ตอนที่ 266 ที่มาของใบสั่งยา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 266 ที่มาของใบสั่งยา

ไป๋หลี่เฉินบุกเข้าเรือนของอันหลิงเกอแล้วถูกปี้จูกับหมิงซินมัดไว้ด้วยเชือกป่านเส้นใหญ่หลายต่อหลายรอบ จากนั้นถูกปี้จูหยิกในจุดที่มิมีใครมองเห็นอีกหลายครั้ง ถึงได้ส่งตัวให้ทางราชการ

หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็ให้คนไปตามตัวลู่จิงหยูมา

“คารวะคุณหนูใหญ่ขอรับ”

หลังจากโรคระบาดที่ฉู่โจวจบสิ้นแล้ว ลู่จิงหยูก็ถูกอันหลิงเกอเรียกกลับมาที่จวนโหว

ตอนนี้ได้พบอันหลิงเกอเขาก็รีบเข้ามาคำนับทันที

อันหลิงเกอโบกมือ สายตามองไปยังค่ายกลบนพื้นพวกนั้น “เจ้าหาคนมาซ่อมแซมค่ายกลพวกนี้ให้เป็นเหมือนเดิม”

ค่ายกลพวกนี้แม้มิถึงกับเอาชีวิตได้ แต่ก็สามารถใช้งานได้ดีและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม

หากผู้ที่บุกเข้ามาเป็นคนธรรมดาไร้วรยุทธก็คงตกลงไปตั้งแต่ค่ายกลแรกแล้ว หรือหากคนที่บุกเข้ามาเป็นผู้มีวรยุทธมิสูงส่งมากนักก็คงโดนห่าฝนธนูจนบาดเจ็บไปแล้ว

เมื่อลู่จิงหยูคิดได้เช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น สายตามองไปยังธนูที่ร่วงหล่นอยู่ที่พื้นพวกนั้น

แต่บนพื้นมิมีเลือดแม้แต่หยดเดียว แสดงให้เห็นว่าผู้ที่เข้ามามีวรยุทธสูงส่งสามารถหลบหลีกค่ายกลทั้งสองได้อย่างปลอดภัยจนคุณหนูต้องวางยาจึงสามารถคุมตัวเขาเอาไว้ได้

“คุณหนูบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ ? ”

ลู่จิงหยูเมื่อคิดได้ว่าคนผู้นั้นมีวรยุทธสูงส่ง หัวใจของเขาราวกับโดนบีบรัดจึงรีบถามอันหลิงเกอ

อันหลิงเกอหัวเราะออกมา เป็นสัญญาณให้เขาวางใจได้ “ข้ามิได้เป็นอันใด พวกหมิงซินนำตัวคนผู้นั้นไปส่งให้ทางราชการแล้ว”

โจรที่กล้าบุกรุกจวนโหวแค่ส่งไปให้ราชการจัดการก็คงโดนขังคุกเท่านั้น สู้ให้ท่านโหวจัดการเองยังจักดีกว่า

ลู่จิงหยูคิดเช่นนั้น แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีดำของอันหลิงเกอเขาก็ต้องตกใจขึ้นมา

หากส่งให้ท่านโหวจัดการก็เท่ากับทำให้ทุกคนรู้ว่ามีโจรบุกเข้ามาที่เรือนคุณหนูใหญ่ แล้วถ้ามีคนตั้งใจปล่อยข่าวลือออกไปจักส่งผลเสียต่อคุณหนูใหญ่ก็เป็นได้

อีกทั้งคนผู้นั้นยังมีวรยุทธสูงส่ง หากรอจนฤทธิ์ยาในร่างกายหมดไปและหลุดจากพันธนาการได้ ถึงเวลานั้นพวกเขาจักสามารถจับตัวได้อีกครั้งหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา

“บ่าวจักให้คนซ่อมแซมค่ายกลเดี๋ยวนี้ขอรับ” ลู่จิงหยูมิได้กล่าวอันใดอีกก็หมุนตัวออกไปเพื่อไปตามหาช่างผู้ชำนาญ

ส่วนอันหลิงเกอก็เงียบสงบ เมื่อนางหันหลังไปก็เห็นมู่จวินฮานนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนข้างต้นไม้เก่าแก่พลางหยิบหมากตัวหนึ่งขึ้นมาอย่างมั่นใจแล้ววางหมากลงบนกระดาน

