บทที่ 280 ศัตรูตลอดกาลของหลี่อวี้ชุน
อาทิตย์สูงเหนือศีรษะ งานเลี้ยงค่อยๆ เข้าสู่ช่วงเวลาที่ดี หลังจากสวี่ชีอันคารวะก็ขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อออกจากงานเลี้ยง แล้วกลับไปยังห้องหนังสือเพื่อพิจารณาว่าจะเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ส่งสารของสำนักพุทธแดนประจิมได้อย่างไร
จงหลีนั่งอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยม ก้มหน้ากินอาหารคำเล็กๆ
จากการบ้านที่ทำในช่วงเวลานี้ เขาเข้าใจว่ากลุ่มผู้ส่งสารของสำนักพุทธแดนประจิมมีจุดประสงค์สองประการในการมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้
จุดประสงค์แรก แน่นอนว่าเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของคดีซังผอ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาเช่นกัน
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกลาหัวโล้นแค่จะทำความเข้าใจ หรือจะอยู่เมืองหลวงระยะยาวเพื่อค้นหาที่อยู่ของไต้ซือเสินซู…อาจต้องรอให้พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที” สวี่ชีอันตวัดพู่กันในมือ
จุดประสงค์รองน่าจะเป็นการยกทัพมาโจมตี
ความสัมพันธ์ของสำนักพุทธกับต้าฟ่งซับซ้อนยิ่ง ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจเป็นพันธมิตรแบบ mmp[1]
ตัวอย่างเช่น ยุทธการด่านซานไห่ในปีนั้น อาณาจักรพุทธแดนประจิมและต้าฟ่งเป็นสัมพันธมิตรกันและเป็นประเทศที่ได้รับชัยชนะ ซินเจียงตอนใต้และตอนเหนือเป็นประเทศที่พ่ายแพ้
ทว่าหลังจากประสบห้วงฝันของการฟื้นคืนจากความตายในครั้งนั้น สวี่ชีอันพบว่าการต่อสู้ซานไห่กวนนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่บันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ เพราะสำนักพ่อมดตะวันออกเฉียงเหนือก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
“อนารยชนซินเจียงตอนใต้และตอนเหนือ เผ่าพันธุ์ปีศาจตอนเหนือ และสำนักพ่อมดตะวันออกเฉียงเหนือ…หากพวกกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ฝ่ายที่เป็นฝั่งพ่ายแพ้จะมีมหาศาล กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังชาติของต้าฟ่งในปีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด สำนักพุทธแดนประจิมแข็งแกร่งแค่ไหน ความสามารถในการนำทัพต่อสู้ของเว่ยเยวียนแกร่งกล้าเท่าใด เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็พลันน่าสะพรึง”
ทว่าความสัมพันธ์ของสัมพันธมิตรนี้ไม่น่าเชื่อถือ สองทศวรรษที่ผ่านมานี้ซินเจียงตอนใต้และตอนเหนือล่วงล้ำชายแดนต้าฟ่งหลายครั้ง ราชสำนักขอความช่วยเหลือจากแดนตะวันตกหลายครา ทว่าสำนักพุทธก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ไม่ต้องเอ่ยถึงตอนเหนือ แค่เขตซินเจียงตอนใต้ปัจจุบันนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของสำนักพุทธกว่าครึ่งแล้ว ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของอาณาจักรหมื่นปีศาจในตอนนั้น
หากอาณาจักรพุทธคำนึงถึงมิตรภาพแห่งสัมพันธมิตรจริงๆ ส่งทหารไปขโมยก้อนผลึกโดยตรงก็พอแล้ว อนารยชนซินเจียงตอนใต้ยังจะกล้าบุกโจมตีชายแดนงั้นหรือ
แน่นอนว่าต้าฟ่งก็ไม่ได้ดีเด่อะไร สำนักอวิ๋นลู่ในปีนั้นเป็นผู้นำหนึ่งเดียวในการทำลายพุทธศาสนา ไม่นานมานี้ไต้ซือเสินซูก็พ้นทุกข์ ท่านโหราจารย์ตาลุงแก่นั่นก็แกล้งป่วยหน้าด้านๆ
“การยกทัพโจมตีไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเป็นแค่ฆ้องเงินผู้ต่ำต้อย ย่อมมีท่านทั้งหลายในท้องพระโรงและเจ้าชายแห่งราชสำนักและจักรพรรดิหยวนจิ่งหาเรื่องให้กลัดกลุ้มเองเป็นธรรมดา ข้าไม่รู้ว่าท่านโหราจารย์จะลงมือหรือไม่ เฒ่าเหรียญปากผีคงไม่ยุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการคดีซังผอ เป็นข้าเองที่ติดต่อกับภิกษุสำนักพุทธเสียส่วนใหญ่…เพื่อความปลอดภัย ควรไปพบท่านโหราจารย์สักหน่อยเถอะ นอกจากนั้นการมาเยือนของกลุ่มผู้ส่งสารในครั้งนี้เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส ตัวตนของไต้ซือเสินซู คนของสำนักพุทธกระจ่างแจ้งที่สุด ข้าใช้โอกาสนี้พูดเปรียบเปรยได้ ขุดข้อมูลที่มากกว่าเดิมออกมา เช่นนี้ก็เป็นการดีที่จะให้คำอธิบายกับไต้ซือเสินซู”
แผนการอันอาจหาญก่อตัวขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน
“จงหลี พวกเราไปกันเถอะ”
เขาเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที สวมหมวกขนมิงค์ แล้วออกจากจวนสกุลสวี่
ครั้นขึ้นขี่แม่ม้าน้อยที่ไม่มีวันสัญจรติดขัด ไม่นานนักก็มาถึงหอดูดาว เขาผูกแม่ม้าน้อยข้างแท่นบันได แล้วขึ้นตึกเคียงข้างไปกับจงหลี
เมื่อสิ้นสุดขั้นบันไดหินก็เข้าสู่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ภาพเลือนรางตรงหน้าปรากฏแผ่นหลังของโหรชุดขาวคนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลังดังกังวาน
“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา…”
“โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา” สวี่ชีอันชิงตอบ
หยางเชียนฮ่วนชะงักไปสักพักก่อนจะเอ่ยอีกครั้งอย่างสบายๆ “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา…”
“โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา” สวี่ชีอันชิงตอบอีกครั้ง แล้วเอ่ย “ศิษย์พี่หยาง พวกเราต้องไปพบท่านโหราจารย์ ท่านอย่าได้ขวางทาง”
หยางเชียนฮ่วนเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ย “ข้าก็มาเพื่อการนี้ ท่านอาจารย์ให้ข้ามาแจ้งเจ้า”
ท่านโหราจารย์รู้ว่าข้าจะมา? สวี่ชีอันพยักหน้าเอ่ย “เชิญกล่าว”
หยางเชียนฮ่วนกดปราณดิ่งลงสู่จุดตันเถียน “ไสหัวไป!”
…
สวี่ชีอันตบหูพลางปลดบังเหียนของแม่ม้าน้อยออก แล้วเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “พวกเจ้าสำนักโหราจารย์ก็ใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธได้หรือ หูข้าอื้อไปหมดแล้ว ทำอย่างไรดี หูจะหนวกหรือไม่”
เมื่อพูดจบเขาเห็นจงหลีทำภาษามืออย่างเงียบๆ ‘หูข้าหนวกแล้ว ข้าต้องกลับไปกินยา มิเช่นนั้นหูจะใช้การไม่ได้’
“…”
สวี่ชีอันชี้ไปที่หูแล้วชี้ไปที่ตนเอง หมายถึง ‘ข้าทำร้ายเจ้าหรือ’
จงหลีส่ายหน้าอย่างจำใจ ไม่อยากพล่ามไร้สาระกับสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันพยักหน้า ดูเหมือนว่านี่จะเป็นมหันตภัยสำหรับจงหลีอีกครั้ง แต่ตนกลับได้รับความเชื่อมโยงจากฝ่ายตรงข้าม
ท่านโหราจารย์ไม่พบข้า นี่แสดงให้เห็นว่าผลจากการปิดกั้นความลับของสวรรค์น่าจะพอรับมือกับภิกษุสมณศักดิ์สูงของสำนักพุทธได้… เมื่อได้รับคำตอบที่ตนต้องการ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
รออยู่ข้างล่างตึกพักหนึ่ง จงหลีที่กินยาเสร็จก็เดินกลับมา
“หูดีขึ้นหรือยัง”
จงหลีพยักหน้า “อืม”
ในไม่ช้า ทั้งสองคนมาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มุ่งตรงไปยังโถงจินอวี้ของหมิ่นซาน ฆ้องเงินหมิ่นร่างบึกบึนกำยำผู้มีรอยแผลเป็นข้างแก้มเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“โถงอี้เตาของเจ้าบูรณะเรียบร้อยแล้ว ยังจะมาที่นี่อีกด้วยเหตุใด”
