Ch.133 – เมืองเฉิงหยาง

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.133 – เมืองเฉิงหยาง

 

“ว่าแต่เธอจะเอายังไงต่อหลังจากจบงานสวนล่าใบไม้ร่วง ตั้งใจจะอยู่ที่สถาบันระดับสูงต่อรึเปล่า?” เติ้งเหนียนเอ่ยถาม

 

ฉินเฟิงตอบตามตรงอย่างไม่ลังเล “แน่นอน เพราะที่นี่ยังมีอะไรอีกมากให้ผมได้เรียนรู้!”

 

ถึงจะกล่าวแบบนั้น แต่ที่เจ้าตัวตั้งใจจะทำก็คือ เร่งเรียนข้ามระดับให้มันจบๆ แล้วหันไปทุ่มเทกับธุระของตัวเอง

 

อย่างไรก็ตาม เติ้งเหนียนไม่สนใจกระบวนการเหล่านั้น เพียงได้ยินคำยืนยันของฉินเฟิง ท่าทีของเขาก็ดูมีความสุขขึ้นทันตา

 

“ถ้าอย่างนั้น ฉันคงไม่สามารถปล่อยให้เธอเป็นนักเรียนต่อไปได้ … ไม่ใช่ว่าฮั่นเจียนเองก็ยกตำแหน่งร้อยเอกกิตติมศักดิ์ให้เธอหรอกหรอ? งั้นทางฉันเองก็จะมอบตำแหน่งอาจารย์กิตติมศักดิ์พ่วงให้ด้วยเลยเป็นไง?!”

 

เติ้งเหนียนยิ้ม เขาวาดมือออก กล่องใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ

 

“นี่คือพิธีเข้ารับตำแหน่งอาจารย์กิตติมศักดิ์ นอกจากนี้ยังถือเป็นของที่ฉันใช้สนับสนุนเธอในกิจกรรมสวนล่าใบไม้ผลิปีนี้”

 

พิธีเข้ารับตำแหน่ง?

 

ด้วยความสงสัย ฉินเฟิงเปิดกล่องออก และเขาพบว่ามีถุงมือบรรจุอยู่ภายใน

 

ถุงมือนี้งดงามเป็นอย่างยิ่ง เกือบทั้งหมดเป็นสีแดงทับทิม ขนาดก็ค่อนข้างใหญ่ ถ้าสวมใส่คงสามารถคลุมได้ทั้งแขน นอกจากนี้ยังมีเล็บแหลมอยู่ตรงปลายนิ้ว

 

หากจะกล่าวว่าถุงมือ สมควรเรียกว่าเป็นสนับกรงเล็บแหลมคงจะเหมาะกว่า

 

บนหลังมือ ถูกติดตั้งเอาไว้ด้วยแก่นอบิลิตี้สีแดงขนาดเท่าก้อนกรวด ขณะเดียวกันก็มีเส้นสายมากมายเชื่อมต่อกับแก่นอบิลิตี้นี้ แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งถุงมือ

 

พอได้ลองพลิกถุงมือกลับไปอีกด้าน พบว่าข้างในมันแข็งมาก ดูสภาพคร่าวๆแล้วน่าจะทานทนต่อกระสุนและอาวุธทั่วๆไป

 

“นี่มันอุปกรณ์รูนอบิลิตี้” ฉินเฟิงประหลาดใจ ยิ่งไปกว่านั้น อุปกรณ์รูนนี้ ยังสาดแสงสีม่วงออกมา ดวงตาของเขาเปล่งประกายเมื่อเห็นว่าบนอุปกรณ์รูนอบิลิตี้นี้เขียนว่า : กรงเล็บเพลิงสีชาด F5!

 

นี่คืออุปกรณ์รูนที่สร้างขึ้นจากแก่นอบิลิตี้ของนายพลสัตว์ร้ายเลเวล F5

 

และ ‘อุปกรณ์รูนอบิลิตี้’ หากเทียบกับ ‘อุปกรณ์รูนวรยุทธโบราณ’ มันมีราคาที่สูงกว่ามาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว แก่นอบิลิตี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะครอบครอง

 

แต่ตอนนี้ เติ้งเหนียนกลับมอบมันให้แก่ฉินเฟิงชิ้นหนึ่ง

 

ยังไม่พอ เพียงสังเกตก็จะเห็นได้ทันทีว่านี่คือถุงมือสำหรับใช้กับมือข้างซ้าย

 

นั่นเพราะมือขวาของฉินเฟิง มักถูกใช้ไปกับการกวัดแกว่งมีดกษัตริย์คราม ชัดเจนว่าเติ้งเหนียนศึกษาเรื่องการต่อสู้ของฉินเฟิงมาเป็นอย่างดี

 

“อาจารย์ใหญ่ นี่มันมีค่ามากเกินไป ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอก” ฉินเฟิงตอบปฏิเสธ

 

การสร้างอุปกรณ์รูนอบิลิตี้ จำเป็นต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน เกรงว่าเมื่อเติ้งเหนียนกลับมาถึง เขาคงจะหาคนเพื่อเริ่มสร้างมันทันที

 

ด้วยความตั้งใจนี้ ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกว่าเขาได้รับความเอ็นดูจากเติ้งเหนียน

 

“ฮ่าฮ่า หลังจากนี้ไปเราคือพวกเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก!”

