บทที่ 140 การโต้กลับของเฉินซี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 140 การโต้กลับของเฉินซี

บทที่ 140 การโต้กลับของเฉินซี

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” ซูเจียวยิ้มบาง ๆ ขณะที่นางมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาราวกับว่านางกำลังจ้องมองไปที่คนตาย “งานเทียบอันดับมังกรซ่อนนั้นถูกจัดร่วมกันโดยตระกูลซูของข้าและกองกำลังอื่น ๆ หากตระกูลซูของข้าต้องการฆ่าใครสักคนที่นี่ ใครจะสามารถหนีได้”

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลซูของเจ้าจะน่ารังเกียจและไร้ยางอายขนาดนี้” เฟยเหลิ่งชุ่ยกล่าวด้วยความเกลียดชัง งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรม แต่ตระกูลซูกลับใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อดัดแปลงแผ่นยันต์เคลื่อนย้ายอย่างไร้ยางอาย การกระทำเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้อื่นโกรธเคืองได้อย่างไร

“อย่าได้กล่าวอีกเลย การจะจัดการกับคนเช่นนี้มีเพียงคำเดียวเท่านั้น ฆ่า!” เฉินซีกับตระกูลซูเป็นศัตรูที่ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ ในตอนนี้ ตระกูลซูได้วางแผนด้วยเล่ห์กล จนทำให้ตัวเขาเองและเฉินฮ่าวหมดสิ้นหนทางหนีและทำให้เขาโกรธอย่างสุดขีด!

ไม่มีความคิดอื่นใดอยู่ในใจของเขา และเขาก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก วันนี้เขาจะเข่นฆ่าสมาชิกของตระกูลซูทั้งหมด และด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถระบายความเกลียดชังในใจออกไปได้!

“สหายเต๋าเฉินซี การโจมตีก่อนหน้านี้ได้กลืนกินปราณแท้ของข้าไปแทบหมดสิ้น ข้าเกรงว่าจะไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป” เฟยเหลิ่งชุ่ยกล่าวด้วยท่าทางสลดใจ

คนอื่น ๆ พยักหน้าเช่นกันเมื่อเห็นสิ่งนี้ ก่อนที่เฉินซีจะมาถึง พวกเขาถูกรุมล้อมภายใต้การปิดล้อมของศิษย์ตระกูลซู และการโจมตีก่อนหน้านี้ก็ได้เผาผลาญพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาไปจนสิ้น ดังนั้นในตอนนี้ พวกเขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อสู้อีกต่อไป…

เมื่อกลายเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงได้เตรียมที่จะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายเพื่อออกจากเจดีย์ เพราะสถานการณ์ตรงหน้าพวกเขาไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และพวกเขาก็ไม่มีพลังพอที่จะช่วยเหลือตัวเองจากสถานการณ์เช่นนี้

“ท่านพี่ ข้ายังสู้ได้อยู่” เฉินฮ่าวกล่าวเสียงลอดไรฟัน แต่สีหน้าของเขายังซีดเซียวมาก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังฝืนตัวเอง

เฉินซีกล่าวด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง “พวกเจ้าทุกคนอยู่ข้างหลังเถอะ ปล่อยให้ข้าจัดการคนเดียว!”

“เจ้าคนเดียวหรือ? ฮ่า ๆ เจ้าช่างจองหองจริง ๆ!”

“เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นี้ฟั่นเฟือนไปแล้ว? หรือมีอะไรผิดปกติกับสมองของเขา?”

“ข้าคิดว่ามันคงตระหนักได้แล้วว่า ตัวเองไม่มีโอกาสรอด ดังนั้นจึงรนหาที่ตาย”

ศิษย์ตระกูลซูที่อยู่รายรอบต่างก็ส่งเสียงเย้ยหยัน เท่าที่พวกเขากังวล ความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ค่ายกลกระบี่ของเฉินซีถูกพวกเขาสะกดอย่างสมบูรณ์ หากชายหนุ่มต้องสู้ตามลำพัง จะต่างการอะไรกับรนหาที่ตาย?

