EP.368 ทหารราบเกราะหนักพ่าย

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.368 ทหารราบเกราะหนักพ่าย

แสงไฟในเมืองสาดส่องทั่วบริเวณพร้อมด้วยเสียงหัวเราะและสาปแช่ง ลานจัตุรัสเต็มไปด้วยกองหัวที่ถูกฟันขาด เหล่าทหารของกองทัพไล่นับจำนวนศพเพื่อนำไปเป็นความดีความชอบแลกกับเกียรติยศเมื่อกลับเมืองหลันเยี่ยน เช่นเดียวกับตู้ไห่ที่มีผลงานเพียงพอให้ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ

“แม่ทัพหลวง!”

ท่ามกลางความวุ่นวาย ฉือยิงเดินไปหาหลินมู่อวี่พลางยิ้ม “ไม่ไล่ตามพวกมันหรอกหรือ?”

“ไม่”

หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะพร้อมกล่าว “ทหารราบเกราะหนักยังไม่กลับมาเลยขอรับแม่ทัพฉือ”

“บางทีตอนนี้อาจไล่ตามอยู่”

ฉือยิงคลี่ยิ้ม “อย่าห่วงไป ทหารราบเกราะหนักนับเป็นหนึ่งกองกำลังทหารฝีมือเยี่ยมที่สุดในแผ่นดิน ในดินแดนแห้งแล้งนี้คงไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้แน่”

“ข้าอยากเข้าพบท่านเซินเว่ยโหวหน่อย”

“อืม ข้าจะพาท่านไปเอง”

“ขอรับ”

เมื่อหลินมู่อวี่และฉือยิงมาถึงโถงใหญ่ใจกลางเมือง ก็พบว่าหมินจ้าน หวังซี ซูเหวินเทียน และคนอื่นๆ กำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จกันอยู่ หมินยวี่หลินซดไวน์อย่างหนักจนเริ่มเมาพลันเห็นหลินมู่อวี่เดินมา เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แม่ทัพหลวงมีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ? การต่อสู้กับหลงเซียนหลินในเมืองนั้นช่างยอดเยี่ยม…จนแทบไม่เหลือความดีความชอบให้เรา ฉะนั้นยังต้องการสิ่งใดอีก…กังวลเรื่องปีศาจพวกนั้นหรือ?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วพลางกล่าว “ท่านเซินเว่ยโหวเมามากแล้ว ข้ามาเพื่อแจ้งข่าวให้ท่านทราบ…ทหารราบเกราะหนักยังไม่กลับมา”

“โอ้?”

หมินยวี่หลินชะงักไปชั่วครู่พลันกล่าว “เหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับ?”

หมินจ้านประสานหมัดพลางกล่าว “ท่านพ่อ เช่อเถี่ยเฟิงนำทหารราบเกราะหนักไล่ล่าจักรวรรดิอี้เหอตามคำสั่งอย่างเอาเป็นเอาตาย และด้วยกลางคืนนั้นอันตรายนัก บางทีพวกเขาอาจตั้งค่ายพักอยู่ที่ไหนสักแห่ง”

“ไม่ใช่”

แววตาหมินยวี่หลินเริ่มเป็นกังวล “หากตั้งค่ายอยู่ข้างนอกจริง พวกนั้นต้องส่งจดหมายมาแจ้งข้า ทว่าไม่มีสารใดแจ้งมาสักฉบับ…ช่างแปลกนัก หมินจ้าน…สั่งให้กองทัพเทียนฉงส่งหน่วยสอดแนมไปตามหาทหารราบเกราะหนัก หากพบแล้วให้แจ้งกลับทันที เข้าใจหรือไม่?”

หมินจ้านพยักหน้ารับ “รับทราบขอรับ!”

“ท่านผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์”

หมินยวี่หลินยิ้มกล่าวทั้งที่ยังอยู่ในการเมา “นั่งก่อนเถิด แม้จะเป็นต้นฤดูร้อน ทว่ามณฑลหลิงตงยังหนาวเย็นนัก ดื่มเพื่ออุ่นร่างกายกันหน่อยดีหรือไม่?”