 

เติ้งเหนียนผลักถุงมือกลับไป เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงยอมรับของ เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข

 

….

 

ในวันถัดมา สถาบันระดับสูงคึกคักและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง พ่อแม่หลายคนถึงกับมายืนส่งลูกๆด้วยตัวเอง

 

เพราะการเดินทางสู่สวนล่าใบไม้ผลิ น่าจะเป็นครั้งแรกของพวกนักเรียนที่ได้ออกสู่ทุ่งล่า แม้จะมีโอกาสตาย และก้าวสู่ทุ่งล่าช้ากว่าหากเทียบกับผู้ใช้พลังคนอื่นๆแล้ว แต่ในวันนี้ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน!

 

“เฟิงน้อย ระมัดระวังตัวด้วยนะ” พ่อของโจวฮ่าวตะโกนเตือน

 

“คุณลุงไว้ใจผมได้เลยครับ พวกเราจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย!”

 

ในจุดรับส่ง รถกว่าสิบคันเริ่มสตาร์ทเครื่อง ขับเคลื่อนไปยังประตูทางทิศใต้

 

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกปี 1 ออกสู่ทุ่งล่า ดังนั้นนักเรียนทุกคนเลยตื่นเต้นกันมาก

 

ทั้งหมดต่างส่งเสียงฮือฮา สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ทว่าเมื่อออกสู่อาณาเขตของทุ่งล่า เกือบทั้งหมดก็กลายเป็นเงียบงัน

 

เพราะมันไร้ซึ่งตึกรามสูงเสียดฟ้า ตลอดทั้งสวรรค์และโลกกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา

 

จ้าวหยูเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า อดไม่ไหวต้องทอดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “แปลกจัง ทำไมจู่ๆฉันรู้สึกได้ถึงความอิสระอย่างไม่เคยพบเจอมาก่อน”

 

คำพูดนี้แท้จริงแล้วไม่ผิด เพราะภายในสถานที่ชุมชนน่ะมันก็เหมือนกับกรงขัง! มีเพียงการออกสู่ภายนอกเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ถึงอิสระภาพอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง!

 

เพียงแต่อิสระที่ว่า จำเป็นต้องใช้เลือดเพื่อแลกเปลี่ยนให้ได้มันมา

 

เดินทางได้ไม่นาน พวกนักเรียนก็เริ่มตระหนักถึงราคาของอิสระภาพที่ต้องจ่าย และความน่าหวาดกลัวของทุ่งล่า

 

“ปัง ปัง ปัง ปัง!”

 

เสียงกระสุนปืนดังขึ้นอย่างกระทันหัน เหล่านักเรียนเบิกตากว้าง หันไปมองรอบๆ

 

“ดูนั่น! ด้านหน้ามีอะไรบางอย่างกำลังขวางถนนอยู่!”

 

เนื่องจากรถคันของฉินเฟิงอยู่แถวหลัง เขาจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีหลายคนชะโงกหน้าออกไปเพื่อดูเหตุการณ์ข้างหน้า แล้วก็ต้องพบกับหัวขนาดมหึมาที่ในดวงตาสาดแสงสีแดงฉาน กำลังควบวิ่งเข้ามาโดยมีเขี้ยวแหลมอยู่เบื้องหน้า

 

“นั่นมันหมูป่ากลายพันธ์!”

 

หมูป่ากลายพันธ์ เป็นสัตว์ร้ายเลเวล G6 แม้จะเลเวลน้อย แต่เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่โต มันจึงครอบครองพลังโจมตีที่ทรงพลัง ไหนจะผิวที่หยาบและหนา จนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้กระสุนธรรมดาๆเข้าต่อกร

 

ยิ่งไปกว่านั้นหมูป่ากลายพันธ์ยังมีความว่องไวเป็นอย่างยิ่ง เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ทะยานมาถึงพาหนะคันแรก นักเรียนที่ชะโงกหัวออกมาครึ่งตัวกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว มุดกลับเข้ามา แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นเขี้ยวหมูป่าไปได้

 

พรวด!

