ตอนที่ 411 ข้อพิพาทของพี่น้อง

พันธกานต์ปราณอัคคี

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านนำนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าจวนแห่งหนึ่ง บนป้ายประตูเขียนอักษรสามตัวใหญ่ๆ ว่า “จวนซ่างกวาน”

 

 

สาวใช้สองคนที่แต่งตัวเหมือนกันยืนอยู่หน้าประตู เห็นทุกคนแล้วรีบรับเข้ามา คารวะอย่างนอบน้อมทีหนึ่งว่า “ขอบังอาจถามท่านผู้อาวุโสใช่แขกผู้มีเกียรติที่มาจากเซิงโจวหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

ผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงพยักหน้าเบาๆ ว่า “ใช่”

 

 

สาวใช้สองคนสีหน้านอบน้อมยิ่งขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโสกรุณารอสักครู่ บ่าวจะไปแจ้งท่านเจ้าบ้านเจ้าค่ะ”

 

 

สาวใช้คนหนึ่งในนั้นหันหลัง เพิ่งเดินขึ้นบันได ก็เห็นประตูใหญ่เปิดออกดังแอ๊ด หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา

 

 

หญิงสาวใส่ชุดม่วง ดูแล้วอายุไม่เกินยี่สิบ ทว่าทุกท่วงท่ากลับส่งกลิ่นอายของความสง่างามสุขุม พร้อมด้วยพลานุภาพที่เผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนที่พบเห็นเกิดความเคารพยำเกรง

 

 

“คารวะท่านเจ้าบ้านเจ้าค่ะ!” สาวใช้สองคนย่อลงพร้อมกัน

 

 

หญิงสาวพยักหน้าแผ่วเบา สายตาไม่แม้แต่จะกวาดมองสาวใช้สองคน รับตรงขึ้นไป ปากยิ้มว่า “สหายเต๋าทั้งสามท่านมาจนได้ รีบเชิญข้างในเร็ว”

 

 

“สหายเต๋าซ่างกวานจากกันร้อยปี ยังสง่างามดังเดิมนะ” ผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงหัวเราะเสียงดังฟังชัด

 

 

หญิงชุดม่วงผู้นี้ ก็คือเจ้าบ้านแห่งตระกูลซ่างกวาน ซ่างกวานจื่อเฟิ่ง

 

 

ซ่างกวานจื่อเฟิ่งคิ้วที่แต่งอย่างดีเลิกขึ้นแผ่วเบา ยิ้มจางๆ ว่า “สหายเต๋าเฉิงชมเกินไปแล้ว”

 

 

พูดจบเบือนสายตาแผ่วเบา ตกลงบนตัวนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอีกสองท่าน เน้นน้ำเสียงว่า “หัวหน้าตระกูลเผยไม่ได้มาหรือ?”

 

 

คำพูดนี้หลุดออกไป นักบำเพ็ญเพียรแซ่เผยที่ใบหน้าขาวสะอาดผู้นั้นหน้าฉายแววประหลาดแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว กลับกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลท่านปลีกวิเวกนานแล้ว ไม่ค่อยถามไถ่เรื่องในตระกูลแล้ว”

 

 

“เอ่อ” ซ่างกวานจื่อเฟิ่งสายตาเป็นประกาย ตัวยืดตรงว่า “สหายเต๋าทุกท่านเชิญด้านใน”

 

 

ผู้เฒ่าสามตระกูลเฉิงและผู้เฒ่าตระกูลจู้ที่ลักษณะวัยกลางคน พลางเดินเข้าข้างในพลางแอบสื่อสารกันทางแววตา แล้วเผยรอยยิ้มรู้กันออกมา

 

 

นึกถึงปีนั้นซ่างกวานจื่อเฟิ่งท่องเที่ยวฝึกตนถึงเซิงโจว ได้พบหัวหน้าตระกูลเผยที่เพิ่งก่อกำเนิดไม่นานเข้าโดยบังเอิญ ไม่คิดว่าจะเกิดรักแรกพบ คิดจะพากลับเฟิ่งหลินโจวเป็นอนุสามี

 

 

