บทที่ 220.2 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ โดย ProjectZyphon
มือดาบหนวดดกถามยิ้มๆ “เหตุใดบัณฑิตอย่างเจ้าถึงได้ดวงซวยขนาดนี้ ดันไปเป็นเพื่อนกับภูตจอมปลอมผู้นั้นได้? แถมยังท่องเที่ยวมาด้วยกันตลอดทาง ถูกเขาหลอกพามาถึงที่นี่ แต่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ได้มานั่งดื่มเหล้าร่วมกับพวกเราก็ถือว่าเจ้าดวงแข็งมากแล้ว ดูจากเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่คงเป็นลูกหลานคนรวยแคว้นไฉ่อีกระมัง?”
บัณฑิตแซ่หลิวตอบเสียงสั่น “บิดาของข้าคือเจ้าเมืองเมืองแยนจือ แต่ที่บ้านไม่มีเงินจริงๆ ไม่ถือว่าเป็นลูกหลานคนรวยอะไร”
มือดาบเคราดกไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไม ข้าผู้แซ่สวีหน้าตาเหมือนมหาโจรอย่างนั้นหรือ?!”
บัณฑิตเงยหน้ามองชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเครารกครึ้มแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเหมือนจนเหมือนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
มือดาบเคราดกไม่คิดจะข่มขู่บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้อีกต่อไป แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล “พี่หยาง นักพรตเฒ่าผู้นั้นจะจัดการกับเทพภูเขาเถื่อนจริงๆ หรือ? เขาจะจงใจปล่อยอีกฝ่ายไว้เพื่อสร้างความสะอิดสะเอียนใจให้กับพวกเจ้าหรือเปล่า?”
บุรุษส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเรื่องนี้มีอาจารย์อาท่านนั้นคอยจับตามอง ทางฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพก็จะต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกกลุ่มที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์จะต้องถูกตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ในช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นการทำอย่างรอบคอบและระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือให้จ้าวหลิวตัดสินใจทำอะไรโดยพลการ”
จู่ๆ หยางหว่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ตอนนี้ข้ากังวลก็แต่ทางฝ่ายเทพภูเขาเถื่อนจะมีที่พึ่ง ด้วยกลอุบายที่มากมายของจ้าวหลิว หากเขาคิดจะใช้ข้ออ้างบอกว่าไม่ยินดีอาศัยกำลังที่มากกว่ามารังแกคนอ่อนแอกว่า จากนั้นก็ไปปรึกษาเรื่องนี้กับขุนนางระดับสูงของเมือง บอกว่าปรึกษา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการช่วยเหลืออย่างลับๆ ถ้าอย่างนั้นก็อันตรายแล้ว หากสุดท้ายจ้าวหลิวสามารถโน้มน้าวให้ราชสำนักและกรมพิธีการของแคว้นไฉ่อีเชื่อ จนพวกเขาเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เก็บศาลเถื่อนแห่งนั้นเอาไว้ หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนตำแหน่งเขาให้กลายเป็นเทพภูเขาที่ถูกต้อง กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่แถบหนึ่งอย่างแท้จริง แบบนั้นต้องยุ่งยากมากแน่ แม้จะบอกว่าเทพแห่งห้าขุนเขาของแคว้นไฉ่อีไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเทพประเภทเดียวกันของแคว้นอื่นๆ มีเพียงอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกถึงจะสามารถสำแดงศักยภาพที่แท้จริงของขอบเขตชมมหาสมุทรของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรเจ้าคนแซ่ฉินผู้นั้นก็เป็นเทพภูเขาที่มีร่างทองคำแล้ว ขอแค่จ้าวหลิวแอบช่วยให้เขาได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ ไม่แน่ว่าก็อาจจะมีศักยภาพเป็นขอบเขตถ้ำสถิตก็ได้ เซียนซือที่มาจากสำนักโองการเทพ แค่พูดง่ายๆ ไม่กี่คำ ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีแล้ว”
เขากล่าวจบ มือดาบเคราดก นักพรตเต๋าจางซานเฟิงและเฉินผิงอันก็หันขวับไปมองบัณฑิตที่ตัวสั่นเทาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
บัณฑิตหนุ่มมึนงงเล็กน้อย เทพห้าขุนเขา เทพภูเขาเถื่อน ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตถ้ำสถิตอะไรพวกนั้น เขาฟังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว จึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “บิดาข้าเป็นแค่เจ้าเมืองระดับสี่ เทพภูเขาไม่เทพภูเขาอะไร บิดาข้าคงไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
มือดาบเคราดกเอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ไม่ได้จะให้บิดาเจ้าช่วย แค่ป้องกันไม่ให้เขาช่วยให้เสียเรื่องก็พอ พรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าจะกลับไปเมืองแยนจือพร้อมกับเจ้า ควบม้าเร็วไปพบท่านเจ้าเมือง ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้จ้าวหลิวผู้นั้นชิงลงมือก่อนไม่ได้ เชื่อว่าขอแค่จ้าวหลิวได้เห็นข้าผู้แซ่สวีในจวนเจ้าเมืองต้องเข้าใจได้เอง รู้ว่าแผนการที่เขาวางไว้ใช้ไม่ได้ ต่อให้ใช้ได้ก็ต้องระวังกลัวว่าพวกเราจะไปโวยวายที่สำนักโองการเทพ เหมือนที่พวกชาวบ้านไปตีกลองร้องทุกข์หน้าที่ว่าการ ปากก็พร่ำร้องตะโกนขอให้สวรรค์ช่วยทวงคืนความเป็นธรรม”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย มือดาบเคราดกก็หัวเราะร่าเสียงดัง
ผีชางหยางหว่างลุกขึ้นยืน กุมมือคารวะ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอขอบคุณพี่สวีก่อนแล้ว!”
สีหน้าของมือดาบเคราดกเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำแล้วกล่าวอย่างอัดอั้น “พี่สวีอะไรกัน ข้าอายุขนาดนี้ให้เป็นหลานชายเจ้าก็ยังแก่เกินไป!”
หยางหว่างหัวเราะร่าเสียงดัง “วีรบุรุษไม่ถามเรื่องชาติกำเนิด สหายไม่พูดคุยเรื่องอายุ!”
แม้แต่ผีสาวก็ยังหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากผ้าคลุมหน้า
ทำเอาความกล้าหาญน้อยนิดที่บัณฑิตขี้ขลาดรวบรวมขึ้นมาได้อย่างยากลำบากปลิวหายกระเจิดกระเจิง ตกใจหน้าซีดขาวเพราะ ‘เสียงที่เศร้าเคล้าสุข’ นี้ของนาง
คืนนั้นนักพรตหนุ่มดื่มเหล้าจนเมามาย แต่บัณฑิตที่ชื่อว่าหลิวเกาหวากลับไม่กล้าดื่มมากนัก ด้วยกลัวว่าหากเมาพับไปจะไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อีก สุดท้ายคนทั้งสี่ไปพักอยู่ในเรือนชั้นที่สองด้วยกัน เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงพักอยู่ในห้องอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนบัณฑิตกับมือดาบพักอยู่ห้องติดกัน
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างสงบ
ตอนที่ฟ้าสาง จางซานเฟิงลุกขึ้นมาเปิดประตูก็เห็นว่าเฉินผิงอันกำลังฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้าน เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน รู้สึกว่าการเดินของเขายิ่งช้ามากขึ้นเรื่อยๆ
กินอาหารเช้าที่หญิงชราเตรียมไว้ให้ คนทั้งสี่ก็พากันบอกลาแล้วจากไป เพราะว่าดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแล้ว เจ้าบ้านชายหญิงไม่ชอบแสงแดด จึงไม่ได้เดินออกมาส่งนอกประตู เพียงยืนบนหอซิ่วโหลว โบกมืออำลา
มือดาบเคราดกหาวหวอด หรี่ตามองแสงแดดที่เริ่มแยงตามากขึ้นเรื่อยๆ พลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “วันใหม่อีกวันหนึ่งแล้ว”
นักพรตจางซานเฟิงกำลังพูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของเมืองแยนจือกับบัณฑิตหลิวเกาหวา หลังเดินออกมาจากบ้านโบราณหลังนั้น หลิวเกาหวาก็สดชื่นขึ้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เหมือนถูกฉีดเลือดไก่ พูดจ้อไม่หยุด คุยกับนักพรตหนุ่มอย่างถูกคอ
เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมองทางธรณีประตู พูดกับหญิงชราเบาๆ ว่า “ท่านยาย ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านสามารถส่งจดหมายไปยังเมืองหลงเฉวียนของต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุด ส่งไปหา…คน…ที่ชื่อว่าเว่ยป้อ บอกไปว่าพี่ใหญ่หยางหว่างคือสหายของข้า เฉินผิงอันติดค้างสุราดีๆ ของพวกท่านไว้มาก”
หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้
ความหวังดีบางอย่างก็เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องท่ามกลาอากาศเหน็บหนาวของฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่ามีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ทำไมต้องปฏิเสธด้วยเล่า?
