บทที่ 367 ขูดรีดอย่างมีหลักการ (1)
“โอ้!”
บนลานกว้างเกิดเสียงฮือฮา หยวนเจิ้งซั่งเหรินแห่งสำนักพันอาทิตย์ตบโต๊ะแล้วหัวเราะร่า
เจ้าตำหนักผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์คนอื่นต่างมีสีหน้าเหยเก นี่อยากได้เงินมากจนไปล่วงเกินสามยอดฝีมือเชียวหรือ ศิษย์เรือนด้านในสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในจังหวัดไร้เหมันต์ มีพลังเทียบเท่ากับผู้อาวุโสที่อ่อนแอส่วนหนึ่ง ลู่เซิ่งผู้นี้กลับกล้าหาเรื่องคนสามคนพร้อมกัน
“ดูสิ! ดู! นี่แหละคือตัวตนจริงๆ ของสำนักพันอาทิตย์!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินรู้สึกว่าในที่สุดก็ได้ระบายความอัดอั้นที่อดกลั้นไว้มาหลายปีแล้ว ไม่สิ ได้ระเบิดออกมาต่างหาก
ได้ลืมตาอ้าปากแล้ว!
ในจังหวัดไร้เหมันต์สำนักพันอาทิตย์ถูกวิจารณ์เสียๆ หายๆ มาโดยตลอด ทั้งโดนด่าในที่ลับว่าเป็นพวกหน้าเงิน ทั้งโดนด่าว่าพลังไม่เอาอ่าว นอกจากเรื่องหาเงินแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย
เช่นว่า ‘หากเป็นศิษย์สำนักพันอาทิตย์ ก็ย่อมเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสามสำนักแน่นอน’ ถึงแม้พวกเขาจะอวดโอ่ว่า พลังสู้เงินไม่ได้ แต่ว่าหากลงมือจริงๆ ส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าทุ่มสุดตัว แต่เลือกจ่ายเงินเพื่อให้เรื่องจบๆ ไปมากกว่า
ข่าวลือแบบนี้แทบจะกลายเป็นภาพลักษณ์อันแน่นอนของสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์ และเป็นเรื่องที่ทำให้หยวนเจิ้งซั่งเหรินอับอายที่สุด
ทว่าตอนนี้ ในที่สุด ในที่สุดก็มีคนที่เทียบเท่ากับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกสองสำนักได้อย่างแท้จริงแล้ว
“เรื่องดีแบบนี้ เรื่องดีแบบนี้!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินตบโต๊ะ หัวเราะจนน้ำตาเกือบจะเล็ดออกมาแล้ว “นึกถึงในอดีตข้าก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ เด็กน้อยผู้นี้ดูดีจริงๆ! ดูดีโดยแท้!”
“เอ่อ…ซั่งเหริน…หลานสาวของท่านยังอยู่ด้านในนะ…” เจ้าตำหนักคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างอดเตือนพลางส่ายหน้าไม่ได้
“เอ่อ…” หยวนเจิ้งซั่งเหรินหยุดหัวเราะกะทันหัน พลันนึกขึ้นได้ จึงรีบมองจอภาพ พอเห็นหลานสาวของตนกำลังถูกขู่กรรโชก ก็กระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง…
เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือโมโหอยู่ชั่วขณะ
…
“ท่านมาจากสายไหนของสำนักพันอาทิตย์กัน” ด้านหน้าสถูป จ่างซุนหลันจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาพิกลพลางกล่าวถาม
