บทที่ 42 ชีพจรมงคล (4) Ink Stone_Romance

เซียงเฉ่ากุมมือของนางไว้แต่ในใจนั้นตึงเครียดยิ่ง “คุณหนู ท่านไม่สบาย เรียกท่านหมอในจวนมาตรวจก็ได้แล้ว ไฉนต้องออกมาด้วยเจ้าคะ? หากให้ผู้อื่นรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะต้องถูกนำไปพูดไม่จบสิ้น”

หลัวอวี่ก่วนทำหน้าเคร่ง จิตใจทั้งหงุดหงิดและสับสนวุ่นวายถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง กำลังจะอ้าปากพูดจา ก็รู้สึกว่าเลือดลมในกระเพาะกำลังตีย้อนกลับมา จึงยกมือขึ้นปิดปากและรีบหันหน้าไปทางอื่น

เซียงเฉ่ารู้ว่าในระยะกว่าหนึ่งเดือนมานี้ท้องไส้นางไม่ค่อยดีนัก มักจะมีผลท้อแห้งติดตัวอยู่เสมอ จึงรีบหยิบผลท้อแห้งสองชิ้นป้อนใส่ปากของนาง

หลัวอวี่ก่วนอมไว้ในปาก จากนั้นสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งจึงสามารถบังคับความรู้สึกเมื่อสักครู่ลงไปได้

เซียงเฉ่าไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก

หลัวอวี่ก่วนกลับนำแขนเสื้อปิดมือที่จิกฝ่ามือตนครั้งแล้วครั้งเล่า กัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวาดกลัวหรือตื่นเต้นอันใด ใบหน้านั้นขาวซีดไร้ซึ่งสีเลือดอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นว่าหลัวอวี่ก่วนดีขึ้นพอสมควรแล้ว เซียงเฉ่าจึงหยิบเสื้อผ้าของชาวบ้านธรรมดาสามัญจากถุงผ้าที่นางนำติดตัวออกมาสองตัว มาผลัดเปลี่ยนทั้งสองคน ทั้งยังให้หลัวอวี่ก่วนใช้ผ้าคลุมหน้า

รถม้าคันนั้นเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาวิ่งออกไปเป็นระยะทางไกลมาก สุดท้ายหยุดลงบนถนนค่อนข้างลับตาคนสายหนึ่งในเมืองเฉิงเป่ย

“คุณหนูช้าๆ นะเจ้าคะ” เซียงเฉ่าประคองหลัวอวี่ก่วนลงจากรถม้า หันกลับไปสั่งคนขับรถม้าว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ ไม่เกินครึ่งชั่วยามพวกเราก็กลับมา”

พูดแล้วก็ประคองหลัวอวี่ก่วนเดินเข้าไปในตรอก เดินผ่านร้านค้าหลายร้าน สุดท้ายเข้าไปในร้านหมอที่ไม่โดดเด่นอันใด

เมืองเฉิงเป่ยเป็นเขตเมืองของชาวบ้านธรรมดา ขุนนางและคนชั้นสูงต่างอ้อมเส้นทางเส้นนี้ เซียงเฉ่าไม่เข้าใจว่าไฉนหลัวอวี่ก่วนจึงมาหาท่านหมอที่นี่ เพียงแต่เอาชนะนางไม่ได้จึงได้แต่ประคองนางเดินเข้าไป

ร้านหมอแห่งนี้พื้นที่ไม่กว้างนักและยามนี้ข้างในไร้คน

แม้จะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว แต่เสื้อผ้าของทั้งสองคนก็ยังพอดูออกว่าเป็นผู้ดีมีเงิน ท่านหมอที่นั่งอยู่จึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ฮูหยินของข้าหลายวันมานี้ไม่ค่อยสบาย ท่านหมอช่วยดูด้วยเถิด” เซียงเฉ่าพูด ประคองหลัวอวี่ก่วนนั่งลง