เฉินผิงอันยื่นมือมอบเงินเกล็ดหิมะเจ็ดแปดเหรียญไปให้อีกฝ่าย “หลงเฉวียนต้าหลีกับแคว้นไฉ่อีอยู่ห่างไกลกันมาก ถึงเวลาท่านยายก็เอาเงินนี้ไว้ใช้ส่งจดหมาย”
บ้านหลังนี้เผาผลาญทรัพย์สมบัติทั้งหมดของหยางหว่างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว พวกเขาต้องใช้ชีวิตกันอย่างอัตคัดขัดสน เป็นเหตุให้แม้แต่สุราก็ยังต้องหมักกันเอง ส่วนอาหารก็ล้วนเป็นหญิงชราที่ไปหาเก็บมาจากที่ไกลๆ
หญิงชราลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รับเงินเกล็ดหิมะพวกนั้นเอาไว้
การส่งจดหมายไปยังราชวงศ์ต้าหลีซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เงินไม่น้อย แต่ไม่มีทางมากถึงขนาดที่เด็กหนุ่มมอบให้แน่นอน
แต่เด็กหนุ่มกลับยัดเงินกำนั้นมาให้เหมือนพวกมันเป็นเงินเหรียญทองแดงที่พวกชาวบ้านใช้กัน เงินกำเล็กๆ นี้ไม่มากไม่น้อย หากปฏิเสธหรือแสร้งรับมาแค่ไม่กี่เหรียญ ก็อาจดูเหมือนไม่รับน้ำใจอีกฝ่าย หรือไม่ก็ไร้เหตุผลเกินไป นางจึงรับมาไว้อย่างตรงไปตรงมา เพราะนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการติดค้างน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าอะไร
หญิงชราพลันทอดถอนใจ อายุน้อยแค่นี้ก็รู้จักใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น ไม่รู้ว่าตอนเด็กต้องลำบากมามากขนาดไหนถึงรู้จักแยกแยะได้อย่างถูกต้องเหมาะสมขนาดนี้
นักพรตจางซานเฟิงหันมากวักมือเรียกยิ้มๆ “เฉินผิงอัน ไปกันได้แล้ว!”
เฉินผิงอันตอบรับหนึ่งคำ จากนั้นก็บอกลากับหญิงชรา วิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็หันมองไปทางหอซิ่วโหลว ตะโกนเสียงดังว่า “ในหนังสือบอกไว้ว่า ขอให้คนรักกันได้ครองเรือนเคียงคู่กันในท้ายที่สุด!”
ผีชางและผีสาวที่อยู่บนหอซิ่วโหลวหันมาส่งยิ้มรู้ใจให้แก่กัน
แม้ว่าสองสามีภรรยาจะไม่ใช่ “คน” มานานแล้ว แต่นี่จะเป็นอะไรไปเล่า
เด็กหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกรอบไม้ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าวิ่งถอยหลังไปทั้งอย่างนั้น โบกมือบอกลากับหญิงชราอีกครั้ง “ท่านยาย ท่านทำหน่อไม้ผัดเนื้อได้อร่อยสุดๆ ไปเลย! คราวหน้าข้าจะมาหาใหม่นะ!”