“ไม่มีสายไหน” ลู่เซิ่งตอบอย่างขอไปที ตอนนี้เขาเห็นสัญลักษณ์สำนักพันอาทิตย์บนตัวจ่างซุนหลันแล้ว
“เหตุใดจึงทำเช่นนี้ พวกเราสำนักพันอาทิตย์ทำอะไรตรงไปตรงมาและสง่าผ่าเผย ทั้งยังหาเงินอย่างสุจริต หากว่าคำพูดและการกระทำของท่านเล่าลือออกไป…” จ่างซุนหลันกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าใช้ความสามารถของตัวเองหาเงิน ไม่สุจริตตรงไหนหรือ” ลู่เซิ่งทำหน้ามีเลศนัย
จ่านซุนหลันพลันอับจนถ้อยคำ
“พวกเจ้าสามคนรีบหน่อย แล้วก็เจ้า อย่านึกว่าเป็นคนสำนักเดียวกันกับข้าแล้วจะไม่ต้องจ่ายก็ได้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่น้ำใจก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา
ซุนหรงจี๋เงียบงันไม่เปล่งวาจา พลิกมือชักทวนวงเดือนที่อยู่บนหลังออกมาช้าๆ แล้วกระทุ้งกับพื้นที่อยู่ใกล้ๆ เบาๆ
หลีม่านก็ค่อยๆ กำมีดสั้นที่อยู่ด้านหลังเช่นกัน
“ดูเหมือนพวกเจ้าคิดจะลงมือแล้ว” ลู่เซิ่มยิ้มพร้อมกับยกดาบในมือขึ้น
“ในเมื่อเจ้ากล้ามาตามลำพัง ทั้งยังทำเรื่องที่คุกคามกันแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในพลังของตัวเองถึงขีดสุดกระมัง” ซุนหรงจี๋กล่าวอย่างเชื่องช้า
“ไม่ใช่เชื่อมั่น แต่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลต่างหาก” ลู่เซิ่งค่อยๆ ก้าวเดินไปด้านหน้า
“อย่างนั้นหรือ” ซุนหรงจี๋พลันลืมตาแล้วพุ่งสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็ควงทวนวงเดือนสร้างปราณจริงแท้รูปมังกรสีดำสายหนึ่งออกมา
ปราณจริงแท้มังกรดำเลื้อยลดคดเคี้ยว พริบตาเดียวก็โถมพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งยกดาบไปด้านหน้า ฟันใส่มังกรดำ ก่อนจะยกมือขึ้นไปด้านหน้าอีกครั้ง เพื่อถองข้อศอกใส่ปราณจริงแท้รูปมังกรดำที่กำลังสลาย
เกิดเสียงเปรี้ยงดังกึกก้องอีกครั้ง
ลู่เซิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ ซุนหรงจี๋ที่อยู่ภายใต้การอำพรางของปราณจริงแท้สีดำ ใช้สองมือกำทวนวงเดือนแน่น พลางถอยหลังหลายก้าวด้วยใบหน้าตื่นตะลึง เมื่อครู่คมทวนวงเดือนของเขาฟันโดนข้อศอกลู่เซิ่งอย่างหนักหน่วง ทว่ากลับถูกต้านกลับไป
ติ๊ง!
ในตอนนั้นเองมีเงาคนสายหนึ่งปรากฏแวบขึ้นทางด้านซ้ายของลู่เซิ่งเหมือนกับควันสีดำ ขณะเดียวกันเอวซ้ายของลู่เซิ่งก็ไม่ทราบว่ามีร่องรอยสีขาวเพิ่มขึ้นมาตอนไหน
ร่องรอยนั้นเกิดขึ้นเพียงเพราะเสื้อฉีกขนาด ยังไม่ถึงขั้นเจาะผิวหนังของลู่เซิ่ง
“น่าสนใจ” ลู่เซิ่งเหลือบตามองไปที่เอวของเขา ด้วยความเร็วของเขาในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะกดมันไว้ให้อยู่ในระดับของขอบเขตปฐมปฐพีแล้ว แต่เมื่อมีจิตวิญญาณระดับจ้าวแห่งมาร พลังของเขาก็มากพอจะแสดงขีดจำกัดสูงสุดในระดับสามขั้นล่างของขอบเขตปฐมปฐพีออกมาได้