สถานที่เช่นนี้ไม่พิถีพิถันอันใดนัก ไม่มีการใช้เส้นด้ายในการจับชีพจรหรือกฎเกณฑ์การใช้ผ้าโปร่งบางกั้นเอาไว้ เมื่อมือของเขาจึงแตะลงบนข้อมือของตน หลัวอวี่ก่วนยังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยนัก

ท่านหมอลูบหนวดเคราส่ายศีรษะช่วยจับชีพจรอย่างละเอียด มืออีกข้างกำเป็นหมัดแน่น ดูเหมือนในจะกำแน่นจนเลือดออกในฝ่ามือเสียแล้ว ในใจนั้นได้แต่รำพึงรำพันว่าอย่าเกิดเรื่องใดขึ้น…อย่าเกิดเรื่องใดขึ้น ด้วยเหตุที่นางตื่นเต้นจนเกินไป แม้กระทั่งมือของท่านหมอลูบไปมาบนข้อมือ นางก็ยังไม่รู้สึกตัว

สุดท้ายเป็นเซียงเฉ่าที่รอไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ท่านหมอ เป็นเช่นใด? ฮูหยินของข้าเป็นโรคอะไร?”

ท่านหมอผู้นั้นหัวเราะออกมา หันไปแสดงความยินดีกับหลัวอวี่ก่วน “ขอแสดงความยินดีกับฮูหยินท่านนี้ ท่านนั้นมีชีพจรมงคล”

หัวใจของหลัวอวี่ก่วนหล่นตุ้บ…

กลัวสิ่งใดได้สิ่งนั้นจริงๆ

รู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวไปในชั่วขณะหนึ่ง

นางกัดริมฝีปากอย่างแรง ใช้ความเจ็บปวดทำให้ตนเองมีสติ

เซียงเฉ่าตกใจจนหน้าซีดขาว รีบเอ่ยว่า “ท่านพูดจาเหลวไหลอันใดกัน? ชีพจรมงคลอันใด? ฮูหยินของข้า…”

พูดได้เพียงครึ่งเดียว นางก็รีบหุบปากตนเอง

หลัวอวี่ก่วนเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน แต่มีชีพจรมงคล…

ช่องเขาทำให้เกิดลมได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุ

อายุของนางยังน้อย เป็นครั้งแรกที่ต้องมาพบเรื่องเช่นนี้ เมื่อคิดถึงสภาพมารดาของตนเมื่อตั้งท้องน้องชายน้องสาว เซียงเฉ่าก็ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เกือบจะยืนไม่อยู่

ปฏิกิริยาของหลัวอวี่ก่วนนั้นสงบนิ่งกว่านางมากนัก อย่างน้อยเมื่อมองจากภายนอกเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตนเองเท่านั้น

ท่านหมอผู้นั้นเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองจึงพอจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ทว่ากลับทำเป็นไม่รู้เรื่องและเอ่ยแสดงความยินดี “อายุครรภ์ของฮูหยินนั้นสองเดือนกว่าแล้ว ชีพจรของครรภ์มั่นคง เพียงแต่สุขภาพร่างกายของท่านนั้นอ่อนแอเล็กน้อย กลับไปต้องบำรุงสักหน่อย ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาคลอดนั้นเกรงว่าจะคลอดลำบาก”

หลัวอวี่ก่วนไม่พูดจาสักคำ นั่งลงครู่หนึ่งจึงพยุงตัวกับมุมโต๊ะยืนขึ้นมา

สายตาของท่านหมอผู้นั้นกวาดมา พบว่ามือของนางที่กดอยู่กับมุมโต๊ะนั้นปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย จึงซ่อนแววตาของตนเอาไว้

เซียงเฉ่าไม่มีสติแล้ว ในยามนี้จึงรู้สึกตัว นางหยิบเงินจ่ายค่ารักษา จากนั้นประคองหลัวอวี่ก่วนออกไป

ท่านหมอผู้นั้นกำเงินไว้ในมือหัวเราะหยัน สายตาของเขาทอประกายวาบหลายครั้ง

หลัวอวี่ก่วนถูกเซียงเฉ่าประคองขึ้นรถม้าโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว หลังจากขึ้นรถม้าแล้วเซียงเฉ่าจึงร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว กุมมือของหลัวอวี่ก่วนเอาไว้แล้วพูดว่า “คุณหนู นี่จะทำเช่นใดดีเล่า? จะทำเช่นใดดีเล่าเจ้าคะ?”