หัวหน้าตระกูลเผยหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยินยอม กลับถูกซ่างกวานจื่อเฟิ่งฟาดสลบ แล้วใส่กระสอบเอาตัวไป ยังเพราะระหว่างทางได้แม่นางท่านหนึ่งช่วยไว้

 

 

หลังจากนั้น ระหว่างทั้งสามคนมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นอีก พวกเขา จะมากจะน้อยก็ได้ยินมาบ้าง

 

 

บัดนี้แม่นางท่านนั้นหายสาบสูญไป หัวหน้าตระกูลเผยปลีกวิเวกอยู่ในตระกูล กลับมีเพียงซ่างกวานจื่อเฟิ่งที่อิสระไม่ยึดติดที่สุด มีทั้งสามีและอนุสามี อีกทั้งดูแลตระกูลซ่างกวานจนเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะหลายปีมานี้ไม่รู้ได้กุญแจลับของแดนเสวียนเทียนประดิษฐ์มาได้อย่างไร ยิ่งยกตระกูลซ่างกวานไปถึงตำแหน่งสูงสุด

 

 

ซ่างกวานจื่อเฟิ่งนำทุกคนเข้ามาในจวน แล้วนำนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามท่านเข้าโถงหลักด้วยตนเอง คนอื่นๆ มีสาวใช้ในจวนจัดการที่อยู่ให้ก็ไม่ขอพูดถึงแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินกำชับถังมู่เฉินอย่าเดินส่งเดชก่อความยุ่งยาก ตนก็ขลุกอยู่ในห้องบำเพ็ญเพียรขึ้นมา

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

 

“แม่นางมั่ว ข้าเอง”

 

 

คือเฉิงหรูยวน

 

 

“สหายเต๋าเฉิงเชิญเข้ามา” มั่วชิงเฉินโบกแขนเสื้อ ประตูก็เปิดเองโดยไร้ลม

 

 

เฉิงหรูยวนก้าวเท้าเดินเข้ามา นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ตามที่มั่วชิงเฉินบอก แล้วพูดเปิดอกว่า “แม่นางมั่ว ข้ารบกวนผู้เฒ่าสามถามเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลแล้ว”

 

 

“เอ่อ เป็นเช่นไรบ้าง?” มั่วชิงเฉินโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มือกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เฉิงหรูยวนสังเกตเห็นความตื่นเต้นของมั่วชิงเฉินได้อย่างฉับไว จึงยิ้มว่า “ขอเพียงจ่ายหินวิญญาณเพียงพอ ไม่เป็นปัญหา”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” มั่วชิงเฉินโล่งอก การเดินทางไปเสวียนโจว จะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว

 

 

“ทว่า…” เฉิงหรูยวนน้ำเสียงเปลี่ยนว่า “เพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลได้มาจากการเลียนแบบค่ายกลเคลื่อนย้ายบรรพกาล ต่างกับค่ายกลเคลื่อนย้ายทั่วไปมากนัก มันไม่สามารถเปิดใช้ได้ตลอดเวลา หากแต่ต้องเป็นในยามแสงจันทราเจิดจรัสที่สุดของทุกปี”

 

 

“แสงจันทราเจิดจรัสที่สุด?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแผ่วเบา แล้วนึกขึ้นได้ว่า “หรือว่าคือคืนไหว้พระจันทร์?”

 

 

เฉิงหรูยวนพยักหน้าเห็นด้วยว่า “ใช่แล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินครุ่นคิดว่า “บัดนี้เดือนหกแล้ว เช่นนี้แล้ว ยังมีเวลาสองเดือน?”

 

 

เฉิงหรูยวนพยักหน้ายิ้มว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ เวลาสองเดือน แม่นางมั่วไม่จำเป็นต้องใจร้อน งานประลองยุทธกำหนดไว้วันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดพอดี แม่นางมั่วและสหายเต๋าถังสามารถชมการประลองก่อน ก็ไม่นับว่าเสียเวลา”

 

 

“เราชมการประลองได้หรือ?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ

 

 

เฉิงหรูยวนเห็นท่าทางประหลาดใจของนาง แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ว่า “แน่นอนต้องได้สิ การประลองยุทธครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ของเฟิ่งหลินโจว แม้จำนวนคนเข้าร่วมประลองไม่มาก ยกตัวอย่างเช่นเซิงโจวเรา ก็มีเพียงเจ็ดคนที่ได้ดอกสำลีตกสวรรค์สีแดง ทว่าคนชมการประลองกลับไม่ได้จำกัด สถานที่ประลอง ก็อยู่บนยอดเขาจิ่วเฟิ่ง ขอเพียงเต็มใจ ไม่ว่าใครก็สามารถไปได้”

 

 

“เช่นนี้แล้ว ถึงเวลามิผู้คนมืดฟ้ามัวดินหรือ?”