และในสภาพนี้ เมื่อหลีม่ายกับซุนหรงจี๋ร่วมมือกันโจมตี ถึงกับสัมผัสโดนร่างของเขาได้
หลีม่ายหมุนตัวมาใช้วิชาสังข์เขียวแทงใส่ด้านหลังของลู่เซิ่งอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ติ๊ง
หลังจากปลายมีดแทงเข้าไปในเสื้อผ้า ก็เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นอย่างกึกก้อง หนำซ้ำครั้งนี้ยังมีแรงสะท้อนอันมหาศาลดีดกลับมาจากตัวมีดด้วย
หลีม่ายป้องกันไม่ทัน พละกำลังอันมหาศาลทะลักเข้าไปในร่างกาย จากนั้นก็ตีลังกากลางอากาศหลายรอบแล้วค่อยร่วงหล่นลงพื้น ใบหน้าแดงก่ำขึ้น
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
มีการโจมตีติดต่อกันสามครั้ง ซุนหรงจี๋โจมตีด้วยทวนวงเดือนสุดกำลัง วิชาทวนวิญญาณถูกใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดที่แข็งแกร่งที่สุดทันทีโดยไม่มีการออมแรงแม้แต่น้อย
“ทวนเทพปั่นป่วนฟ้า ดวงดาวสังหาร”
ปราณจริงแท้สีน้ำเงินที่เหมือนกับแสงดาวจำนวนมาก กระจายออกมาจากร่างของเขา พริบตาที่ควงทวนวงเดือน ปราณจริงแท้สีน้ำเงินทั้งหมด ก็รวมกันกลายเป็นดวงดาวสีน้ำเงินมากมายที่สว่างไสว
ดาวสีน้ำเงินทั้งหมดสิบเก้าดวงเชื่อมต่อกันเป็นเชือกสีน้ำเงินจำนวนนับไม่ถ้วน ทวนวงเดือนเจาะทะลวงเส้นเชือกเหล่านี้เหมือนกับทำลายผลึกแก้ว จากนั้นก็แทงใส่ลู่เซิ่งตรงๆ
เสียงแกร๊กดังขึ้น
ลู่เซิ่งใช้ดาบกันไว้อย่างสบายๆ ปลายหอกกับตัวดาบอยู่ห่างจากหน้าผากเขาเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่ก็หยุดอยู่ในระยะห่างนี้ ไม่อาจจะผลักดันต่อไปได้อีก
“กระบวนท่านี้ไม่เลว แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าเก้าส่วน” ลู่เซิ่งยิ้ม มองไปยังหลีม่ายที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นทางขวาอีกครั้ง
คนผู้นี้ตั้งมีดสั้นไว้ข้างเอวด้านขวาของตนเองและงอร่างเล็กน้อย รวมพละกำลังทั่วร่างไว้ที่จุดเดียว อักขระสีดำจำนวนมากไหลเวียนบนผิวหนังที่เปิดเปลือย แสดงให้เห็นว่าได้ใช้วิชาลับแล้ว
“นี่เป็นพลังทั้งหมดของพวกเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“เจ้า…” หลีม่ายสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อักขระสีดำบนร่างไหลผ่านทั่วผิวหนังไปยังมีดที่อยู่บนมือของเขาอย่างแน่นขนัดเหมือนกับแมลง มีผลเพื่อเพิ่มอานุภาพ
ในเวลาชั่วประกายไฟ ลู่เซิ่งกระแทกมีดสั้นออกไป แล้วประทับฝ่ามือใส่ทรวงอกของเขา ขณะเดียวกันก็ป้องกันทวนของซุนหรงจี๋ไปพร้อมกัน ก่อนจะถองศอกใส่ศีรษะอีกฝ่าย
ตูม!
