลอด ยังไม่ทันชอบพอหรือถูกคนชอบพอมาก่อนก็แต่งงานหลังจากนั้นก็ตายเสียแล้ว
คิดไม่ถึงตอนนี้จะพบเรื่องเช่นนี้
มุมปากของนางผุดรอยยิ้มบาง
แต่น่าเสียดายนะ น่าเสียดายเวลานี้ไม่เหมาะสม
นางไม่ใช่จิ่วหลิงผู้ต้องการเพียงรักษาอาการป่วยของบิดา ไร้ห่วงไร้กังวลคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่นางแบกอยู่คือแค้นลึกล้ำโชกเลือด สิ่งที่ต้องการทำคือผลัดเปลี่ยนราชบังลังค์ เรื่องกบฏยิ่งใหญ่เช่นนี้
นางไม่มีเวลาและไม่อยากคิดถึงความรักหนุ่มสาว พูดถึงตบแต่งแต่งงาน
คุณหนูจวินหลุบสายตาลงก้าวไปข้างหน้าปิดประตู
โคมด้านในโถงถูกเป่าดับ เงาร่างของหญิงสาวเอนไหวหายไปในราตรี
…
คืนวันที่สิบห้าเดือนแปดมาเร็วเป็นพิเศษอยู่บ้าง ตอนที่หนิงอวิ๋นเจาพาเสี่ยวติงเดินทางมาบ้านของหนิงเหยียน บนถนนโคมไฟก็ดุจธารดาราแล้ว ฝูงชนเบียดเสียด
“คืนนี้ต้องครึกครื้นมากแน่” เสี่ยวติงเอ่ยดีใจ “ถึงเวลาพวกเราไปชมโคมที่ไหนขอรับ? นอกเมืองหรือว่าในเมือง?”
“คืนนี้ย่อมต้องชมโคมในบ้านของท่านอา” หนิงอวิ๋นเอ่ย
เสี่ยวติงงงไปครู่หนึ่ง
“คุณชาย ไม่ไปชมโคมด้วยกันกับคุณหนูจวินหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถาม
“จะไปด้วยกันกับคุณหนูจวินได้อย่างไรเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ย “สิบห้าเป็นวันครอบครัว นางก็มีธุระของตนเอง”
เสี่ยงติงร้องอ้อ เขานึกว่าวันก่อนคุณชายไปโรงหมอจิ่วหลิงกะทันหันก็เพื่อเชิญคุณหนูจวินชมโคมไฟเสียอีก ที่แท้ไม่ใช่หรือ
หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าสงบนิ่งมองไปข้างหน้า เหมือนมองไม่เห็นความสงสัยของเสี่ยวติง
……………………………………….