ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 265 พบหลี่กัง!

จอมศาสตราพลิกดารา

ประเด็นร้อนที่หลี่มู่ทุบหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนหรือผู้บังคับบัญชากองกำลังคมโลหิต ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ พร้อมทั้งทหารคนสนิทใต้บังคับบัญชายี่สิบนายจนสลบแล้วรูดทรัพย์ไป ก่อนจับโยนออกมาจากตรอกไล่หมูทั้งตัวเปลือยเปล่า ไม่นานนักก็แพร่ไปทั่วเมืองฉางอัน

ทั้งเมืองต่างฮือฮา

ก่อนหน้านี้ สี่ผีดิบแห่งสำนักยมบาลก็เจอแบบนี้เช่นกัน

ภายหลังไม่รู้ทำไม เจ้าสำนักยมบาลกลับไม่เอาความแล้ว

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าสำนักยมบาลก็เป็นขั้วอำนาจในยุทธจักร จะกระทำการในเมืองฉางอันก็ยังต้องระวังบ้าง อีกทั้งหลี่มู่ยังเป็นขุนนางของจักรวรรดิ ตำแหน่งขุนนางเมือง จะบุ่มบ่ามสังหารไม่ได้

แต่ ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่เป็นผู้บัญชาการของกองกำลังคมโลหิต หนึ่งในสามกองกำลังหลักของฉางอัน เป็นขุนนางขั้นสอง ว่ากันว่าเป็นคนจากกองกำลังรักษาวังเมืองฉิน ไม่ว่าจะเป็นลำดับขั้นขุนนางหรือภูมิหลัง ก็ล้วนอยู่เหนือหลี่มู่ทั้งสิ้น หลี่มู่กลับกล้าลงมือกับเมิ่งอู่โดยใช้วิธีเดียวกันกับสี่ผีดิบจากพรรคมารแบบนี้?

คราวนี้ หลี่มู่น่ากลัวว่าจะแหย่รังแตนเข้าแล้วกระมัง?

เมิ่งอู่ก็ซวยนัก เป็นถึงผู้บัญชาการของกองกำลังทหาร แต่กลับนำทหารคนสนิทยี่สิบนายไปตรอกไล่หมูโดยไม่ป้องกันเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายโดนจับรูดทรัพย์โยนออกมาจากตรอกไล่หมู นับจากวันนี้ชื่อเสียงย่อยยับแล้วโดยสิ้นเชิง นี่คือความอับอายชั่วชีวิตทีเดียว แล้วจะบังคับบัญชาทหารอย่างไร?

ทุกคนล้วนเฝ้ารอฉากที่กองกำลังคมโลหิตกำราบเรือนซอมซ่อ

หลี่มู่ต่อให้ฝืนชะตาสวรรค์ ใช้กำลังของคนคนเดียวต่อต้านกองทหารทั้งกอง นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ทว่าฉากแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้น กลับมีเรื่องเกี่ยวกับหลี่มู่อีกเรื่องหนึ่งเล่าลือไปทั่วเมืองฉางอัน

‘พรรคจันทราโลหิต’ ปล่อยข่าวออกมาว่า ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เจ้าสำนักปิดด่านฝึกตน จึงออกมาไม่ทันเวลา ดังนั้นวันท้าประลองกับหลี่มู่ที่เขายอดระกาจึงยืดออกไปเป็นสามเดือนให้หลัง

ครั้งนี้ เป็นข่าวที่ปล่อยมาจากฝั่งพวกเขาทางเดียว

ครึ่งปีที่ผ่านมา พรรคจันทราโลหิตขยายไปในเมืองฉางอันอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงอำนาจไม่น้อย โดยเฉพาะในยุทธจักรชั้นล่าง กล่าวได้ว่าควบคุมขั้วอำนาจทั้งหลายโดยไม่มีใครรู้ตัว แม้แต่ฐานที่มั่นยังตั้งอยู่ในเมืองฉางอันแล้ว เจ้าสำนักจอมมารจันทราโลหิตยิ่งเป็นม้ามืด เอาชนะยอดฝีมือที่มีชื่อมานมนานติดกันหลายคน และถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ร้ายกาจคนหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ หลังจากที่พรรคจันทราโลหิตประกาศว่าจอมมารจันทราโลหิตจะท้าประลองกับหลี่มู่ที่เขายอดระกา หลายคนไม่รู้ว่าหลี่มู่เป็นใคร ครั้นตรวจสอบแล้วก็คิดว่าจอมมารจันทราโลหิตชนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้กระแสลมตีกลับ หลี่มู่มาทีหลังแซงหน้าไปก่อน อำนาจสะเทือนเมืองฉางอัน ส่วนจอมมารหลายวันมานี้ไม่เห็นแม้เงา พรรคจันทราโลหิตยิ่งย้ายฐานที่มั่นจนว่างโล่งอย่างน่าประหลาด