ทั้งสองคนกระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ แล้วตัวก็ถูกฝังเข้าไปในกำแพงวัดด้านหลัง
ครู่ต่อมายังไม่มีการเคลื่อนไหว
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าและตำแหน่งยังคงเหมือนกับในตอนแรก ราวกับไม่ได้ลงมือมาก่อน พร้อมกับมองดูจ่างซุนหลันซึ่งเป็นคนสุดท้าย
“เป็นอย่างไร จะจ่ายหรือยัง” เขายิ้มอย่างที่ตนเองคิดว่าเป็นมิตรแล้ว
ทว่าในสายตาของจ่างซุนหลัน นี่ไม่ต่างกับมารฟั่นเฟือนที่หน้าตาดุร้ายเลยสักนิด
“ห้าหมื่นทองคำมารกระมัง ถ้าข้าออกไปแล้วจะจ่ายให้ท่าน” พอนางได้เห็นพลังของลู่เซิ่ง ก็เข้าใจทันทีว่านี่ไม่ใช่ระดับที่นางจะเอื้อมถึง
ในความเป็นจริง บริเวณรอบๆ นอกจากนางที่เพิ่งเข้าสู่ระดับสามขั้นล่างของขอบเขตปฐมปฐพีแล้ว ซุนหรงจี๋กับหลีม่ายล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสองในระดับสามขั้นกลางแล้ว
ทว่ายอดฝีมือเช่นนี้กลับสู้ลู่เซิ่งได้ไม่เกินสิบกระบวนท่า
“ห้าหมื่นทองคำมารสามารถซื้ออันดับได้ ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว” พอจ่างซุนหลันคิดถึงตรงนี้ แล้วมองซุนหรงจี๋กับหลีม่ายในซากกำแพงวัด ก็ยิ้มอย่างขื่นขม
“เช่นนั้นก็เอาตามนี้” ลู่เซิ่งเดินไปด้านหน้าอย่างไร้ความสนใจ ก่อนจะหยิบกุญแจสีทองที่ลอยอยู่อย่างแผ่วเบา
“รอเดี๋ยว! ข้าจะจ่ายเงินเช่นกัน! นี่เป็นเครื่องยืนยัน!” อยู่ๆ ซุนหรงจี๋ก็ส่งเสียงพลางกระอักกระไอมาจากในวัด
วัตถุสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปหาลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา
ลู่เซิ่งยื่นมือไปรับไว้ แล้วพบว่าเป็นกระดาษสีทองที่ชุบทองคำขาวไว้ชั้นหนึ่ง และสลักข้อความไว้แถวหนึ่งว่า ‘ท้องนภายิ่งใหญ่ และให้อายุยืนยาว’
“นี่เป็นผังเข็มทองปฐมปฐพี ในตลาดค่ายกลผังใบนี้ใบเดียวมีราคาหนึ่งแสนทองคำมาร ลบค่าเสื่อมราคาให้ท่านห้าหมื่นทองคำมารเป็นอย่างไร” ซุนหรงจี๋คลานออกมาจากในกองอิฐอย่างทุลักทุเล พร้อมกับกล่าวกระหืดกระหอบ
ผมเผ้าของเขากระเซอะกระเซิง หน้าผากถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่ เลือดกำลังไหลออกมา ก่อนจะมุดเข้าไปในปากเขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ไม่สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย
“ยิ่งรวยก็ยิ่งข่มคน” จ่างซุนหลันส่ายหน้า ก่อนจะนำสิ่งของมูลค่าห้าหมื่นทองคำมารบางส่วนออกมาเช่นกัน นางพกพาสิ่งของดีๆ ไว้มากมาย สถานะและเบื้องหลังของหญิงสาวก็ทำให้ลู่เซิ่งตกใจอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งเก็บเงินและทรัพย์สินของคนทั้งสองไว้อย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็จับกุญแจสีทองเอาไว้พร้อมกับหลับตาคิดในใจ
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เส้นสีทองสามสายพุ่งออกมาจากกุญแจทองแล้วเชื่อมกับร่างของคนทั้งสามอย่างแผ่วเบา
“ตัดสินสามอันดับแรกแล้ว” เสียงชราก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้ง