หลินมู่อวี่ไม่ปฏิเสธและนั่งตามคำเชื้อเชิญ ทว่าเมื่อดื่มไปได้สองสามแก้ว เขาก็พลันลุกขึ้นกล่าว “ท่านเซินเว่ยโหว วันนี้ข้ายังมีงานต้องทำ ขอตัวนำกองทัพศักดิ์สิทธิ์ไปลาดตระเวนรอบเมืองก่อน”

“อืม ทันทีที่ได้ข่าวทหารราบเกราะหนัก ข้าจะส่งคนไปแจ้งทันที”

“ขอบพระคุณท่านเซินเว่ยโหว!”

ทันทีที่หลินมู่อวี่จากไป หวังซีพลันกล่าวด้วยสายตาเย็นชา “หลินมู่อวี่ผู้นี้ช่างมีท่าทีหยิ่งผยองนัก คงเป็นเพราะได้รับการเชื่อใจจากองค์จักรพรรดินีสิท่า…หึ! จักรพรรดิองค์ก่อนกล้ารับเลี้ยงคนขลาดเขลาเช่นนี้ได้อย่างไร น่าละอายยิ่ง!”

หมินยวี่หลินโบกมือปัดพลันยิ้ม “ไม่ใช่ดังที่เจ้าคิด แม่ทัพหวังคงเห็นแล้วว่าชายผู้นี้มีความคิดลึกล้ำเพียงใด คงมีแต่เขาเสียกระมังที่สังเกตว่าทหารราบเกราะหนักหายไปนานผิดปกติ ส่วนเช่อเถียเฟิงนั้นเป็นคนละโมบในอำนาจ หากเขาไม่หักห้ามใจ ตั้งแต่เช้าพรุ่งนี้เราคงไม่ได้เจอทหารราบอีกแล้ว”

“ขอรับ” หวังซีตอบรับพลันเอ่ยถาม “ท่านขุนนาง จะจัดการกับหัวของพวกกบฏอี้เหออย่างไรดีขอรับ?”

“แขวนพวกมันไว้บนกำแพงเมือง ให้คนทั้งเมืองตงฉวงเห็นว่าการเข้าร่วมกับพวกอี้เหอต้องพบจุดจบเช่นไร”

“ขอรับ!”

สายลมยามใกล้รุ่งสางนั้นหนาวเย็นยิ่ง หลินมู่อวี่นั่งกอดกระบี่วิญญาณมังกรอยู่ใต้ป้อมปราการผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่านานเท่าไรกระทั่งมีคนมาปลุก “ท่านพี่ ตื่น!”

“อะไร?” หลินมู่อวี่ลืมตาก่อนจะพบว่ามีกระโจมเล็กๆ ตั้งอยู่ข้างบนและฝนเริ่มตกแล้ว หยาดน้ำจากฟ้าชะล้างคราบเลือดบนพื้นจนสิ้น

ฉินเหยียนกล่าว “รุ่งสางแล้วยังไม่มีวี่แววของทหารราบเกราะหนักเลยขอรับ”

“ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วถาม “มีนกส่งสารมาหรือไม่?”

“ไม่มีขอรับ”

“แปลกจริง…ทหารราบตั้งหลายพัน จะไม่มีนกสักตัวเลยหรือ?”

“อาจเป็นเพราะฝนทำให้นกส่งสารบินไม่ได้ขอรับ”

“เป็นไปได้…”

ทันใดนั้นมีทหารส่งสารคนหนึ่งควบม้าตะโกนมาแต่ไกล “ท่านเซินเว่ยโหว มีคนส่งสารมาแจ้งว่ามีของขวัญให้ขอรับ!”

หมินยวี่หลินชุดคลุมสีดำยืนบนกำแพงพลันเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “มากันกี่คนแล้วนำสิ่งใดมาให้ข้า?”

“มาคนเดียวขอรับ ส่วนเรื่องของขวัญข้าไม่ทราบขอรับ”

“ให้เข้ามาได้”

“ขอรับ!”