ตอนนี้แทบจะทุกคนล้วนมั่นใจ จอมมารจันทราโลหิตท้าดวลหลี่มู่คือการรนหาที่ตายแท้ๆ

พรรคจันทราโลหิตประกาศเช่นนี้ แม้อยู่เหนือความคาดหมายแต่ก็สมเหตุสมผล

แต่เมื่อหลี่มู่ได้ยินข่าวนี้ ก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง

เขาเตรียมตัวพร้อมจะเดินทางไปเขายอดระกาวันพรุ่งนี้แล้ว

หลังจากที่ปล้นทรัพย์ฉู่หนานเทียน สี่ผีดิบ และเมิ่งอู่ ในที่สุดราชาปีศาจหลี่มู่ก็ได้ลิ้มรสความหอมหวานของการ ‘รับพัสดุ’ แล้ว แต่ก่อนฝึกฝนหาเงินอย่างลำบากยากเย็น ยังหาเงินได้มิสู้รบราสักสองสามรอบเลย มิน่าเล่าคนมากมายถึงได้ชอบเป็นคนเลว คนไม่ขูดรีดไม่รวย ม้าไม่กินหญ้ากลางคืนไม่อ้วน

หัวหน้าอย่าง ‘จอมมารจันทราโลหิต’ น่าจะมีทรัพย์สมบัติทรัพยากรมากมาย หากทุบให้สลบแล้วแย่งมา จะไม่ร่ำรวยขึ้นอีกหรือไร?

น่าเสียดาย จอมมารจันทราโลหิตหางจุกก้นเสียแล้ว

หลี่มู่รู้สึกว่าตัวเองต้องจัดการจอมมารจันทราโลหิตได้อย่างง่ายดายแน่นอน

เพราะเจ้านี่ยังสู้ซ่างกวนอวี่ถิงก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บไม่ได้เลย

ในเมื่อจอมมารจันทราโลหิตตาขาวไปแล้ว เช่นนั้นหลี่มู่ก็ไปท้าสู้รับพัสดุถึงที่ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนอยู่ที่ไหน

เขาต้องรีบซ่อมแซมอาวุธ หลอมดาบวัฏจักรขึ้นใหม่

หลี่มู่ยุ่งตัวเป็นเกลียวทุกวัน ฝึกฝน ‘หมัดยุทธ์แท้’ และ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฝึกดาบ หลอมดาบ ไปดูดซับพลังวิญญาณชีพจรมังกรที่สุสานทหาร ชี้แนะซ่างกวนอวี่ถิงฝึกฝนวิชายุทธ์ และดูดซับผลเก็บเกี่ยวหลังจากสู้กับ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าในวันนั้น โดยเฉพาะแก่นแท้ของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ การขับเคลื่อนพลังฟ้าดิน และกระแสพลังงานซ่อนเร้นรูปร่างตาข่าย ทั้งหมดจุดประกายให้หลี่มู่ได้มาก

อีกทั้งเพราะฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่จึงแข็งแกร่ง เมื่อรวมกับวิชาเต๋าที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้มั่วซั่ว ก็สามารถเปิดมิติเก็บของต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ทำให้หลี่มู่นึกสงสัย ซินแสเฒ่าเป็นโจรชั่วช้าที่ท่องไปในดาราสมุทร แต่เพราะล่วงเกินคนมากมาย จึงถูกไล่สังหารจนต้องหนีเอาตัวรอดไปยังที่ห่างไกลกันดารเช่นบนโลกหรือไม่

‘เทพสังหารผมสีชาด’ เป็นผู้อาวุโสของฐานที่มั่นหลักสำนักดับนิวรณ์ ในกายมีของดีไม่น้อย ในนั้นมีหินพิลึกที่แฝงพลังประหลาด เป็นสีแดงโลหิต ไม่รู้เอาไว้ทำอะไร วันที่กวาดค้นร่างของฉู่หนานเทียนก็มีหินแบบนี้เช่นกัน ในร่างของผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์และผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์ล้วนมีสิ่งนี้ น่าจะเป็นของล้ำค่าอะไรสักอย่าง หลี่มู่จึงเก็บเอาไว้ก่อน นอกจากนี้ยังมีตั๋วทอง เหล็กเทวะ อาวุธ ของวิเศษ ค่ายกลดารา เคล็ดวิชายุทธ์ ซึ่งส่วนมากเป็นเคล็ดวิชาลับต่างๆ ของสำนักดับนิวรณ์ และวิชาดาบ ‘สามท่าสังหารเทพ’

ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลังคมโลหิต เมิ่งอู่ก็อู้ฟู่เหมือนกัน ในตัวมีของดีไม่น้อย แต่ไม่มีหินประหลาดพวกนั้น

หลี่มู่เก็บตัวฝึกอยู่ในห้องลับหนึ่งวันเต็ม

ตอนบ่ายเขาถึงจะเลิกฝึก ออกมารับประทานอาหารเย็นกับเหล่าสาวน้อย

เหล่าสาวงามคึกครื้นมาก พูดคุยกันจ้อกแจ้ก พออยู่ร่วมกันนานเข้าก็พอจะจับนิสัยของหลี่มู่ได้ พวกนางจึงไม่หวาดกลัวเขาเหมือนตอนแรกๆ อีกต่อไป กลับหยอกล้อหลี่มู่ในบางครั้งเสียด้วยซ้ำ หลี่มู่ก็ไม่ถือสา ด้วยล้วนเป็นคนหนุ่มสาวด้วยกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องวางท่า ไม่มีความหมายอะไร

อุดอู้อยู่ในเรือนซอมซ่อนานแล้ว สาวน้อยทั้งหลายอยากออกไปสูดอากาศ แต่สถานการณ์ข้างนอกวุ่นวายนัก สุดท้ายหลี่มู่ก็ปฏิเสธไปโดยลงคะแนนอย่างประชาธิปไตย

อาการบาดเจ็บของซ่างกวนอวี่ถิงฟื้นฟูได้ไม่เลว ฝึกฝนใหม่ก็พัฒนาไปได้เร็วมากเช่นเคย

เพียงแต่หนีหวานกงยังสร้างใหม่ไม่เสร็จ จิตวิญญาณในทะเลความรู้สึกกลุ่มนั้นก็ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร กำลังค่อยๆ ศึกษามันอยู่

หลี่มู่ไม่มีข้อแนะนำที่ดีอะไร

เพราะวันนั้นหลังจากประสานหยินหยางรักษาอาการบาดเจ็บให้นาง ในหนีหวานกงของตนก็มีจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งควบคุมไม่ได้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พบประโยชน์และความหมายของมัน

หลังจากนั้น หลี่มู่ก็ออกจากเรือนซ่อมซ่อไป

เขาจะไปพบเจ้าเมืองชั่วคนนั้น

ใครจะรู้ เมื่อมาถึงหน้าประตูก็มองเห็นประกาศฉบับหนึ่งติดอยู่ที่กำแพงตรอกไล่หมู เนื้อหาที่เขียนอยู่บนนั้นบอกประมาณว่า ขุนนางเมืองหลี่มู่คบค้าเผ่าปีศาจ ทำความผิดมหันต์ ภายในสามวันให้ไปมอบตัวกับหน่วยลาดตระเวน และมอบตัวปีศาจจิ้งจอกแห่งสมาพันธ์การค้าวารีครามเสีย มิฉะนั้นตามกฎหมายแล้วจะต้องตาย

หลี่มู่อ่านจบ หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าน่าหัวเราะ

ผ่านมาแล้ววันกว่า กองกำลังคมโลหิตยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร การแก้แค้นของเมิ่งอู่มาช้ากว่าการคาดเดาของทุกคน ท่าดีทีเหลวนัก ทำให้ทุกคนไม่เข้าใจ กองกำลังลาดตระเวนติดประกาศแบบนี้จะทำสงครามมติมหาชนหรืออย่างไร?

สมองมีปัญหาแล้วกระมัง

หลี่มู่ฉีกประกาศ ขยี้ด้วยเท้าแล้วจากไป

หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป

ที่ว่าการประจำเมือง

หลี่มู่กำลังรออยู่ที่ด้านนอกโถงหลัก

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขามาถึงที่ว่าการเจ้าเมือง สองครั้งก่อนหน้านี้ เจ้าเมืองชั่วไม่อยู่ ให้หลี่มู่กลับไป เห็นได้ชัดว่ากำลังประเมินความอดทนเขา เพราะทุกครั้งที่ปรึกษาเถียนจะไล่หลี่มู่โดยใช้ประโยคว่า ‘ใต้เท้าเจ้าเมืองบอกว่าไม่อยู่’