ตรงหน้าพวกลู่เซิ่งพร่ามัว พลังงานอันหนาแน่นที่กระจ่างชัดและยิ่งใหญ่ห่อหุ้มทั้งสามเอาไว้ในทันที ตรงหน้าเหมือนกับมีลำแสงสีรุ้ง หลังจากมันกะพริบแสงที่สวยสดงดงามแล้ว ก็คงอยู่เกือบสิบกว่าอึดใจจึงค่อยกลับมาเป็นปกติ
ตรงหน้าลู่เซิ่งชัดขึ้น จากนั้นค่อยพบว่าพวกตนสามคนยืนเรียงกันอยู่กลางห้องกว้างใหญ่ที่เป็นสีขาวขมุกขมัว วังวนสายน้ำขนาดมหึมาสีขาวฝังตัวอยู่บนผนังฝั่งซ้ายมือ มันกำลังหมุนวนอย่างเงียบเชียบ
ทางฝั่งขวามือเป็นวังวนสายน้ำสีดำ กลิ่นอายที่ปรากฏออกมาจากด้านในเป็นความผันผวนอันคุ้นเคยจากชั้นในของวัดตราทมิฬ
“ที่นี่เป็นพื้นที่ตรงกลาง ทางซ้ายคือชั้นนอกของวัดตราทมิฬ ทางขวาคือชั้นใน พวกเจ้าจะเลือกออกไปพักผ่อนด้านนอกสักครู่ หรืออยู่ต่อเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่อื่น” เงาร่างของชายชราคนนั้นส่งเสียงมาอีกครั้ง
“มีแต่อันดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ยังไปจังหวัดอื่น ท่านผู้เฒ่าถามไปมีประโยชน์อะไร” ซุนหรงจี๋ยิ้มอย่างขื่นขม ตั้งแต่เขาถูกลู่เซิ่งเล่นงานจนเกือบสลบไป ก็รู้ว่าเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เขาหัวเราะอย่างขื่นขมขณะถือทวนยาวเอาไว้
“แน่นอนว่ามีแต่อันดับที่หนึ่งที่ข้ามไปลงมือในจังหวัดอื่นได้ แต่ว่าสุดท้ายสาขารองจะเป็นผู้เลือก และสามารถเลือกสามคนพร้อมกันได้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงสามารถเลือกสาขารอง” ชายชราตอบซุนหรงจี๋
“หมายความว่าข้าไปยังจังหวัดอื่นได้ นี่เป็นสิทธิ์ในฐานะที่ข้าแข็งแกร่งที่สุด และสุดท้ายทุกๆ จังหวัดจะสามารถส่งคนสามคนไปเข้าร่วมศึกช่วงชิงใหญ่ที่สาขาหลักซึ่งอยู่ตรงกลางได้อย่างนั้นกระมัง” ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว
“แน่นอน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมกุญแจสีทองจึงเลือกคนสามคน” ชายชราตอบลู่เซิ่งด้วยเสียงที่แสดงความชื่นชมอย่างหาได้ยาก “แม้จะบอกว่าคนเดียว แต่นั่นเป็นจำนวนรวมของสามสำนัก ครั้งนี้พวกเจ้ากลับขัดขวางสำนักซ่อนธาตุไปแล้ว แต่ในเมื่อสู้คนอื่นไม่ได้เอง เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้”
นี่คือสามสำนักของจังหวัดไร้เหมันต์
แม้ว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสามสำนักระดับจังหวัดจะสู้พลังในปัจจุบันของลู่เซิ่งไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ไม่ดูถูกคนเหล่านี้ อย่างน้อยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักระดับจังหวัดก็มีคนที่อยู่ในขอบเขตสูงสุดของระดับราชามารที่ใกล้เคียงกับอริยะเจ้า หรือขอบเขตสูงสุดของระดับผู้ถืออาวุธอยู่ ซึ่งเทียบเท่ากับเขาเมื่อก่อนหน้าหน้านี้ ยอดฝีมือเช่นนี้สามารถร่ำเรียนวิชาลับและวรยุทธ์ได้มากมายนับไม่ถ้วน ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครมองการปลอมแปลงของเขาออก
……………………………………….