โถงอี้เตาเป็น ‘ห้องทำงาน’ ของสวี่ชีอัน เขาเป็นคนตั้งชื่อเอง ซึ่งมีความหมายว่า ‘วีรบุรุษในใต้หล้า ผู้ใดจะขวางข้าได้ด้วยดาบเดียว’
“วันนี้เมืองหลวงมีเรื่องอะไรหรือไม่” สวี่ชีอันพลั้งปากถาม
“เจ้าก็ได้ข่าวงั้นหรือ”
หมิ่นซานพ่นลมหายใจ “กลุ่มผู้ส่งสารแดนประจิมมาเยือนแล้ว ได้ยินว่าในขบวนมีภิกษุสมณศักดิ์สูงบรรลุเต๋าอยู่ด้วย แสงพุทธทะยานขึ้นฟ้าภายในระยะสิบลี้ ทหารรักษาเมืองไม่น้อยก็เห็น หลังจากเข้าเมืองแล้ว ประชาชนต่างกู่ร้องเรียกภิกษุเกจิอย่างบ้าคลั่ง กล่าวได้ว่าฝีมือการปลุกปั่นประชาชน สำนักพุทธยังคงแข็งแกร่งที่สุด”
นี่คงจะเป็นความสามารถของปรมาจารย์ขั้นเจ็ด ข้าจำได้ว่าในข้อมูลของคลังเอกสารเคยบันทึกไว้ว่า ปรมาจารย์ขั้นเจ็ดได้เปิดแท่นบูชาเทศนาธรรม ประชาชนได้ยิน รู้แจ้งเห็นจริง กรูกันเข้าสู่ประตูแห่งธรรม…สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นฉงน
“กลุ่มผู้ส่งสารของสำนักพุทธมาทำอะไรที่เมืองหลวงกัน”
“ใครจะรู้ล่ะ”
หมิ่นซานไม่รู้ว่าสิ่งที่ผนึกในคดีซังผอแท้จริงแล้วคือไต้ซือเสินซูจากสำนักพุทธ ยิ่งไม่รู้ส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้น
…
เรือขนส่งค่อยๆ เทียบท่า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนับสิบนายยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือใบสามเสา
ฆ้องทองคำหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงนำกลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกจากเรือ กลุ่มคนทอดสายตามองเมืองหลวงที่จากมานาน ในใจตื่นเต้นเหลือเกิน
โดยเฉพาะเจียงลวี่จงและผู้ตรวจการจางผู้นำขบวนออกจากเมืองหลวงนานกว่าสองเดือน พวกเขาออกจากเมืองหลวงช่วงกลางฤดูหนาว เมื่อกลับมาอีกที กิ่งต้นหลิวก็แตกหน่อ สรรพสิ่งถือกำเนิดใหม่แล้ว
หลี่อวี้ชุนโบกมือเรียกซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว แล้วเอ่ยเสียงขรึม “หลังรายงานเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราไปไหว้หนิงเยี่ยนกันเสียหน่อย”
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
หลังจากการเสียชีวิตของสวี่หนิงเยี่ยน ผ่านไปเดือนกว่า ความโศกเศร้าที่โหมกระหน่ำดุจกระแสน้ำในตอนนั้นก็ฝังแน่นอยู่ในใจจวบจนทุกวันนี้ กลายเป็นสหายร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาจะจารึกในความทรงจำตลอดไป
หลายปีต่อมา เมื่อหวนนึกถึงชายหนุ่มที่เริงร่าไร้สาระผู้นั้น บางครั้งในใจยังโศกเศร้าเสียใจอยู่เล็กน้อย
หยางเยี่ยนที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่น้ำเสียงกลับทุ้มเบายิ่ง “ข้าก็จะไปเช่นกัน”
ผู้ตรวจการจางทอดถอนใจ “ข้าต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท จึงไม่ได้ไปกับพวกเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะพาภรรยาและลูกไปไหว้เอง”
เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ พรุ่งนี้เจียดเวลาไปไหว้หลุมศพสวี่หนิงเยี่ยนไม่ได้แน่ๆ
ชายผู้นี้ลอยล่องอยู่บนน้ำตลอดตั้งแต่ชิงโจว ย่อมไม่ได้รับสารจากราชสำนัก จึงไม่ทราบเรื่องที่สวี่ชีอันฟื้นคืนชีพ
ทว่าสวี่ชีอันไม่เพียงแต่ฟื้นคืนชีพ แต่ยังคลี่คลายคดีฆาตกรรมในพระราชวังอีกด้วย
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
…
ทางด้านสวี่ชีอันก็พาจงหลีออกจากโถงจินอวี้ กำลังจะไปชมห้องของตน ขณะที่จงหลีกำลังเดินอยู่นั้นก็พลันพบว่าสวี่ชีอันหยุดฝีเท้าลง
นางเหลือบมองสวี่ชีอัน จากนั้นมองทางเข้าที่ทำการปกครองตามสายของเขา มีกลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามธรณีประตูอยู่ตรงนั้น…ล้วนชะงักอยู่ตรงนั้นทั้งสิ้น ราวกับรูปปั้นหิน