ท่ามกลางสายฝน ชายผู้หนึ่งสวมชุดคุ้นตาควบม้ามาพร้อมกล่องสีดำในมือ เมื่อถึงกำแพงเมืองชายผู้นั้นวางกล่องไว้บนพื้นก่อนเงยหน้ามองหมินยวี่หลินพลันยิ้ม ใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มไปด้วยความดูถูก และไม่นานก็ควบม้าจากไป

“สิ่งใดอยู่ในกล่องกัน? กองทัพเทียนฉงส่งทหารสิบนายไปตามจับมันมา!”

“ขอรับ!”

หัวหน้าหน่วยคนหนึ่งเดินไปที่กล่องก่อนจะเปิดมันออก ทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในเขารีบผละร่างหนีด้วยความสั่นกลัว “ท…ท่านเซินเว่ยโหว…มันคือ…”

“มันคือสิ่งใดก็ว่ามาสิ!” หมินยวี่หลินตะคอกสั่ง

หัวหน้าหน่วยตอบเสียงสั่น “มันคือท่านเช่อเถี่ยเฟิง…!”

“หมายความว่าอย่างไร?!”

หมินยวี่หลินตกตะลึงรีบกระโดดลงกำแพงเมืองพร้อมปราณยุทธ์ที่แผ่ออกมาจากร่าง เขารุดไปที่กล่องก่อนจะพบว่ามันคือหัวของเช่อเถี่ยฟางจริงๆ

“จบ…จบสิ้น…” หมินยวี่หลินผงะถอยหลัง “ทหารราบเกราะหนักพ่ายแล้ว…”

“ท่านพ่อ!”

หมินจ้านรีบวิ่งเข้าไปประคอง “ท่านพ่อเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?”

“ข้าไม่เป็นไร”

หมินยวี่หลินยกกล่องขึ้นพลันกล่าว “ข้าประมาทเกินไป…รีบสั่งให้ทหารปิดเมืองตงฉวงห้ามใครเข้าออก ข้าอยากรู้ว่าใครทำกับทหารราบเกราะหนักเยี่ยงนี้!”

“ขอรับ!”

ทันทีที่เสียงกลองรบดังลั่นทหารก็รีบปิดประตูตามคำสั่ง

หมินยวี่หลินถือกล่องเดินเข้าเมือง เขามองหน้าหลินมู่อวี่อยู่ครู่หนึ่งทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทหารราบเกราะหนักเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของเขา บัดนี้ทั้งเช่อเถี่ยเฟิงและกองทัพได้หายไปแล้ว หมินยวี่หลินเริ่มคิดฟุ้งซ่าน ใครกันที่เก่งกาจมากพอสังหารกองทัพทั้งสองหมื่นนายนี้ได้เพียงชั่วข้ามคืน?

หลินมู่อวี่ปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณและหลับตา ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงรัศมีพลังอันแรงกล้าปรากฏขั้นไกลออกไปหลายกิโลเมตร ทั้งร่างกายสั่นสะท้าน “นี่มัน…”

“อะไรหรือขอรับท่านพี่?” ฉินเหยียนเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่กล่าวตอบ “พวกปีศาจใกล้เข้ามาแล้ว อาเหยียนเตรียมพร้อมรบ…สั่งให้กองทัพศักดิ์สิทธิ์เตรียมลูกศรเศวตรมณีให้เพียงพอต่อการรบ”

“ขอรับ!”

เมื่อกล่าวจบ หลินมู่อวี่ก็เร่งฝีเท้าไปหาหมินยวี่หลินทันทีพลันกล่าว “ท่านเซินเว่ยโหว!”

“ผู้นำวิหาร มีธุระอันใด?” ท่าทีหมินยวี่หลินไม่สู้ดีนัก

“พวกมันมาแล้ว” หลินมู่อวี่กระซิบกล่าว

“ข้ารู้…ทหารของจักรวรรดิอี้เหอใกล้เข้ามาแล้ว” หมินยวี่หลินกัดฟันกรอด

“ไม่ ไม่ใช่จักรวรรดิอี้เหอ มันคือเผ่าปีศาจ!” หลินมู่อวี่กล่าวต่อ

“ปีศาจหรือ?” หวังซียิ้ม “ท่านผู้นำวิหารยังติดใจพวกปีศาจอยู่อีกหรือ? คิดว่าพวกมันเป็นคนฆ่าทหารราบเกราะหนักรึ?”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ใช่”

หวังซีพูดไม่ออก กระทั่งหมินยวี่หลินกล่าวแทรก “กระจายคำสั่งให้ทั้งเมืองเตรียมการป้องกันและพร้อมรบ ห้ามใครออกจากเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต!”