แต่ว่าครั้งนี้ ในที่สุดเจ้าเมืองชายชั่วก็บอกให้หลี่มู่รออยู่ข้างนอกสักครู่

“ใต้เท้าเจ้าเมืองงานราชการรัดตัวขอรับ” ที่ปรึกษาเถียนยิ้มแห้ง

หลี่มู่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร

เพราะเขามองออกว่าเจ้าเมืองชั่วยุ่งจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ คนที่เดินเข้าๆ ออกๆ โถงหลักเป็นขุนนางจากอำเภอใหญ่ต่างๆ ในเมืองฉางอัน แน่นขนัดเหมือนกับลุงๆ ป้าๆ เข้าแถวแย่งซื้อของแถมไข่ตามซูเปอร์มาเก็ตเปิดใหม่บนโลก ในอ้อมแขนกอดฎีกาหรือเอกสารราชการหนาๆ มาขอพบเจ้าเมืองเพื่อปรึกษางานราชการ

เมืองฉางอันเป็นหัวเมืองชั้นในอันดับสองของจักรวรรดิฉินตะวันตก ปกครองดูแลสิบหกอำเภอ เขตแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีขุนนางหลายหมื่น ฎีกายาวเหยียดเป็นภูเขา นโยบายต่างๆ ถูกรับเข้ามาและส่งออกไปจากโถงหลักที่ว่าการประจำเมืองแห่งนี้ทุกวัน ตามคำพูดของที่ปรึกษาเถียน เจ้าเมืองชั่วจัดการกับงานราชการอย่างน้อยครึ่งวันทุกวัน ขยันเป็นอย่างยิ่ง

หลี่มู่นับถือชายชั่วคนนี้ขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว

ถึงแม้สันดานจะชั่วช้า แต่ความสามารถและความขยันทำให้คนหวาดหวั่นจริงๆ

เรื่องดูแลการปกครองน่าเบื่อกว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ระดับสูงของปีหนึ่งเสียอีก มีแต่พวกจิตไม่ปกติเท่านั้นถึงจะยืนหยัดและยังมีความสุขอยู่ในนั้นหลายสิบปีเหมือนวันเดียวได้

หลี่มู่คุยกับที่ปรึกษาสามสี่ประโยค ก็เก็บจิตใจ หลับตา ยืนอยู่ที่เดิม แล้วโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ หายใจฝึกฝน

ที่ปรึกษาเถียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งอุทานในใจ

ทั้งสองสมกับที่เป็นคนสกุลเดียวกัน ในกายมีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ เป็นคนที่ใช้ประโยชน์ในทุกชั่วขณะกันทั้งนั้น

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดก็ถึงตาหลี่มู่

“ท่านเจ้าเมืองเรียกขุนนางเมืองหลี่มู่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์เข้าพบ” เสียงองครักษ์ดังมา

ที่ปรึกษาเถียนนำหลี่มู่เข้าไปในโถงหลัก

โถงหลักกว้างโล่ง พื้นที่กว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้ทั้งสองฝั่ง ข้างหน้าเป็นโต๊ะตัวใหญ่ ด้านหลังโต๊ะเป็นชายหน้าตางดงามวัยกลางคน หน้าตาดุจหยกประดับครอบมวยผม คิ้วกระบี่ตาเป็นประกาย จมูกโด่ง ใบหน้าอวบอิ่มมีราศี ชุดขุนนางสีม่วงลายมังกรพลิกกาย บุคลิกสูงส่ง ดูน่าเกรงขามมาก

นี่ก็คือเจ้าเมืองหลี่กัง

ชื่อธรรมดา แต่ฐานะตำแหน่งไม่ธรรมดา

หลี่มู่แค่ได้เห็นก็นึกชมแล้ว ไม่พูดถึงอย่างอื่น คนคนนี้ยามหนุ่มต้องเป็นหนุ่มหน้าหยกระดับนำหายนะมาให้แน่ สวรรค์มอบพรสวรรค์เกาะผู้หญิงกินมาให้เขา มิน่าเล่าถึงได้ทำให้มารดาหลี่มู่เมื่อยังสาวเคลิบเคลิ้มหลงใหล หน้าตาดี แต่งกวีเป็น ทั้งยังสอบติดขุนนาง…มือสังหารสาวน้อยชัดๆ

ขุนนางคนอื่นเข้ามาในโถงหลักก็ล้วนตัวสั่นงันงก เคารพนบนอบ

หลี่มู่กลับประเมินรอบด้านอย่างสบายๆ ท่าทางพินิจพิจารณา ทำเอาที่ปรึกษาเถียนตกใจ แม้กระแอมเตือนสุดเสียง แต่หลี่มู่ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

หลี่กังก็กำลังประเมินหลี่มู่เช่นกัน

สายตาประสานกัน ในดวงตาของหลี่มู่ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

“ขุนนางเมืองหลี่ เจ้ามาขอพบข้าสามครั้งด้วยเรื่องอันใด?” หลี่กังเอ่ยปาก ในน้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไว้ด้วยพลังและอำนาจขุนนางที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง

………………