ไม่ใช่แค่ศิษย์ของตระกูลซู แม้แต่เฟยเหลิ่งชุ่ยและคนอื่น ๆ ก็กังวลและสงสัยเช่นกัน นั่นคือค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลซู ซึ่งมีพลังที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นเฉินซีจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ หรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นอย่างที่ศิษย์ของตระกูลซูกล่าวจริง ๆ เฉินซีรู้ดีว่าไม่มีโอกาสที่จะรอดพ้น ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะตาย

“ท่านพี่…” เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้น

เฉินซีหัวเราะขัดจังหวะขึ้นมา “เจ้าคงไม่รู้ว่าพี่ชายของเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนสินะ วันนี้จงคอยดูให้ดี การจะเอาชนะข้านั้นไม่ง่ายดายหรอกนะ”

ทันทีที่เฉินซีกล่าว ร่างกายของเขาโผทะยานขณะที่ใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานและหายไปจากจุดนั้นพร้อมกับเสียง ‘ฟิ้ว’ เพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้กลายเป็นเงาร่างนับไม่ถ้วนที่แวบไปแวบมาในบริเวณโดยรอบ ราวกับสายลมที่ถูกกักขังอยู่ในเรือนจำและกำลังหาช่องว่างเพื่อที่จะหลบหนีออกไป

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สองได้ก่อตัวขึ้นจากกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งหกสิบสี่เล่มและพุ่งเข้าหาซูเจียวด้วยอานุภาพอันน่าหวาดหวั่น

“หึ กระบวนท่านี้อีกแล้วหรือ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะหมดลูกเล่นแล้วสินะ” ซูเจียวหัวเราะอย่างดูแคลน ก่อนที่จะดีดนิ้วเพื่อซัดคุกหมากล้อมสามพันเชือดออกมา ทำลายการโจมตีของเฉินซีโดยตรง

อันที่จริงแล้ว พลังของค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นที่สองนั้นทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่การโจมตีของคุกหมากล้อมสามพันเชือดนั้นได้ผสานพลังของศิษย์ตระกูลซูทั้ง 108 คน และเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้ง 108 คนที่เปิดการโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน ดังนั้น การโจมตีเพียงครั้งเดียวของมันก็เกินกว่าที่เฉินซีจะต้านทานได้

เมื่อพวกเขาเห็นการโจมตีของเฉินซีถูกสกัดกั้น การแสดงออกของเฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย และคนอื่น ๆ ก็ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินฮ่าว เขาเม้มริมฝีปากแน่นและได้ตัดสินใจแล้วว่า หากเฉินซี กำลังพบกับอันตราย เขาจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชายหนุ่ม

“พละกำลังของมันอ่อนแอลงแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะใช้ค่ายกลกระบี่แบบนี้ได้เพียงอีกไม่กี่ครั้งเท่านั้น” ซูเจียวมองไปยังเฉินซีที่กำลังทะยานอย่างไม่ลดละ จากนั้นนางก็กล่าวอย่างไม่เร่งรีบว่า “หากข้าจำไม่ผิด ปราณแท้ของเจ้าน่าจะใกล้จะเหือดแห้ง เจ้าไม่ควรเสียแรงเพื่อพยายามหลบหนี มันไร้ประโยชน์ ดังนั้น ตอนนี้จงตายซะ! ผนึกสายธารแห่งขุนเขา!”

ชุดสีดำของซูเจียวปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าของนางเย็นชายิ่งขณะที่สะบัดออกไป จนเกิดปราณรูปฝ่ามือมากมายที่รวมตัวกันเป็นกำปั้นก่อนที่นางจะลงมืออย่างดุเดือด!

ตู้ม!