หากว่าหลัวอวี่เพียงแค่เสียความบริสุทธิ์เช่นนั้นยังพอมีทางแก้ อย่างน้อยจากภายนอกไม่มีผู้ใดดูออก แต่ในยามนี้นางได้ตั้งครรภ์แล้ว…

สองเดือนกว่า อายุครรภ์สามเดือนก็จะเห็นภาวะการตั้งครรภ์อย่างชัดเจน ถึงเวลานั้นมีแต่ตายอย่างเดียว

หลัวอวี่ก่วนหลับตาลง กำแขนเสื้อของตนเองเอาไว้แน่น หากนางเดาไม่ผิด น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางนัดพบกับเขาหลายครั้ง หลายวันนั้นแนบชิดติดพัน เดิมทีนางคิดจะพยายามอย่างที่สุดที่จะวางแผนการให้ตนเอง แต่ไม่คิดว่านางกลับไม่ได้อะไรกลับมา

หากชีพจรมงคลนี้ตรวจพบเร็วกว่านี้หลายเดือน นางอาจจะยินดีมาก มีหมากในมือเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังสามารถบีบบังคับให้ซูหลินรับผิดชอบ แต่ในยามนี้…

นางคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ซูหลินจะตายไป

ไม่เช่นนั้น…

เมื่ออยู่ด้วยกันนางจะไม่ปล่อยเลยตามเลยเช่นนี้ อย่างน้อยการดื่มน้ำแกงห้ามครรภ์ก็ไม่เกิดปัญหาตามมาเช่นนี้

เวลานี้ควรทำเช่นใดดี?

ความคิดของนางนั้นกระวนกระวายใจยิ่ง เซียงเฉ่านั้นคิดวุ่นวาย คิดอยู่เนิ่นนานจึงกุมมือนางแน่นแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนู ฉวยโอกาสตอนนี้ที่เรื่องยังไม่แดงออกมา ไม่สู้…บ่าวกลับไปให้ท่านหมอผู้นั้นจัดยาสักเทียบ?”

ฉวยโอกาสในขณะที่ครรภ์ยังไม่ปรากฏ รีบทำลายเด็กคนนี้ อาจจะยังพอมีหวัง

แต่การทำแท้งนั้นอันตรายมาก ซ้ำยังทำร้ายร่างกายอีกด้วย

หลัวอวี่ก่วนรู้ดีว่าเด็กคนนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้ แต่นางตัดสินใจไม่ได้

นางไม่ออกเสียง เซียงเฉ่าก็ได้แต่คิด รู้สึกหวาดกลัวจนร้องไห้ออกมา

เมื่อใกล้ถึงจวนหลัวกั๋วกงทั้งสองคนจึงผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ลงจากรถม้า สีหน้าของหลัวอวี่ก่วนซีดเผือด เดินราวกับหุ่นเชิดมีเซียงเฉ่าติดตามด้านหลัง

เยียนเอ๋อร์นั้นตามทั้งสองคนออกมา แต่ต่อมาทั้งสองคนนั้นเรียกว่าจ้างรถม้าจึงตามไม่ทัน จึงรออยู่ในตรอกด้านหลังอยู่นาน เพิ่งจะเห็นทั้งสองคนกลับมา

เห็นหลัวอวี่ก่วนมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติมาแต่ไกล นางรู้สึกสงสัยจึงรีบแอบซ่อนตัว