หญิงชรายืนอยู่ตรงหน้าประตู คลี่ยิ้มอ่อนโยน มองเด็กหนุ่มที่ร่างอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงแดดแล้วถอนหายใจเบาๆ
……
คนทั้งกลุ่มมาถึงจวนเจ้าเมืองของเมืองแยนจือ ตัวใต้เท้าเจ้าเมืองกำลังจัดการกิจธุระอยู่ในห้องทำงาน มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงนั่งอยู่ในห้องรับแขกที่เรียบง่ายสง่างาม ดื่มน้ำชาที่สาวใช้ยกมาวางให้ ส่วนหลิวเกาหวานั้นพาเฉินผิงอันไปยังห้องหนังสือของบิดาเขา ทำท่าลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมย เพราะเฉินผิงอันขอแผนที่เมืองแยนจือจากเขา แถมยังต้องเป็นฉบับที่มีตราประทับจากทางราชสำนักด้วย แม้ว่าหลิวเกาหวาจะไม่เข้าใจ แต่พอนึกถึงว่าครั้งนี้สามารถรอดชีวิตออกมาจากบ้านโบราณได้ แถมยังได้พบเจอภูตผีปีศาจกับตาตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้นั่งดื่มสุราร่วมโต๊ะกับนาง พอคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเกาหวาก็พลันห้าวเหิม เห็นใครก็ถูกตาไปหมด จึงตบอกตอบรับว่าจะช่วยเฉินผิงอันขโมยแผนที่ลักษณะชัยภูมิเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อี ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันจ่ายเงินให้เขาถึงห้าสิบตำลึง เดิมทีหลิวเกาหวาอยากจะเอ่ยถ้อยคำประมาณว่าสหายที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมา พูดเรื่องเงินๆ ทองๆ จะทำร้ายความสัมพันธ์ แต่พอเงินหนักๆ เข้ามาอยู่ในมือก็พลันรู้สึกว่าทำร้ายความสัมพันธ์ก็ทำร้ายไปเถอะ ถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกแล้ว
หลิวเกาหวาเดินย่องพาเฉินผิงอันมายังห้องหนังสือ พอปิดประตูแล้วก็เดินไปค้นตามชั้นหนังสือ กว่าจะเจอม้วนภาพเก่าแก่ม้วนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นก็คือแผนที่เมืองแยนจือเก่าคร่ำคร่าส่งกลิ่นหอมเบาบาง นี่คือแผนที่สำรอง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ ภาพแผนที่ที่ทางกองสำนักโหราศาสตร์ของราชสำนักเป็นผู้วาดขึ้นจะวาดสองแผ่น แต่เลือกใช้แผ่นเดียว ภาพหนึ่งต้องแขวนไว้ในห้องโถงใหญ่ของที่ว่าการ ส่วนอีกภาพหนึ่งมอบให้แม่ทัพฝ่ายบู๊ของท้องถิ่นเป็นผู้เก็บรักษา มีเพียงภาพสำรองนี้เท่านั้นที่ถูกนำมาเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะอยู่ที่นี่
หลังจากแน่ใจว่าไม่ผิดอัน เฉินผิงอันก็พยักหน้าให้ “คืออันนี้แหละ”
เขาต้องจ่ายเงินห้าสิบตำลึงเพื่อซื้อความเป็นไปได้หนึ่งที่มีทางสำเร็จริบหรี่
อาจารย์ฉีเคยบอกว่า หากเจอกับแผนที่ที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกสบายตาสบายใจ สามารถเอาตราประทับแม่น้ำและภูเขาคู่นั้นออกมาประทับลงไปด้านบน โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้หมึก
หลังจากที่ถามตำแหน่งของบ้านโบราณหลังนั้นที่ตั้งอยู่บนแผนที่แล้ว เฉินผิงอันก็หาข้ออ้างบอกให้หลิวเกาหวาช่วยไปเลือกบันทึกการเดินทางอีกสักสองสามเล่มมาจากชั้นหนังสือ ฉวยโอกาสที่บัณฑิตหันตัวกลับไป ฝ่ามือของเฉินผิงอันก็มีตราประทับสองชิ้นที่สมกับคำว่า ‘ภูเขาและแม่น้ำมาบรรจบ’ ปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตราประทับที่ฉีจิ้งชิ้นเป็นผู้แกะสลักโดยใช้หินดีงูที่ดีที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจู
เฉินผิงอันเป่าลมแรงๆ ใส่ตราประทับทั้งสองชิ้น จากนั้นก็กดลงไปเบาๆ ตรงตำแหน่งที่ตั้งของบ้านโบราณ
ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น เฉินผิงอันจึงม้วนแผนที่มาสอดไว้ใต้รักแร้ หันไปพูดกับหลิวเกาหวาว่า “เรียบร้อยแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ อย่าให้บิดาของเจ้าจับได้ เพราะถ้าถึงเวลานั้นข้าก็ไม่สนใจหรอกนะ ให้เงินเจ้าไปแล้ว แม้ข้าจะไม่ขอคืนจากเจ้าก็จริง แต่ถ้าเจ้าถูกใต้เท้าท่านเจ้าเมืองทุบตีปางตาย อย่างมากข้าก็แค่ช่วยออกเงินค่ายาให้เท่านั้น”
หลิวเกาหวาหยิบหนังสือสองเล่มส่งให้เฉินผิงอันลวกๆ แล้วพากันออกไปจากห้องหนังสือ
เฉินผิงอันแอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าแผนการที่ตนวาดไว้ในใจนั้นคงจะไม่สำเร็จแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แค่ประทับตราไปทีเดียวจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของฮวงจุ้ยที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยลี้ได้อย่างไร ตนไม่ใช่เทพเซียนสักหน่อย
แต่เฉินผิงอันคิดผิดไปอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เทพเซียน
แต่อาจารย์ผู้ที่สลักตราประทับสองชิ้นนี้
คือเทพเซียนในเทพเซียน
ดังนั้นในรัศมีหลายร้อยลี้ซึ่งมีบ้านโบราณเป็นจุดศูนย์กลาง น้ำและภูเขาพลิกกลับ ไอสกปรกถดถอยสลายหายไป แทนที่มาด้วยปราณวิญญาณที่สะอาดสดชื่น
ศาลเทพภูเขาของเทพภูเขาเถื่อนผู้นั้นแหลกสลายไปในชั่วพริบตา ร่างทองของเทพภูเขาแซ่ฉินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ต่อให้นักพรตเฒ่าแห่งสำนักโองการเทพจะยอมละเว้นเขา มาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ถ่ายทอดแผนการอันยอดเยี่ยมให้ นี่ทำให้เทพภูเขาดีใจสุดขีด รู้สึกเพียงว่าเมื่อความทุกข์ยากผ่านพ้น ความสุขสมหวังก็มาเยือน ในที่สุดโชคดีของตนก็มาแล้ว! ไม่ต้องเป็นเทพภูเขาเถื่อนที่มีชีวิตอยู่รอดไปเพียงวันๆ อีกต่อไป จะได้กลายมาเป็นองค์เทพที่แท้จริงซึ่งมีสำนักโองการเทพให้การสนับสนุน!
ดังนั้นนาทีที่ร่างทองของเขาแหลกสลาย เขาก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนแท่นบูชาสูง ปล่อยให้ร่างของตัวเองแหลกสลายไปทั้งอย่างนั้น
ตอนนั้นจ้าวหลิวแห่งสำนักโองการเทพกำลังพาเด็กรุ่นหลังออกไปจากเมืองเล็ก เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในทันที
จ้าวหลิวนักพรตเฒ่าอึ้งงันราวกับไก่ไม้
หรือว่ากุมารทองของสำนักลงมือเอง?
แต่ต่อให้เป็นกุมารทอง ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีวิชาอภินิหารระดับนี้กระมัง?
เด็กรุ่นหลังของสำนักโองการเทพคนอื่นๆ ก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข
มีเพียงนักพรตน้อยที่มองดูเหมือนหวาดผวาคนนั้นที่ก้มหน้าลง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เด็กชายกำลังแอบหัวเราะกับตัวเอง “มารดามันเถอะ มารดามันเถอะ ข้าก็บอกแล้วไงว่าไอ้หมอนั่นคือตะพาบเฒ่าที่มีอายุหลายร้อยปีแล้ว เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของเขาแน่นอน ฮ่าๆ กลับไปเจออาจารย์ในสำนักเมื่อไหร่ ข้าจะต้องโอ้อวดกับเขาสักหน่อยว่าคราวนี้ข้าได้เจอกับเซียนห้าขอบเขตบนแล้ว!”