“คนผู้นี้คือใคร ทำไมช่างคล้ายคลึงกับสวี่หนิงเยี่ยนเช่นนี้…”
“ที่ทำการปกครองของพวกเรามีฆ้องเงินผู้นี้ด้วยหรือ…”
“สงสัยตาฝาดแล้ว เหมือนข้าเห็นสวี่หนิงเยี่ยนเลย ไม่สิ สวี่หนิงเยี่ยนหล่อเหลาเช่นนี้ที่ไหนกัน…”
“พี่น้องกันหรือ แต่สวี่หนิงเยี่ยนไม่มีพี่น้องนี่…”
แต่ละคำถามปรากฏขึ้นในหัวของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่กลับมาจากแดนใต้
กลัวที่สุดเมื่อจู่ๆ บรรยากาศก็พลันเงียบ กลัวที่สุดเมื่อหวนรำลึกแล้วจิตใจพลันถาโถมจนเจ็บปวด กลัวที่สุดเมื่อจู่ๆ ก็เห็นร่างของเจ้า[2]…สวี่ชีอันรู้สึกว่าเนื้อเพลงท่อนนี้เข้ากับอารมณ์ของพวกเขาในตอนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาอึดอัดใจแต่ก็ยิ้มเพื่อไม่ให้เสียมารยาท “สวัสดีทุกคน ข้าชื่อสวี่ชีอัน”
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีสักวันที่ได้หวนกลับมาพบกัน ทว่าในความคิดของสวี่ชีอัน วิธีการเปิดบทสนทนาที่ถูกต้องควรเป็นเช่นนี้
หลังจากหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ กลับเมืองหลวง แล้วรับรู้ข่าวการฟื้นคืนจากความตายของตนจากสหายร่วมงานที่ทำการปกครอง ก็จะตื่นตระหนกระคนดีใจอย่างหาใดเปรียบ จากนั้นพวกหมาป่าที่หลุดจากโซ่ล่ามแต่ละคนจะระเห็จเข้ามากอดรัดเขาพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟาย
การกลับมาพบกันที่น่าอึดอัดเช่นนี้ เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน
จงหลีนำพาเคราะห์ร้ายมาให้ข้าแน่ๆ
หลี่อวี้ชุนจ้องสวี่ชีอันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้กำลังทั้งหมดที่มีเอื้อนเอ่ยอย่างสั่นเครือ “เจ้า…เจ้าคือสวี่หนิงเยี่ยนงั้นหรือ”
คนอื่นต่างไม่ปริปาก จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ กลั้นลมหายใจไว้
“ข้าเอง ข้ายังไม่ตาย” สวี่ชีอันหัวเราะ
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ทางด้านนั้นก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่ซ่งถิงเฟิงจะพลันกู่ร้องและวิ่งกระโจนเข้าใส่อ้อมอกของสวี่ชีอันกอดรัดอย่างบ้าคลั่ง
“ทำไมเจ้ายังอยู่ล่ะ เห็นชัดๆ ว่าเจ้าตายไปแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดหน้าตาถึงได้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ เจ้าฟื้นคืนชีพได้อย่างไร บอกพวกเรามาหน่อย”
“ยังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ…ยังร้อนๆ อยู่”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างห้อมล้อมสวี่ชีอัน เจ้าถามคำข้าตอบคำด้วยความตื่นเต้นอย่างเปี่ยมล้น
“เรื่องนี้ไว้วันหลังจะอธิบายให้ฟัง…”
สวี่ชีอันผลักซ่งถิงเฟิงและคนอื่นๆ ออก แล้วหัวเราะร่า ชี้เครื่องหมายฆ้องเงินบนอกของตนด้วยรอยยิ้ม หันไปเอ่ยกับหลี่อวี้ชุน “หัวหน้า ข้ากลายเป็นฆ้องเงินแล้ว”
หลี่อวี้ชุนสองมือไพล่หลัง แสร้งทำเป็นสุขุม พยักหน้าพร้อมเอ่ย “ดีมาก ไม่เสียแรงที่ข้าอุปถัมภ์อย่างยากลำบาก”
สวี่ชีอันกวักมือเรียก “จงหลี มานี่ จะแนะนำหัวหน้าของข้าให้รู้จัก”
หลี่อวี้ชุนจึงได้เห็นจงหลี…
ผมแห้งกรอบชี้ฟู เสื้อคลุมยาวตัดเย็บจากผ้าหยาบเต็มไปด้วยรอยยับ รองเท้าลายปักที่ไม่ได้ซักมานาน มองไม่เห็นใบหน้า…หลี่อวี้ชุนรู้สึกราวกับมีงูอันเย็นเยือกเลื้อยผ่านหลังเขาไป ขนลุกทุกกระเบียดนิ้ว
เขาเผยท่าทางหวาดกลัว ก้าวถอยหลังไม่หยุด ชี้ไปที่จงหลีพร้อมแผดเสียง
“นี่เป็นหญิงสาวบ้านไหนกัน นี่เป็นหญิงสาวบ้านไหนกัน!”