เซียงเฉ่าคิดอย่างไรก็ยังรู้สึกหวาดกลัว ในที่สุดยังคงดึงหลัวอวี่ก่วนเอาไว้และพูดว่า “คุณหนู เรื่องนี้ท่านต้องรีบตัดสินใจนะเจ้าคะ หลายวันก่อนข้ายังเห็นเยียนเอ๋อร์ตามพวกเราลับๆ ล่อๆ ถ้าหากว่านางรู้เข้า…ฉวยโอกาสตอนนี้ยังไม่เห็นครรภ์ จะลังเลอีกไม่ได้แล้ว”

“หุบปาก” หลัวอวี่ก่วนพูดเสียงเคร่ง ถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง

เซียงเฉ่ายังอยากพูดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้วไม่กล้า ได้แต่กัดฟันแน่น

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตรอก เยียนเอ๋อร์นั้นได้ยินคำพูดของคนทั้งสองก็งุนงง ขณะที่กำลังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น รองเท้าส่วนบนของนางราวกับถูกสิ่งของแหลมๆ ข่วน

นางตกใจจนร้องเสียงแหลมออกมาแล้วกระโดดไปข้างหลัง จึงเพิ่งพบว่าข้างเท้าของนางมีแมวพเนจรตัวหนึ่งจ้องมองนางอยู่

เมื่อเยียนเอ๋อร์ร้องออกไปก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว ทันทีที่เงยหน้า หลัวอวี่ก่วนนายบ่าวก็พุ่งเข้ามาอย่างมาดร้าย

หลัวอวี่ก่วนฝีเท้าไม่มั่นคงนัก

เยียนเอ๋อร์หน้าเผือดไป หันหลังจะวิ่งหนี วิ่งไปด้วยและได้ยินร้องเรียกไปด้วย “มา…”

“ยังไม่จับตัวนางเอาไว้อีก” หลัวอวี่ก่วนสั่งเสียงเด็ดขาด แต่ขณะที่พูดกลับก้าวเท้าเร็วกว่าเซียงเฉ่าก้าวหนึ่งคว้าผมของเยียนเอ๋อร์เอาไว้ได้

เซียงเฉ่ารู้สึกตัว จึงพุ่งโผออกไป ปิดปากของนางเอาไว้ ใช้แรงกดนางลงกับพื้น

หลัวอวี่ก่วนถูกกระแทกถอยหลังไปสองก้าว

เยียนเอ๋อร์เห็นแววตาจิตสังหารของนาง ด้วยความหวาดกลัวจึงออกแรงผลักเซียงเฉ่าออก คลานขึ้นมาเพื่อจะวิ่งเข้าไปในตรอก “รีบมา!”

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากให้นางหนีไปได้ ย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง

แววตาของหลัวอวี่ก่วนปรากฏความอำมหิตพาดผ่าน สายตาเยียบเย็นนั้นพลันเห็นไม้ท่อนหนึ่งบนพื้นจึงหยิบขึ้นมาฟาดลงไปที่ศีรษะด้านหลังของเยียนเอ๋อร์

เสียงร้องของเยียนเอ๋อร์เงียบลงทันที นาทีถัดมาล้มลงและฟุบลงกับพื้น

“เลือด…เลือด…” เซียงเฉ่าเห็นเลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลออกมา ตกใจจนขาอ่อนยวบ

“เรียกหาอันใด? ยังไม่รีบเก็บกวาดอีก?” หลัวอวี่ก่วนสั่งการขวัญกล้า แต่ก็ทิ้งไม้ในมือที่สั่นสะท้าน “หากนางฟื้นขึ้นมา เจ้ากับข้าล้วนต้องตาย”

เซียงเฉ่าหยุดร้องไห้ คลานขึ้นมา นายบ่าวสองคนช่วยกันลากร่างอ่อนยวบของเยียนเอ๋อร์มาถึงปากทางเข้าตรอก กลับมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาขวางทางของทั้งสองเอาไว้

———————————–