 

 

เฉิงหรูยวนส่ายหน้าว่า “เขาจิ่วเฟิ่งภูมิประเทศอันตราย อีกทั้งยังมีปราณประหลาด มีเพียงนักบำเพ็ญเพียรที่ตบะตั้งแต่ก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงปีนถึงยอดเขาได้ ดังนั้นถึงเวลาคนชมการประลองต้องไม่น้อยแน่ ทว่าคนมืดฟ้ามัวดิน เกรงว่าจะไม่ถึงปานนั้น”

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ดีไม่ดีถึงเวลาพวกเราพี่น้องก็ปีนขึ้นยอดเขาจิ่งเฟิ่งไปเสริมบารมีให้สหายเต๋าเฉิงแล้ว” มั่วชิงเฉินนึกถึงว่าสามารถได้ชมการประลองของยอดฝีมือจากห้าทวีป เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว

 

 

เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ขอให้แม่นางมั่วสมพรปากแล้ว”

 

 

เฉิงหรูยวนนำคำพูดมาถึงแล้ว จึงลุกขึ้นอำลา มั่วชิงเฉินลุกขึ้นส่งถึงหน้าประตู

 

 

มั่วชิงเฉินขลุกอยู่ในห้องบำเพ็ญเพียรตลอด ติดต่อกันเจ็ดวัน ถังมู่เฉินทนจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงลากนางออกมา

 

 

“น้องพี่ ขืนเจ้าขลุกอยู่แต่ในห้องอีก ต้องราขึ้นแน่ แสงแดดสดใสเพียงนี้ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่ใหญ่”

 

 

“เดินเล่นที่ไหนล่ะ?” มั่วชิงเฉินมองหน้าถังมู่เฉินแล้วยิ้มอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “ไปเดินตลอดล่ะก็ พี่ใหญ่ไม่กลัวมีเรื่อง? อย่าลืมว่าที่นี่คือเฟิ่งหลินโจว”

 

 

ถังมู่เฉินคลี่พัดพับดังพรึบ ยิ้มร่าว่า “ใครบอกว่าจะเดินตลาดล่ะ จวนซ่างกวางใหญ่โตเพียงนี้ เราไปเดินสวนดอกไม้ด้านหลังไม่ได้หรือไง”

 

 

มั่วชิงเฉินยังอยากพูดอะไรอีก กลับถูกถังมู่เฉินเอาด้ามพัดเคาะศีรษะว่า “พอแล้ว ขืนเจ้าคิดมากอีกระวังจะคิดจนเป็นยายแก่ ก็แค่เดินเล่นในสวนดอกไม้จะมีเรื่องอะไร บัดนี้คนที่อยู่ในจวนซ่างกวน ไม่ใช่เพื่อเข้าร่วมการประลองยุทธเลือกคู่ ก็คือคนมาเป็นตัวประกอบเช่นพวกเรา อีกทั้งคนของจวนซ่างกวานก็ไม่กล้าทำเสียระเบียบ กว่าเจ้าจะมาเฟิ่งหลินโจวได้สักครั้งไม่ใช่ง่ายๆ วันๆ ขังอยู่แต่ในห้องถือเป็นการฝึกตนภาษาอะไร!”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วก็รู้สึกมีเหตุผลอยู่บ้าง จึงไม่ปฏิเสธอีก เดินตามออกไป

 

 

สวนดอกไม้ด้านหลังของตระกูลซ่างกวานใหญ่มาก ควรบอกว่าจวนทั้งหลังก็คือสวนป่าแห่งหนึ่ง อิฐสีเขียวกระเบื้องสีเขียวซ่อนเร้นภายใน ศาลาพลับพลางดงามตระการตา