โซ่หนานับพันเส้นที่อาบไปด้วยแสงสีดำปรากฏขึ้นในอากาศทันที พวกมันเสมือนมังกรดำขนาดมหึมานับพันตัวที่แทรกตัวเข้าไปยังรอบกายของเฉินซีและพวกมันก็พุ่งไปมา ก่อนที่จะกระชับเข้าหาจุดศูนย์กลางอย่างดุเดือด!

เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่ามีแรงกดดันอันไร้ขอบเขตกดทับลงมาจากทุกทิศทาง จนบีบเขาให้ร่างกายของเขาเปล่งเสียงแตกหัก ลมหายใจของเขาถี่ขึ้น พลังชีวิตและเลือดไหลเวียนปั่นป่วน เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปน ทำให้เขาดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ในสายตาของคนอื่น ๆ เฉินซีเป็นเหมือนอาชญากรที่ถูกจองจำด้วยโซ่นับพัน ไม่ต้องกล่าวถึงการหลบหนี แม้แต่การดิ้นรนเพียงเล็กน้อยก็ยากเย็นแสนเข็ญ และกลายเป็นลูกแกะที่รอการถูกฆ่าอยู่ที่ประตูแห่งความตาย

“บัดซบ! เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป!” สีหน้าของเฟยเหลิ่งชุ่ยกลายเป็นเคร่งขรึมขณะที่นางร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากความกลัวของนาง

“ท่านพี่!” เฉินฮ่าวร้องออกมาอย่างเศร้าสร้อย และตั้งใจที่จะพุ่งไปข้างหน้า แต่กลับถูกหยุดโดยศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแทน

“หากเจ้าไป ก็จะทิ้งชีวิตเช่นเดียวกัน ถ้าไม่อยากทำให้พี่ชายของเจ้าต้องตายอย่างเปล่าประโยชน์ ดังนั้น จงรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเสียก่อน” เฟยเหลิ่งชุ่ยหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่นางกล่าวช้า ๆ ว่า “เพราะข้ามีความรู้สึกอยู่เสมอว่าสหายเต๋าเฉินซี ไม่เหมือนคนที่ต้องการแสวงหาความตาย”

เมื่อศิษย์ของตระกูลซูที่อยู่โดยรอบเห็นว่าผลลัพธ์นั้นเป็นที่แน่นอนแล้ว พวกมันหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ข้ารู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้กำลังรนหาความตาย ฮึ่ม! ‘คุกหมากล้อมผนึกสายธารแห่งขุนเขา’ ได้กลืนกินปราณแท้ของเราไปเจ็ดส่วน ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ยังถูกจองจำจนตาย เห็นได้ชัดว่าการใช้มันกับเจ้าเด็กคนนี้เป็นการสิ้นเปลือง”

“ใช่ เจ้าเด็กคนนี้มันอ่อนแอเกินไป มันกำลังคิดที่จะต่อต้านพวกเราทุกคนด้วยตัวคนเดียว เจ้าเด็กคนนี้มันเสียสติอยู่หรือเปล่า?”

“หืม? ยังคิดจะต่อต้านอยู่อีกหรือ? หากเป็นผู้อื่น คนผู้นั้นคงถูกบีบจนตายด้วยพลังของการโจมตีนี้ไปนานแล้ว แต่เจ้าคนนี้กลับยังมีชีวิตอยู่ เขาช่างดื้อรั้นจริง ๆ”

ซูเจียวก็สังเกตเห็นเช่นกัน เฉินซีสามารถทนต่อแรงกดดันจากการจองจำด้วยโซ่นับพันเส้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์พลิกผันเนื่องจากล่าช้าเกินควร นางจึงฟาดฝ่ามือออกในทันที “ตอนนี้มันได้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมดแล้ว ซูถง พวกเจ้าสามคนไปฆ่ามันแล้วเอาศีรษะกลับมาซะ ข้าต้องการนำหัวของมันกลับไปที่ศาลาบรรพชนของตระกูลซู เพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณของผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตระกูลซูข้า!”