สำหรับท่าทางคุ้นเคยราวกับอยู่ในสวนที่จวนตนเองนั้น อันหลิงเกอมองแล้วก็ทำได้เพียงเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งยังฝั่งตรงข้ามของเขา “ท่านมู่ซื่อจื่อ เหตุใดจึงมาที่นี่ได้เจ้าคะ ? ”

มือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนของมู่จวินฮานหนีบหมากดำขึ้นมาหนึ่งตัวยิ่งส่งให้มือที่เรียวยาวดูสะอาดตาน่ามองยิ่งนัก

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอเอ่ยถาม เขาก็ยกริมฝีปากขึ้น ภายในดวงตาเรียวยาวมีเสน่ห์แฝงรอยยิ้มเปล่งประกาย “วรยุทธของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”

แม้เขามิได้กล่าวอันใดต่อ อันหลิงเกอก็เข้าใจในความหมายได้ทันทีซึ่งเขาเองก็เห็นที่นางลงมือกับอันผิงกงจู่เช่นกัน

เป็นเหตุให้อันหลิงเกอยกยิ้มจนตาหยี แต่นัยน์ตามีความเจ็บปวดแฝงเอาไว้ “ข้าฝึกธนูอยู่ทุกวันย่อมต้องมีการพัฒนาอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อชาติก่อนปี้จูถูกคนฆ่าตายต่อหน้านาง ความรู้สึกไร้ประโยชน์ที่ช่วยเหลืออันใดมิได้ ทำให้นางเจ็บปวดยิ่งนัก นางมิอยากพบเจอมันเป็นครั้งที่สองอีก ดังนั้นเมื่อมีโอกาสคืนชีพ นางจึงบากบั่นศึกษาวิชาแพทย์และการยิงธนู

มู่จวินฮานสังเกตได้ว่านางผิดปกติ แต่ก็มิได้คิดอันใดมากเพียงแค่วางหมากในมือลง “เจ้ามีเรื่องปิดบังข้าไว้มิน้อยเลย”

มู่จวินฮานคิดว่าระหว่างตนและอันหลิงเกออยู่ในจุดที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกันอย่างไร้ข้อแม้ ต่างฝ่ายต่างไร้ความลับต่อกัน ทว่าเรื่องสายลับแคว้นชิงเยว่ก็ทำให้เขารู้สึกคล้ายโดนตีแสกหน้า ทำให้ตระหนักได้ว่าความจริงหาเป็นเยี่ยงนั้นไม่

สายลับแคว้นชิงเยว่สารภาพออกมาแล้วว่าเรื่องโรคระบาดเป็นเพียงยาพิษที่องค์ชายใหญ่แคว้นชิงเยว่คิดค้นขึ้นมา แต่อันหลิงเกอบอกว่าใบสั่งยาที่นางนำมารักษา ‘โรคระบาด’ นั้น นางเห็นมาจากตำราโบราณ ช่างขัดแย้งกันไปเสียหมด

ตอนนั้นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ พวกสายลับแคว้นชิงเยว่ที่ถูกขังอยู่ในคุกย่อมมิมีทางพูดโกหกอย่างแน่นอน เช่นนั้นคนที่โกหกก็มีเพียงอันหลิงเกอ

“ใบสั่งยาที่ใช้รักษาโรคระบาด แท้จริงมาจากที่ใดกันแน่ ? ”

มู่จวินฮานมิได้มีน้ำเสียงบีบบังคับแต่อย่างใด มุมปากยังคงมีรอยยิ้มปรากฏแต่ทำให้ดวงตาของอันหลิงเกอไหววูบเล็กน้อย

“ข้าเห็นมาจากในตำราจริง ๆ เจ้าค่ะ มีคนเคยคิดค้นตัวยานี้เอาไว้”

เมื่อชาติก่อน ตอนที่เกิดโรคระบาดขึ้นมา ยาที่มีการคิดค้นจึงถูกบันทึกลงในตำราแพทย์มากมาย อันหลิงเกอมิสามารถกล่าวเรื่องที่ตนคืนชีพได้ ทว่าเรื่องอื่นนางก็มิได้ปิดบัง