 

 

ทั้งสองคนเดินเรื่อยเปื่อยพักหนึ่ง เห็นมีซุ้มดอกไม้อันหนึ่ง ดอกจื่อเถิงบานเป็นพวงๆ ดูครึกครื้นนัก จึงหยุดฝีเท้าชื่นชมอย่างห้ามตนเองไม่ได้

 

 

เหลือบเห็นลึกเข้าไปในซุ้มดอกไม้มีม้าหินยาวสีเขียวตัวหนึ่ง ภายใต้การบดบังของดอกจื่อเถิงโผล่มุมสีเขียวมรกตออกมาเพียงมุมเดียว ถังมู่เฉินลากมั่วชิงเฉินไว้ว่า “น้องพี่ เราเข้าไปนั่งเถอะ ข้างในต้องทั้งหอมทั้งเย็นแน่”

 

 

มั่วชิงเฉินเบ้ปากว่า “เจ้ายังกลัวร้อนหรือ?”

 

 

ที่นี่อุณหภูมิปกติ ต่อให้เป็นช่วงเดือนหกก็เหมาะสำหรับคนธรรมดาอาศัยอยู่ สำหรับพวกเขานักบำเพ็ญเพียรแล้ว ยิ่งไม่มีความรู้สึก

 

 

ถังมู่เฉินหัวเราะแหะๆ ว่า “ให้เจ้าเข้ามาก็เข้ามา ข้ามีของดีให้เจ้ากิน”

 

 

กิน?

 

 

มั่วชิงเฉินเกิดสนใจขึ้นมาเล็กน้อย แหวกดอกจื่อเถิงพวงแล้วพวงเล่าเดินเข้าไป

 

 

เก้าอี้ยาวหินเขียวข้างในดูเหมือนทำจากหยกเย็น นั่งลงไปไอเย็นก็ไล่ความร้อนอบอ้าวไปหมด แล้วก็เห็นถังมู่เฉินถอนใจอย่างสบาย ล้วงของออกมาสิ่งหนึ่งท่าทางลึกลับ

 

 

มั่วชิงเฉินเพ่งพิศของในมือถังมู่เฉิน ไม่คิดว่าจะเป็นแตงโมลูกใหญ่กลมดิกลูกหนึ่ง เพียงแต่เปลือกแตงไม่ใช่สีเขียวเหมือนปกติ หากแต่เป็นสีฟ้า

 

 

ถังมู่เฉินวางแตงโมลงอย่างดี ในมือมีกริชเพิ่มมาเล่มหนึ่ง พลางหั่นแตงโมพลางเอ่ยว่า “วันๆ เจ้าขลุกอยู่แต่ในห้องต้องไม่รู้แน่ นี่เป็นผลิตผลเฉพาะของเฟิ่งหลินโจวเชียวนะ ชื่อว่าเมาชายงาม มีชื่อเสียงมาก หากมาเฟิ่งหลินโจวแล้วไม่ได้กินแตงโมนี้ เช่นนั้นก็มาเสียเที่ยวแล้ว”

 

 

พูดพลางหยิบแตงโมขึ้นชิ้นหนึ่งยื่นให้มั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินรับมา กัดเบาๆ คำหนึ่ง น้ำที่หวานเย็นฉ่ำสายหนึ่งกระตุ้นปุ่มรับรสที่ปลายลิ้นให้ตื่นขึ้นมาทันที ที่ยิ่งพิเศษคือยังมีกลิ่นหอมของสุรา รสชาติล้ำเลิศจริงด้วย

 

 

“อร่อยสินะ?” ถังมู่เฉินยิ้มแฉ่ง เหมือนเด็กที่จะขอคำชม

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจริงใจว่า “อร่อย”

 

 

“เช่นนั้นเจ้ากินเยอะๆ สิ” ถังมู่เฉินพูดพลาง มือกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สองสามคำก็จัดการหมดชิ้นหนึ่ง ไม่นานนักด้านหน้าเขาก็เหลือแต่เปลือกแตงโมแล้ว

 

 

ถังมู่เฉินกินจนพอประมาณแล้ว ถึงลดความเร็วลง พลางกินพลางซุบซิบขึ้นมาว่า “น้องพี่ เจ้ารู้หรือไม่ การประลองยุทธเลือกคู่ครั้งนี้มีสามสิบกว่าคนเต็มๆ เลยนะ คนมากมายเพียงนี้ แย่งคุณหนูใหญ่สามท่าน ช่างน่าสนใจจริงๆ”

 

 

“สามท่าน?”