“รับทราบ!” กลุ่มของซูถงก้าวออกมาถึงหน้าของเฉินซี และขณะที่พวกเขามองไปที่เฉินซีที่ถูกล่ามโซ่โดยพันธนาการด้วยแสงสีดำมากมาย พวกเขาทั้งสามหัวเราะด้วยท่าทางอำมหิต

“เฉินซี ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้สมบัติจากที่พำนักเซียนกระบี่มามากมาย หลังจากเจ้าตายไปแล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลซูของข้าแทน ฮ่า ๆ!” ซูถงหัวเราะอย่างชั่วร้าย และขณะที่เขากล่าว เขาก็ยกกระบี่บินขึ้นเพื่อหมายจะตัดศีรษะของเฉินซี

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็เห็นว่าแววตาของเฉินซีไม่เพียงแต่ไม่มีความสิ้นหวังและความโกรธก่อนที่จะตายเท่านั้น แต่กลับมีร่องรอยของการเยาะเย้ยฉายอยู่ภายในแทน…

“ตายซะ!” เสียงที่เย็นชาและไม่แยแสดังขึ้น

ทันใดนั้น เฉินซีผู้ดูเหมือนกำลังสิ้นหวังและอ่อนแอในสายตาของทุกคนก็ลุกขึ้นยืน กลิ่นอายอันเก่าแก่ อ้างว้างและน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ขอบเขตทะลักออกมาจากร่างกายของเขา

เคร้ง! เคร้ง!

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน โซ่จำนวนมากที่จองจำเขาไว้ก็ขาดสะบั้นและพังทลายลงทันทีราวกับเป็นกระดาษ!

ในขณะนี้ อากาศรอบตัวของเฉินซีพลันส่งเสียงระเบิดดังสนั่น เนื่องจากกระแสปราณที่เก่าแก่และอ้างว้างทั้งสองสาย ที่มีสีเหลืองและสีเขียวตามลำดับกำลังบิดรอบตัวเขาเสมือนมังกรสองตัว ส่งเสียงดังกึกก้อง ราวกับเสียงคำรามของมังกรจนสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า และทำให้เขาดูเหมือนเทพอสูรในยุคบรรพกาล

บัดซบ!

ซูถงรู้สึกตกตะลึงและเขากำลังจะจากไป ทันใดนั้น กำปั้นขนาดมหึมาได้พุ่งมาที่เบื้องหน้าเขาอย่างกะทันหัน และกระแสลมที่ไหลออกมาจากมันทำให้เขาได้กลิ่นแห่งความตายอันรุนแรง

ปัง! ปัง! ปัง!

ไม่ใช่แค่ซูถงเท่านั้น เกือบจะในทันทีทันใด แม้แต่ศิษย์อีกสองคนที่มาพร้อมกับซูถง ศีรษะของพวกมันก็ถูกระเบิดเป็นหมอกเลือดกระเซ็นไปในอากาศ จากการถูกชกด้วยกำปั้นที่เฉินซีควบแน่นจากปราณจ้าววิญญาณ

เหตุการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เฉินซีปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวน จนถึงการบดขยี้กลุ่มสามคนของซูถง มันเกือบจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน เพียงชั่วพริบตาทุกคนก็ได้เห็นศพไร้ศีรษะของพวกซูถงที่โงนเงนก่อนจะล้มลงกองกับพื้น

เฟยเหลิ่งชุ่ยพึมพำอย่างเหม่อลอย “ทักษะขัดเกลากายาเทพนี่คือไพ่ตายของเขา…”

“ช่างทรงพลัง!”

“ศิษย์น้องเฉินฮ่าว พี่ชายของเจ้าทรงพลังเหลือเกิน!”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”

ศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรอีกหกคนอุทานด้วยความตกใจเช่นกัน

“พี่ชายของข้าทรงพลังเสมอ!” เฉินฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาแดงไปหมด

ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของซูเจียวหรี่ลง สีหน้าอันพึงพอใจ ผ่อนคลาย และดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าของนางได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และสีหน้าของนางก็เย็นชาจนสุดขั้ว ‘บัดซบ! ข้าถูกหลอก! มันเป็นผู้บ่มเพาะวิชาขัดเกลากายาเทพ!’