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอ รอยยิ้มมุมปากของมู่จวินฮานก็จางลง แววขี้เล่นนั้นหายไปจนสิ้น ดวงตาที่ดุดันส่องประกายคมกล้าราวกับมีดที่ถูกชักออกมาแล้วสะท้อนกับแสงของดวงตะวัน “ก่อนหน้านี้พวกเราจับสายลับของแคว้นชิงเยว่ได้และพวกมันบอกว่าโรคระบาดแท้จริงก็คือการโดนพิษชนิดหนึ่ง”

“ตอนนั้นพวกมันแอบใส่บางอย่างลงในบ่อน้ำ นั่นก็คือยาพิษและแค่รอเวลาที่เหมาะสม จากนั้นจึงใส่ยากระตุ้นลงไปก็จักทำให้ผู้คนล้มป่วยมากมาย เกิดสถานการณ์คล้ายโรคระบาดจนทำให้เราคิดว่านั่นคือโรคระบาด”

อันหลิงเกอเม้มริมฝีปากจนแน่นและมิได้ตระหนักในคำพูดของมู่จวินฮานแม้แต่น้อย

นางมิรู้มาก่อนว่าโรคระบาดที่ทำให้ราษฎรต้าโจวล้มตายนับหมื่นในชาติที่แล้ว แท้จริงเป็นแผนการของแคว้นชิงเยว่ทั้งหมด !

เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามของมู่จวินฮาน นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจ “ใบสั่งยานี้มิใช่ข้าคิดค้นขึ้นมา ข้าบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”

ตอนแรกที่นางนำใบสั่งยาออกมาก็เอ่ยแล้วว่าพบเจอจากในตำราโบราณ

นางมิได้ต้องการสร้างชื่อเสียงจากเรื่องนี้ เพียงแต่ตอนนั้นด้วยสถานการณ์กระชั้นชิด นางจำเป็นต้องรีบนำใบสั่งยาออกมาเพราะมิรู้ว่าชาวฉู่โจวต้องล้มตายอีกสักเท่าไร

ส่วนเรื่องนำใบสั่งยาที่ผู้อื่นคิดค้นขึ้นมาใช้งานนั้น นางก็รู้สึกละอายใจอย่างมาก แต่เรื่องน่าตกตะลึงเยี่ยงการตายแล้วคืนชีพได้นั้น ต่อให้นางกล่าวออกมาคงมิมีผู้ใดเชื่ออยู่ดี

เมื่อเป็นเรื่องที่มิสามารถอธิบายได้ อันหลิงเกอจึงทำได้เพียงพยายามกล่าวความจริงออกมาให้มากที่สุด “ใบสั่งยานี้เป็นของหมอเทวดาที่รักสันโดษท่านหนึ่งคิดค้นขึ้นมา เพียงแต่เขามิสะดวกออกหน้าแล้วก็คิดว่าข้ามีความสามารถในการทำเรื่องนี้ได้จึงมอบใบสั่งยานี้ให้ข้าเจ้าค่ะ”

นางแอบขอโทษท่านหมอเทวดาที่คิดค้นใบสั่งยาในชาติก่อนแล้วคิดคำโกหกเพื่อตอบมู่จวินฮานไป

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นดวงตาสีดำสนิทของมู่จวินฮานก็จ้องไปที่ดวงตาของนาง อยากค้นหาความจริงบางอย่างจากอันหลิงเกอ แต่แววตาของนางมองเขาโดยมิหลบหลีก นัยน์ตาสีดำเป็นประกายไร้ความตื่นตระหนกให้เห็น

“เจ้ามิรู้หรอกว่ายามที่เจ้าพูดโกหก สายตาของเจ้าจักมั่นคงที่สุด” มู่จวินฮานละสายตาไปทางอื่นและถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

เขาก็มิอยากบีบบังคับนาง เพียงแต่รู้สึกมิชอบที่นางหลอกลวงตนก็เท่านั้น

“หากเจ้ามีเรื่องที่เอ่ยได้ยากก็บอกข้าตามตรงเถิด มิต้องปั้นคำโกหกหรอก”

อันหลิงเกอรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก มิรู้ว่าเหตุใดจมูกก็รู้สึกแสบขึ้นมา ในตาคล้ายเห็นหมอกหนาลอยอยู่ด้านหน้า

“หากความจริงเป็นเรื่องน่าขัน ท่านจักเชื่อหรือไม่ ? ”

นางเงยหน้ามองมู่จวินฮาน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันโดยมิรู้ตัว ท่าทางประหม่าเล็กน้อย ทว่าภายในอกกำลังตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างได้แล้ว