 

 

ถังมู่เฉินตบหน้าผากว่า “นี่เจ้าก็ไม่รู้ ดูท่าหลายวันมานี้เจ้าไม่ออกจากห้องเลยจริงๆ ที่แท้นะ ตระกูลซ่างกวานเลือกคู่ครั้งนี้ไม่ใช่คุณหนูท่านเดียว หากแต่เป็นสามท่าน!”

 

 

“เอ่อ เช่นนั้นโอกาสของพวกสหายเต๋าเฉิงก็มากสักหน่อย” มั่วชิงเฉินคิดไปเรื่อยเปื่อย

 

 

เพิ่งพูดจบจู่ๆ ก็ได้ยินถังมู่เฉินหัวเราะแหะๆ สองทีว่า “ที่จริงนะ โอกาสมากกว่าที่เจ้าคิดมาก”

 

 

“เอ่อ?”

 

 

ถังมู่เฉินกดเสียงต่ำว่า “การประลองยุทธเลือกคู่ครั้งนี้นะ คุณหนูสามท่านนี้แต่ละคนต้องเลือกสามีหนึ่งท่าน อนุสามีสามท่านแน่ะ เจ้าว่าโอกาสไม่น้อยสินะ แหะๆ ข้าว่าเฉิงหรูยวนและเผยสิบสาม ต้องสมปรารถนาทั้งคู่แน่นอน มีก็เพียงแตกต่างที่ฐานะเท่านั้น”

 

 

ไม่ว่ามั่วชิงเฉินฟังอย่างไร ก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของถังมู่เฉินเต็มไปด้วยการมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น กำลังจะเตือนเขาว่าอย่าได้ใจจนลืมตัว จู่ๆ สีหน้าก็จริงจังขึ้นมา ส่งเสียงทางจิตว่า “อย่าพูด มีคนจะเข้ามาแล้ว”

 

 

พูดจบโบกแขนเสื้อเก็บเปลือกแตงโมต่างๆ ขึ้น แล้วเปิดใช้กระดานคงวิญญาณเจ็ดดาวซ่อนเร้นกลิ่นอายร่างกายของทั้งสองไว้

 

 

ทั้งสองคนกลั้นใจเพ่งสมาธิ รออยู่พักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วร่าเริงเสียงหนึ่งดังมาว่า “พี่ใหญ่ น้องได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานท่านหาชายหนุ่มที่พิเศษมากได้คนหนึ่ง จะเอาเขามาทำหรูติ่งหรือ?”

 

 

“เจ้าฟังใครพูดล่ะ?” เสียงอีกเสียงหนึ่งแฝงด้วยความเย็นยะเยือกแท้ๆ ทว่าหางเสียงสั่นแผ่วๆ ยากจะปิดความเย้ายวน

 

 

“ก็น้องได้ยินมานี่นา พี่ใหญ่ ตกลงใช่หรือไม่ล่ะ น้องอยากรู้อยากเห็นมากเลยนะ ได้ยินว่า…”

 

 

เสียงเย็นและเย้ายวนนั้นว่า “ได้ยินว่าอะไร?”

 

 

เสียงใสแจ๋วก็หัวเราะฟู่ๆ ขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าคนผู้นั้น เป็นร่างหยางบริสุทธิ์น่ะสิ!”

 

 

เสียงหญิงสาวนั่นแฝงด้วยความโกรธเล็กน้อยว่า “เหลวไหล น้องรอง พี่ใหญ่ขอเตือนให้เจ้าใส่ใจเรื่องบำเพ็ญเพียรให้มาก หากขาดผู้ชาย อีกไม่นานก็จะมีสี่คนแล้ว อย่าคิดอะไรเหลวไหล!” พูดจบสะบัดแขนเสื้อจากไป

 

 

หญิงสาวที่เหลืออยู่ยืนอยู่ที่เดิน ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงพึมพำว่า “กินปูนร้อนท้อง!”