“จงหลี เจ้าล่วงหน้าไปโถงอี้เตาของข้าก่อน แค่เลี้ยวขวาข้างหน้าไป” สวี่ชีอันรีบส่งศิษย์พี่หญิงห้าอย่างรวดเร็ว
“โอ้!”
จงหลีก้มศีรษะลงและเดินจากไปอย่างน้อยใจ
หลี่อวี้ชุนราวกับยกอกออกจากภูเขา ขนแขนที่ลุกชันค่อยๆ หายไป
ต่อไปสวี่ชีอันก็อธิบายกับทุกคนอย่างละเอียดว่าตนฟื้นจากความตายได้อย่างไร
“ยาคืนชีพ ยาคืนชีพที่ช่วยสลัดร่างเก่าและรับร่างใหม่หรือ ได้ยินว่าเมื่อก่อนฝ่าบาทก็เคยขอจากท่านโหราจารย์มาก่อน แต่ท่านโหราจารย์ไม่ให้…ฉู่ไฉ่เวยเป็นสหายคนสนิทของเจ้าใช่หรือไม่” เจียงลวี่จงจิ๊ปากพลางทอดถอนใจ
หลังจากฟังเขาอธิบาย หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบางคนที่ไม่รู้จักยาคืนชีพจึงพลันกระจ่างในทันใด
เมื่ออารมณ์ของสหายร่วมงานค่อยๆ สงบลง สวี่ชีอันก็โอบไหล่ของซ่งถิงเฟิงพร้อมเอ่ย “ตอนค่ำไปหาความสุขที่สำนักสังคีตกัน”
ใครจะรู้ว่าซ่งถิงเฟิงจะส่ายหัวพร้อมเอ่ย “ข้าจะไม่ไปสำนักสังคีตอีกแล้ว”
เขาเหลือบมองสวี่ชีอันพร้อมเอ่ยวาทะที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม “ข้าไม่ใช่ข้าคนเดิมแล้ว ซ่งถิงเฟิงในตอนนี้จะเป็นคนที่มุ่งมั่นแสวงหาความก้าวหน้าและมุมานะฝึกฝน หนิงเยี่ยน เจ้าเปลี่ยนไป ข้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เจ้ามิอาจมองข้าด้วยสายตาแบบเดิมได้”
สวี่ชีอันจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ ในหนึ่งเดือนหลังจากที่เขาเสียชีวิต ซ่งถิงเฟิงสุขุมและทรหดหนักแน่นขึ้นมากนัก
หลี่อวี้ชุนเปิดปากชม “ถิงเฟิงพูดถูก การเดินทางไปอวิ๋นโจวรอบนี้ เจ้าเปลี่ยนไปมากที่สุด ข้าปลื้มใจนัก”
ซ่งถิงเฟิงหัวเราะอย่างสุขุม
สวี่ชีอันปรบมือ มองไปรอบๆ ฝูงชนพร้อมเอ่ย “หลังจากทุกคนรายงานแล้ว คืนนี้ไปดื่มสุราที่สำนักสังคีตด้วยกันเถอะ ข้าเลี้ยงเอง”
พูดจบสวี่ชีอันก็โอบไหล่ของจูกว่างเสี้ยวพร้อมเอ่ย “ข้ายังติดหนี้เจ้าที่สำนักสังคีตอยู่ห้าครั้ง เคยลงชื่อเป็นหลักฐานไว้”
สหายร่วมงานต่างยินดี
ซ่งถิงเฟิงกลืนน้ำลาย “หนิงเยี่ยน หลักฐานชื่อข้าก็มีข้าเช่นกันนะ…คืนนี้ข้าก็จะไปดื่มสุราที่สำนักสังคีตเช่นกัน”
“เจ้าไปไม่ได้”
สวี่ชีอันสีหน้าจริงจัง แล้วเอ่ยวาทะที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม “เจ้าไม่ใช่ซ่งถิงเฟิงคนเดิมแล้วนี่ ไม่แยแสต่อเรื่องดื่มสุราหาความสำราญอีกต่อไป เจ้าคือซ่งถิงเฟิงที่มุ่งมั่นแสวงหาความก้าวหน้า”
…