“ขอรับ!”

ฝนเริ่มตกหนัก พลันปรากฏเงาทะมึนใกล้เข้ามา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งใดอยู่ในนั้นกระทั่งฝนหยุดตก กองทัพอมนุษย์มาหยุดอยู่หน้ากำแพงเมืองเสียแล้ว เหล่าทหารต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ฝ่ายตรงข้ามดูน่าเกลียดน่ากลัว พวกมันสวมชุดเกราะแข็ง ด้านหลังมีกระดองและปีก ฝ่ามือเป็นกรงเล็บหนามแหลม มือข้างขวาถืออาวุธ ส่วนข้างซ้ายจับหัวคน เมื่อสังเกตจนทั่วจึงพบว่าปีศาจแทบทุกตนกำหัวมนุษย์อยู่ในมือ

“พวกมันคืออะไร?!” หมินจ้านกัดฟันถาม “อมนุษย์พวกนี้หรือที่สังหารกองทัพทหารราบเกราะหนัก?”

หมินจ้านรีบหันมากล่าวกำหลินมู่อวี่ด้วยความนับถือ “ท่านผู้นำ นี่คือปีศาจที่เอ่ยถึงใช่หรือไม่?”

“ใช่ มันคือสิ่งที่ข้าเห็นคืนนั้น” หลินมู่อวี่พยักหน้า

หวังซีหรี่ตากล่าว “ดูเหมือนจะมีเพียงห้าพันตนเท่านั้น อย่าไปกลัว”

ตู้ไห่ประสานหมัดกล่าว “ท่านขุนนาง ขอทหารม้าให้ข้าหมื่นคน ข้าจะไปจัดการกับไอ้พวกแมลงสาบนั่นเอง!”

หมินยวี่หลินมองตู้ไห่พลันกล่าว “แม่ทัพจะสู้กับพวกมันทั้งที่ยังไม่รู้กำลังรบอย่างนั้นหรือ?”

“หากเรารอให้พวกมันโจมตีเมืองก่อน ข้าเกรงว่าอาจเอาชนะได้ยากนะขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”

หมินยวี่หลินนั่งมองกองทัพปีศาจนอกเมืองบนเก้าอี้ “แม่ทัพหวังซีและแม่ทัพซูเหวินเทียน ไปช่วยเตรียมทหารม้าหมื่นนายให้แม่ทัพตู้ไห่ไปเผชิญหน้ากับพวกมัน ส่วนผู้นำหลินมู่อวี่นำกองทัพศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันคนตามไปสมทบ”

ตู้ไห่และหลินมู่อวี่ประสานหมัดกล่าวพร้อมกัน “ขอรับ!”

คำสั่งทางทหารนั้นเป็นประกาศิต ทั้งคู่นำทัพเผชิญหน้ากับปีศาจที่ตู้ไห่เรียกว่า ‘แมลงสาบ’

ประตูเมืองทางเหนือถูกเปิดขึ้นโดยพลัน ทหารจักรวรรดิฉินออกรบอีกครา ตู่ไห่สวมเกราะทองนำหน้าทัพไป อายุปีที่สี่สิบสี่นี้นับว่าเป็นปีที่รุ่งเรืองที่สุดของเขา ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นสองเท่าหลังบรรลุสู่ขอบเขตปราชญ์ได้ ทำให้เขาสามารถเผชิญศึกได้อย่างไม่เกรงกลัว

ผืนดินหลังฝนตกถูกทัพม้าเหยียบย่ำจนแหลกเป็นโคลน หลินมู่อวี่ควบม้านำทัพศักดิ์สิทธิ์ตามไปอย่างช้าๆ พร้อมด้วยฉินเหยียนกับเฉินฮั่นที่กำลังตื่นเต้นกับการได้ออกศึก พวกเขาไม่ได้กังวลมากเท่าหลินมู่อวี่เนื่องด้วยไม่มีทักษะชีพจรวิญญาณให้สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของพวกมัน

………………………………….