ทางฝั่งของหอซิ่วโหลว ผีชางหยางหว่างไม่สนใจแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาเผาไหม้ดวงวิญญาณอีกต่อไป เขาบินทะยานขึ้นไปบนหลังคาของหอซิ่วโหลวอย่างรวดเร็ว เพ่งสายตามองไป รอบด้านมีแต่พลังแห่งชีวิตชีวา ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ไหลมารวมกันจากสี่ด้านแปดทิศ ใบหน้าของบุรุษเต็มไปด้วยความตกตะลึงและดีใจอย่างบ้าคลั่ง
ผีสาวก็ยิ่งแหวกหลังคาหอเรือนให้ทะลุ ปล่อยให้เรือนกายอัปลักษณ์เบื้องล่างกระโปรงเผยตัวออกมาท่ามกลางแสงแดด นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงอากาศสดชื่น สูดลมหายใจได้อย่างราบรื่น
หยางหว่างตาแดงก่ำ กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ต้องมีอริยะให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของอาจารย์อา ภาพเหตุการณ์ของที่แห่งนี้จึงปรากฎอยู่ในสายตาของเทพเซียนเฒ่าบางคนในสำนักโองการเทพ จึงประทานความเมตตามาให้ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า เป็นเรื่องดีที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝันถึง…”
บุรุษสะอื้นในลำคอ พอคืนสติก็รีบลงไปนั่งคุกเข่า โขกหัวคำนับให้กับสี่ทิศทาง
ผีสาวก็คุกเข่าคารวะไปสี่ทิศอย่างจริงใจเช่นกัน
……
หญิงชราที่ยืนอยู่ในเรือนพักชั้นสามก็กำลังคำนับฟ้าดินสี่ทิศ
หญิงชราที่ทั้งชีวิตนี้แทบไม่เคยดื่มเหล้าจู่ๆ กลับอยากจะเทเหล้าให้ตัวเองดื่มสักถ้วย ไม่อร่อยก็ไม่อร่อยเถอะ ถึงอย่างไรชีวิตนี้ก็อยู่มาจนคุ้มแล้ว ยาวนานเท่ากับสองชีวิตของคนอื่นแล้ว
หญิงชราเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องครัว มือหนึ่งถือถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งถือกระบวยตักเหล้า สอดกระบวยเข้าไปในไหเหล้าใบหนึ่งที่ถูกปิดผนึกด้วยดินเหนียวมานานปี ทำไมเหล้าถึงได้เหลือน้อยแค่นี้ ไม่มีเหตุผลเลย หญิงชราอึ้งตะลึงด้วยความกังขาเล็กน้อย จากนั้นหัวคิ้วของนางก็ขมวดมุ่น สุดท้ายถึงกับรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ หญิงชราโยนกระบวยตักเหล้าลงบนพื้น ลุกพรวดขึ้นยืน พึมพำกับตัวเอง “จะเป็นไปได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร!”
นางปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มได้ หยิบกระบวยขึ้นมาใหม่ เอาไปตักเหล้าที่เหลือไม่ถึงครึ่งไห จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องครัว นั่งลงบนม้านั่งตัวยาวบนระเบียง มองแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนพื้นดินของลานบ้านอย่างเงียบสงบ หญิงชราจิบเหล้าอึกเล็กๆ น้อยครั้งนักที่นางซึ่งมีเส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะจะมีเวลาว่าง ในมือไม่มีงานให้ทำ ในใจไม่มีเรื่องให้เป็นกังวลอย่างในเวลานี้
ก่อนหน้านี้ก็เป็นวันที่มีแสงอาทิตย์อบอุ่นสาดส่องอย่างในเวลานี้ มีเด็กหนุ่มผู้มาจากทางทิศเหนือคนหนึ่งชื่อว่าเฉินผิงอัน เขาสะพายกล่องไม้ วิ่งเหยาะๆ ถอยหลัง โบกมือบอกลากับหญิงชราด้วยรอยยิ้ม
ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเล็กๆ สีชาด ด้านในมีเหล้า มีกระบี่ มียุทธภพ
ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มเซียนกระบี่ขี้เมาคนหนึ่ง
หญิงชราดื่มเหล้าพลางอมยิ้มครุ่นคิด เด็กหนุ่มนิสัยดีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นเด็กสาวที่เขาชอบ จะเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดไหน?
—–