ตามกฎของรัฐเยี่ย เยี่ยจิ่งหานและกู้ชูหน่วนควรจะเข้าไปในวัง เพื่อคารวะพระพันปีในวันที่สองหลังจากงานอภิเษกสมรส ฝ่าบาททรงหวาดกลัวเทพแห่งสงครามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เพียงแต่กู้ชูหน่วนจะไม่ใช่สตรีอัปลักษณ์ แต่ยังเป็นสตรีที่มีความสามารถเป็นเลิศและงดงามจนร่ำลือไปทั่วทั้งเมือง ฝ่าบาททรงโกรธมาก และมีพระราชโองการว่าไม่ต้องให้พวกเขาเข้ามาในวังเพื่อคารวะ

กู้ชูหน่วนดีใจมากที่ไม่ต้องเข้าไปในวังเพื่อคารวะ

ในหอสุราของเมืองหลวง

กู้ชูหน่วนสวมชุดสีเหลืองอ่อนปนสีขาว นัยน์ตาของนางสดใส และใบหน้างดงาม ในเวลานี้นางกำลังนั่งอย่างเฉื่อยชาอยู่ที่หน้าต่าง

ผู้คนจำนวนไม่น้อยในหอสุราจ้องมองนางด้วยสายตาที่ตกตะลึง และต่างพูดคุยกันว่าผู้นี้เป็นใคร

ข้าง ๆ กู้ชูหน่วน ยังมีชายนั่งรถเข็นคนหนึ่ง เขาสวมหน้ากากผีและทำหน้าบูดบึ้ง

หน้ากากของชายผู้นั้นปิดบังใบหน้าเกือบทั้งหมด และไม่เห็นรูปลักษณ์หน้าตาของเขา เพียงแต่เขาแต่งกายด้วยชุดที่เนื้อผ้าดี ดูสง่างาม เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

ด้านข้างชายหนุ่ม ยังมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่อีกหนึ่งคน

“พวกเจ้ารู้แล้วหรือไม่ว่าเซี่ยวอวี่เซวียน บุตรชายคนสุดท้องของท่านแม่ทัพใหญ่กำลังจะแต่งงานกับกู้ชูอวิ๋นคุณหนูรองของจวนอัครเสนาบดีแล้ว”

“อะไรนะ……เป็นไปไม่ได้กระมัง บุตรชายคนสุดท้องของท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคนเสเพลไม่ใช่หรือ?ได้ยินมาว่าเขาไม่เก่งด้านการทหารและด้านวิชาการ เขามักจะไปเที่ยวเตร่ที่หอนางโลมในเมืองหลวง หากคุณหนูรองของจวนอัครเสนาบดีแต่งงานกับเขา จะไม่เป็นดอกไม้งามปักบนขี้วัวหรือ”

“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่ากู้ชูอวิ๋นคุณหนูรองของจวนอัครเสนาบดีมีความสามารถด้านวรรณกรรมและศิลปะสี่แขนง (กู่ฉิน หมากล้อม ลายสือศิลป์ จิตรกรรม) และได้ยินมาว่านางเป็นหญิงงามที่อ่อนโยนและมีคุณธรรม”

“คุณหนูรองตระกูลกู้แต่งงานกับกากเดนเช่นนั้นได้อย่างไร?”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ได้กำหนดวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เป็นวันแรกของเดือนหน้า เหลือเวลาอีกเพียงสิบวันเท่านั้น”

กู้ชูหน่วนหมุนมือถ้วยในมือและมองไปที่เยี่ยจิ่งหานอย่างมีเลศนัย “เซี่ยวอวี่เซวียนจะ แต่งงานกับกู้ชูอวิ๋นได้อย่างไร?เยี่ยจิ่งหาน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านใช่หรือไม่?”

นัยน์ตาของเยี่ยจิ่งหานลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เขาดื่มชาอย่างสง่างาม และไม่แปลกใจเกี่ยวกับการสนทนาของผู้คนในหอสุรา ราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยจิ่งหาน กู้ชูหน่วนก็เอะใจ

ชายผู้นี้ คงไม่ใช่เพราะนางใกล้ชิดกับเซี่ยวอวี่เซวียนมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงจงใจขัดขวาง และหาภรรยาให้เซี่ยวอวี่เซวียน?

ไม่ว่าจะหาภรรยาคนไหนก็ย่อมได้ แต่คนอย่างกู้ชูอวิ๋น นางไม่กล้าที่จะสรรเสริญเยินยอเลยจริง ๆ

หากจะพูดว่าดอกไม้งามปักบนขี้วัว ก็ไม่มากเกินไปแม้แต่น้อย เพียงแต่ดอกไม้งามปักบนขี้วัวไม่ใช่กู้ชูอวิ๋น แต่เป็นเซี่ยวอวี่เซวียน

“เยี่ยจิ่งหาน ท่านคิดจะทำอะไร?”

เยี่ยจิ่งหานมองไปที่พ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเดินทางไปค้าขายต่างถิ่นด้านนอกหน้าต่าง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“คุณหนูรองของจวนอัครเสนาบดีมีความสามารถเป็นเลิศ ท่านแม่ทัพอาวุโสพึงพอใจกับลูกสะใภ้ผู้นี้มาก จวนอัครเสนาบดีมีจวนแม่ทัพคอยหนุนหลัง ก็ยิ่งต้องพึงพอใจ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายล้วนพึงพอใจ จะแต่งงานกันแล้วอย่างไร”

“แต่เซี่ยวอวี่เซวียนไม่พอใจ” กู้ชูหน่วนวางถ้วยในมือลงและไม่สนใจอาหารอร่อยที่อยู่บนโต๊ะ นางลุกขึ้นและกำลังจะจากไป

อยู่แต่ในจวนน่าเบื่อหน่าย นางอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก

เยี่ยจิ่งหานจึงพานางออกมาด้วยตนเอง แม้ว่าจะพามาแค่ชิงเฟิง แต่ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ถูกจับตามอง ความรู้สึกเช่นนี้ค่อนข้างไม่ค่อยสบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเรื่องของเซี่ยวอวี่เซวียน

ชิงเฟิงขวางนางไว้ “ฮูหยิน ท่านเป็นภรรยาของนายท่าน เรื่องของคุณชายเซี่ยว ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน”

“ทำไม พวกท่านคิดจะกักบริเวณข้าหรือ?” กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะ นางมองไปที่ชิงเฟิงและเยี่ยจิ่งหานอย่างเย่อหยิ่ง

เมื่อคำว่ากักบริเวณออกมา ผู้คนโดยรอบต่างก็พากันจ้องมองไปพวกเขาด้วยความประหลาดใจ