ปัง! ปัง! ปัง!

ทันทีที่เฉินซีสังหารพวกซูถง ก่อนที่ผู้คนโดยรอบจะหายจากอาการตกตะลึง ร่างของเขาไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อยขณะที่เขาพุ่งเข้าใส่กลุ่มศิษย์ของตระกูลซู ราวกับพยัคฆ์ดุร้ายที่หลุดจากพันธนาการของมัน และกลายเป็นหมาป่าที่อยู่ในฝูงแกะ ทุกหมัดที่เขาซัดออกมาจะระเบิดหัวของพวกมัน เพียงชั่วพริบตา เขาได้ฆ่าศิษย์ของตระกูลซูไปกว่าสิบคน ท่าทางที่สง่าผ่าเผยของเขานั้นดุร้ายขณะที่มุ่งไปข้างหน้าโดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง

“ป้องกันบริเวณโดยรอบ ก่อค่ายกลซะ!” ซูเจียวตะโกนอย่างเดือดดาลราวกับระเบิด

เฉินซีฉวยโอกาสนี้เพื่อเปิดช่องว่างในค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีด้วยความยากลำบาก เขาจะปล่อยให้พวกมันก่อค่ายกลอีกครั้งได้อย่างไร? ร่างของเขาสว่างวาบออกมาทันทีราวกับปลาไหลขนาดใหญ่ที่เจาะเข้าไปในฝูงปลาซาร์ดีน และทะยานไปมาขณะไล่ฆ่าศิษย์ของตระกูลซู ทำให้โลกทั้งใบของพวกมันกลับหัวกลับหาง เนื่องจากถูกขยี้ศีรษะอย่างไม่รู้ตัว และทำให้พวกที่เหลือตกในความระส่ำระสายโดยสมบูรณ์

ศิษย์ของตระกูลซูบางคนหวาดกลัวจนตัวสั่นต่อวิธีที่เฉินซีสู้ราวกับว่าเขากำลังหั่นแตงโมและกะหล่ำปลีมาตั้งนานแล้ว ดังนั้น ก่อนที่เฉินซีจะเข้ามาใกล้ พวกมันก็รีบชิงขยี้ยันต์เคลื่อนย้ายและหนีออกจากเจดีย์ไป

แต่ศิษย์ตระกูลซูส่วนใหญ่ยังคงได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และหลังจากที่พวกมันได้ยินเสียงตะโกนของซูเจียว พวกมันก็หันไปหานางในทันที

ค่ายกลคุกหมากล้อมไตรวารีที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากผู้คนมากกว่า หกสิบคน ใกล้จะก่อตัวเสร็จในไม่ช้า!

เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ หัวใจของเฟยเหลิ่งชุ่ย เฉินฮ่าวและคนอื่น ๆ ก็พองโตขึ้น ในขณะที่ซูเจียวแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อนางเห็นว่าศิษย์ของตระกูลซูอีกสามสิบหรือสี่สิบคนตายอยู่บนอย่างน่าอนาถ นางก็ไม่อาจมีความสุขได้เลยแม้แต่น้อย สีหน้าของนางดูเคร่งขรึมและเย็นยะเยือกถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม เฉินซีจะไม่เปิดโอกาสให้นางในการก่อค่ายกลขนาดใหญ่ ด้วยคำสั่งในใจของเขา ฝ่ามือขนาดมหึมาที่ปกคลุมพื้นที่เกือบร้อยยี่สิบจั้ง ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในทันที มันปกคลุมท้องฟ้าและบดบังดวงอาทิตย์ เสมือนเมฆดำที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

บนฝ่ามือ พลังปฐพีที่ห้าและพลังพฤกษาที่สองที่หนาแน่นแผ่กระจายอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขณะที่ดวงดาวนับไม่ถ้วนเคลื่อนคล้อยไปโดยรอบ และหมุนวนอยู่บนเส้นลายมือตามวิถีโคจรที่ลึกซึ้ง มันเหมือนเป็นหัตถ์ของเทพอสูรจากสมัยโบราณที่ลงมายังดินแดนของมนุษย์ ทำให้เกิดรัศมีลึกลับ อ้างว้าง และเก่าแก่ที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า

ฝ่ามือมหาดารา!