 

เขี้ยวหมูป่ากลายพันธ์เฉียดผ่านไหล่ของนักเรียนคนนั้น เลือดและเนื้อชิ้นใหญ่ถูกเกี่ยวติดไปกับปลายแหลม หากมิใช่เพราะมีรั้วของรสบัสกั้นอยู่ล่ะก็ ที่เกี่ยวไปได้คงไม่ใช่แค่เนื้อ หากแต่คงแทงทะลุเข้าหัวใจโดยตรง

 

“อ๊าาาา!!!” นักเรียนคนนั้นกรีดร้องลั่น เสียงของเขาดังฟังชัด กระจายมาถึงรถอีกหลายคันที่กำลังขับตามหลังในจุดที่ไกลออกไป

 

ในหัวใจของนักเรียนปี 1 เริ่มรู้สึกหวาดผวา

 

ไม่ว่าจะเพราะหมูป่ากลายพันธ์ , เลือดที่สาดกระจาย หรือเสียงกรีดร้องน่าสังเวชของเพื่อนร่วมชั้นปีผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น

 

โชคยังดีที่จำนวนหมูป่าไม่เยอะจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอาจารย์เลเวล F คอยตามมาคุ้มครอง ปัญหาจึงได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

 

อย่างไรก็ตาม … บรรยากาศในหมู่นักเรียนกลับกลายเป็นหนักอึ้งไปเสียแล้ว

 

มีกระทั่งนักเรียนหญิงบางคนตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

 

“ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างโอเคแล้ว”จางเทียนที่ไม่เอ่ยคำใดเลยตั้งแต่ต้นเริ่มปลอบประโลม “เธอต้องเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าทีมสิ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เหลือในทีมของพวกเราก็ล้วนเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ เธอมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีสัตว์ร้ายตัวไหนเข้ามาใกล้ได้แน่นอน!”

 

พอได้ฟัง สีหน้าที่ซีดเซียวของจ้าวหยูจึงค่อยดีขึ้น

 

“อื้ม!”

 

“จงเชื่อในสหาย จงเชื่อใจเพื่อนร่วมทีมของเธอ” ฉินเฟิงกล่าว “เพราะในทุ่งล่าน่ะ มันไม่เคยเป็นสถานที่สำหรับต่อสู้เพียงลำพังอยู่แล้ว … ”

 

นี่แหละคือเหตุผล ที่ทางสถาบันบอกให้ทำการจัดตั้งทีม

 

หลังจากเหตุการณ์นี้ การเดินทางต่อก็เป็นไปอย่างราบรื่น ในไม่ช้า ก็เริ่มปรากฏกำแพงสูงของเมืองเฉิงหยางสู่สายตา

 

มันเป็นกำแพงเมืองที่สูงกว่าสามสิบเมตร แม้มองจากระยะไกล ก็ยังสามารถเห็นถึงแสงจางๆแผ่กระจายออกมาจากตัวกำแพง ก่อร่างเป็นเครือข่ายที่ดูเลือนลาง

 

และ ณ ศูนย์กลางของเครือข่ายนี้ คืออุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติขนาดใหญ่รูปดาวหกแฉก ที่กำลังฉายรังสีแสงสีเงินออกมา

 

“นั่นอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติระดับเมือง!”

 

“ดูเครือข่ายพลังงานของมันสิ โอ้สวรรค์ เครือข่ายพลังงานใหญ่ขนาดนี้ ต้องใช้เสียพลังงานต่อวันมากถึงขนาดไหนกันนะ!”

 

“ดูนั่น! มันคือปืนใหญ่พลังงานระดับ 3 ! เป็นปืนใหญ่พลังงานที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงที่สุด สามารถระเบิดพลังโจมตีในระดับเดียวกับผู้ใช้พลังเลเวล E ออกมาในคราวเดียว! แถมยังมีติดตั้งเอาไว้มากมาย!”

 

ทุกคนต่างร้องอุทานด้วยความตกตะลึง

 

อันที่จริงกำแพงเมืองเฉิงหยาง หากเทียบกับสถานชุมชนเฉิงเป่ย ก็ไม่ได้สูงไปกว่ากันมากนัก เพราะเกรงว่าหากสูงกว่านี้ มันคงจะไม่มีบทบาทให้ผู้ใช้พลังที่คอยรักษาการณ์ได้แสดงฝีมือ!

 

อย่างไรก็ตาม กำแพงนี้หนาแน่นทนทานมากพออย่างแน่นอน

 

เมื่อใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ทุกคนก็รู้สึกราวกับว่ากำลังขับลอดผ่านอุโมงค์ และเคลื่อนเข้าสู่ภายในเมืองเฉิงหยาง

 

ในสายตา ปรากฏให้เห็นถึงพื้นที่ขนาดใหญ่ สิ่งปลูกสร้างที่ดูหรูหรา ต้นไม้เขียวขจี ถนนสะอาดสะอ้าน ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นถึงความงดงามของเมืองใหญ่

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตามข้างทาง ยังมีผู้ใช้พลังเดินกันอยู่ทุกที่ กระทั่งการดำรงอยู่ในเลเวล E ซึ่งเป็นสถานะสูงสุดในเขตเฉิงเป่ยก็มีให้เห็น มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจใดๆสำหรับที่นี่

 

ส่วนผู้ใช้พลังเลเวล F มีอยู่ทั่วไป ขณะที่ผู้ใช้พลังเลเวล G พบเจอได้ทุกหนแห่ง!

 

ฉากเบื้องหน้านี้ ทำให้นักเรียนบนรถต่างพากันกรีดร้องอุทาน นี่นับว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อน

 

นอกเหนือไปจากพวกอาจารย์แล้ว คนที่ยังคงสงบอยู่ เกรงว่าคงมีแค่ฉินเฟิง!