ฐานที่ตั้งของกลุ่มผู้ส่งสารสำนักพุทธคือจุดพักเปลี่ยนม้าซานหยางของแดนประจิม ซึ่งเป็นจุดพักเปลี่ยนม้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชั้นนอก มีสองเรือนรับรอง ต้นหลิวเก่าแก่กว่าร้อยปีสามต้นปลูกอยู่ในลาน จึงได้ชื่อนี้มา
ทหารส่งสารของจุดพักเปลี่ยนม้าเดินออกมาจากประตูใหญ่ มองซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปในตรอกเล็กๆ อย่างเงียบเชียบ
ในตรอกมีชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยืนอยู่ เขาใช้มือข้างหนึ่งกดมีด หลังพิงกำแพง ถือเศษเงินรออยู่นาน
“ใต้เท้า นี่คือรายชื่อของกลุ่มส่งสารแดนประจิมในครั้งนี้ นามภิกษุของปรมาจารย์ผู้นำกลุ่มคือ ตู้เอ้อร์”
ทหารส่งสารยื่นเอกสาร สายตากวาดมองที่เศษเงินพร้อมเอ่ย “ปรมาจารย์ตู้เอ้อร์เพิ่งถูกเรียกเข้าวัง ไม่ได้อยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้า”
“ทำดีมาก”
สวี่ชีอันดีดปลายนิ้ว เศษเงินเหวี่ยงออกเป็นเส้นโค้ง ทหารส่งสารรับได้อย่างแม่นยำพร้อมเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ขอบคุณใต้เท้า”
หลังจากไล่ทหารส่งสารไป สวี่ชีอันก็ถอดเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบจีวรจากในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาสวมใส่
เขาลูบผมสั้นเกรียนของตน ในใจเดือดดาลยิ่ง แต่แล้วก็เอ่ยปลอบใจตนเองว่าประเดี๋ยวก็ยาว
หลังจากนั้นไม่นาน ภิกษุรูปงามสมชายชาตรีก็เดินออกมาจากตรอกเล็ก จีวรโบกสะบัด
เมื่อมาถึงประตูทางเข้าจุดพักเปลี่ยนม้า คนเฝ้าประตูไม่ใช่ทหารส่งสาร แต่เป็นภิกษุหนุ่มสองรูป
“ศิษย์พี่ผู้นี้มีนามว่าอะไร”
ภิกษุหนุ่มสองรูปเดินเข้ามาขวางทางเอาไว้
สวี่ชีอันพนมมือท่องนามภิกษุ “อมิตาพุทธ อาตมาเหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว เมื่อทราบว่านิกายร่วมสำนักมาจากแดนประจิม จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน”
เหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว…ภิกษุหนุ่มทั้งสองนั้นก็ใช่ว่าจะตบตาได้ จ้องมองสวี่ชีอันพร้อมเอ่ย “ศิษย์พี่เหิงหย่วนไม่เคยรักษาศีลหรือ”
“สิ่งที่อาตมาบำเพ็ญคือจอมยุทธ์ภิกษุ” สีหน้าของสวี่ชีอันแสดงออกราว ‘ถูกครอบครัวล่วงรู้ความลับของตน’
ภิกษุสองรูปไม่ได้สงสัยสิ่งใดอีก น้ำเสียงเกรงใจขึ้นในทันใด “ศิษย์พี่เหิงหย่วน เชิญด้านใน!”
……………………………………………
[1] mmp เป็นอักษรย่อของแสลงจีน ย่อมาจากคำว่า 妈卖批 ซึ่งเป็นคำด่าของคนจีน
[2] เป็นท่อนหนึ่งของเพลง《突然好想你》