ในขณะนี้ เฉินซีได้ใช้ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา หลังจากรวมเข้ากับปราณปฐพีดาราที่ห้าและปราณพฤกษาดาราที่สองแล้ว อานุภาพของฝ่ามือมหาดาราก็ได้บรรลุถึงขั้นที่สองของปราณพฤกษาที่สอง

ด้วยการบีบเบา ๆ มันสามารถบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย และเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในสุสานกระบี่แดนนิพพาน เฉินซีก็ได้ใชhฝ่ามือมหาดาราบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสี่คนในพริบตา

ในขณะที่พลังอิทธิฤทธิ์อันสูงส่งที่มาจากยุคบรรพกาลเพิ่งปรากฏขึ้น กลิ่นอายอันอ้างว้างและเก่าแก่พลันพวยพุ่งออกมาจากมัน ซึ่งทำให้สวรรค์และโลกตกในความหวาดกลัวในทันที ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ราวกับสิ่งที่พวกเขาเห็นจะไม่ใช่มือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมท้องฟ้า แต่เป็นเทพอสูรที่น่าสะพรึงกลัวที่มาจากสมัยโบราณแทน!

“ตายซะ!” ฝ่ามือมหาดาราที่ปกคลุมพื้นร้อยยี่สิบจั้งถูกฟาดลงไปอย่างรุนแรง

ปัง!

ทุกที่ที่ฝ่ามือผ่านไป ศัสตราวิเศษใด ๆ ที่ศิษย์ของตระกูลซูหยิบออกมาจะถูกทำลายเป็นเศษเหล็กในทันที อีกทั้ง ศิษย์ของตระกูลซูกว่า สิบคนก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นกองเศษเลือดเนื้อ และไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องโหยหวนออกมา

ปัง! ปัง! ปัง!

ฝ่ามือมหาดาราฟาดลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่ามันกำลังบดขยี้มดปลวกตัวเล็ก ๆ ให้ตาย ทำให้บรรดาศิษย์ของตระกูลซูที่ไม่อาจหลบได้ ตายอย่างน่าอนาถ

ความร้ายกาจของฝ่ามือมหาดาราที่น่าสะพรึงกลัวจนถึงจุดที่ไม่อาจทานทนได้ทำให้หัวใจของทุกคนตกตะลึงในทันที และส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของพวกเขาที่มีต่อทักษะขัดเกลากายาเทพอย่างรุนแรง

“คนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป พี่น้อง หนีเร็วเข้า!”

“ทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าซะ!”

“เร็วเข้า! เร็วเข้า!”

ในเวลาไม่กี่อึดใจ ศิษย์ของตระกูลซูมากกว่าสี่สิบคนได้เสียชีวิตอย่างอนาถบนพื้นดิน โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะบดขยี้ยันต์เคลื่อนย้ายของพวกมัน ศิษย์อีกกว่ายี่สิบคนที่หลงเหลืออยู่ต่างก็หวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ ดวงวิญญาณของพวกมันแทบจะหลุดออกจากร่างขณะที่พวกมันขยี้ยันต์เคลื่อนย้ายและถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้วยพลังของเจดีย์

ซูเจียวก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน นางจ้องมองที่เฉินซีอย่างหวาดผวา ราวกับเฉินซีที่ผ่านมาไม่ใช่คนที่นางเคยรู้จักมาก่อน และสายตาของนางเผยให้เห็นความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ความไม่เต็มใจ ความหวาดกลัว และความข้องใจอย่างไร้ขอบเขต…