บทที่ 908 ความลับในตึกใหญ่

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

สมองของหลิงม่อราวกับมีการสับเปลี่ยนเลนส์ภาพ เพราะภาพที่ฉายอยู่ในสมองได้เปลี่ยนจากห้องที่เต็มไปด้วยเลือดสาดเป็นโรงอาหารของพนักงาน และในโรงอาหาร หุ่นซอมบี้ของเขากำลังวิ่งไปตามช่องว่างระหว่างโต๊ะและเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

ท่ามกลางเสียงหอบหายใจเบาๆ วิสัยทัศน์ของหุ่นซอมบี้ส่ายไปส่ายมา แต่ยังคงจับจ้องไปยังบานหน้าต่างของโรงอาหารซึ่งอยู่ด้านหน้า—เสียงกรีดร้องดังมาจากตรงนั้น กระจกหน้าต่างที่อยู่โดยรอบเต็มไปด้วยรอยเลือดสีน้ำตาลเข้ม ข้างหน้าต่างบานเล็กมีถ้วยจานขึ้นสนิมและอาหารที่เน่าเสียขึ้นราจนกลายเป็นสีดำกองอยู่ เมื่อมองจากมุมมองสายตาของหุ่นซอมบี้ ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในได้ แต่กลับสามารถมองเห็นเงาร่างหนึ่งรางๆ

“รุ่นพี่!”

หุ่นซอมบี้เพิ่งจะพุ่งตัวไปถึงประตู ก็รีบผลักประตูออก

ห้องครัวที่อยู่หลังประตูบานนี้มืดมาก ทุกที่เต็มไปด้วยซากหม้อกระทะถ้วยจานที่ถูกทิ้งเรี่ยราด รวมถึงชั้นวางเหล็กสนิมเขรอะที่ล้มระเนระนาด กลางห้องเป็นเคาน์เตอร์ครัวยาวๆ หนึ่งแถว ซึ่งมีขยะกองพะเนินอยู่ข้างบนเหมือนกัน ทว่าสิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือศพศพหนึ่งซึ่งถูกห้อยไว้บนเพดานข้างบนเคาน์เตอร์ครัว สีหน้าหวาดกลัวยังคงฉายชัด เสื้อผ้าบนกายแม้เน่าเปื่อยจนเปลี่ยนสี แต่ก็พอดูออกว่าศพนั้นสวมผ้ากันเปื้อนไว้

นั่นเป็นศพของพ่อครัว แต่น่าเสียดายที่เรื่องเล่าของฟางอิ๋งไม่ได้เอ่ยถึงเขา

หลังจากที่เดินผ่านขาสองข้างนั้นที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศไม่ไหวติง หลิงม่อก็มองเห็นเงาร่างอีกเงาหนึ่ง

หลี่ย่าหลิน…เธอกำลังยืนหันหลังให้หลิงม่อ และจ้องเขม็งไปยังหน้าต่างที่อยู่ไกลออกไป

ด้านในของหน้าต่างบานนั้นติดตั้งม่านบานเกล็ดไว้ ด้านนอกเป็นเหล็กดัด เหลือไว้เพียงช่องระบายอากาศเล็กๆ ข้างบน แต่เวลานี้ใบพัดระบายอากาศได้ถูกแกะออกแล้ว เหลือไว้เพียงรูกลวงๆ รูหนึ่ง

“รุ่นพี่?” หลิงม่อลอบถอนหายใจ แต่ไม่นานก็ทำหน้าสงสัย

นี่มันมีอะไรน่ากรี๊ดกัน? อย่าว่าแต่มีศพถูกห้อยไว้หนึ่งศพเลย ถึงแม้ที่นี่จะถูกจัดฉากให้เป็นห้องครัวแล่เนื้อมนุษย์ ก็ไม่มีทางทำให้เธอตกใจได้แน่นอน…แทนที่จะร้อง “กรี๊ด” เธอน่าจะร้อง “ว๊าว” ซะมากกว่า…

ไม่รอให้หลิงม่อถาม หลี่ย่าหลินยกมือชี้ไปทางช่องระบายอากาศนั้น บอกว่า “ฉันมองเห็นดวงตาคู่หนึ่งตรงนั้น”

“อะไรนะ?” หลิงม่อชะงัก

ดวงตา? แต่อีกด้านของช่องระบายอากาศเป็นด้านนอกของอาคารไม่ใช่หรอ? หรือว่าจะเป็นซอมบี้?”

“ฉันสัมผัสได้ว่าที่นี่เพิ่งมีซอมบี้ระดับสูงตัวหนึ่งตายไป เพราะมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยออกมา” หลี่ย่าหลินพูดพึมพำ “แต่ซอมบี้ที่อยู่ข้างนอกไม่มีทางรู้เร็วขนาดนี้แน่ๆ อีกอย่าง ตึกแห่งนี้ก็ยังอันตรายมากไม่ใช่หรอ? พวกมันคงไม่เข้าใกล้สุ่มสี่สุ่มห้าแน่ๆ…”

หลิงม่อชะงัก แล้วพยักหน้า “เป็นอย่างนั้นจริงๆ…”

เขาเงยหน้ามองเพดานเหนือศีรษะ แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้

ความรู้สึกที่เหมือนถูกอาคารหลังนี้จับตามองตลอดเวลา ยังคงอยู่

และเหล่ากระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนที่สูญเสียการถูกควบคุมโดยซอมบี้ร่างแม่ ก็อาจเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิมเพราะการตายของฟางอิ๋ง

ยิ่งไม่ต้องพูด “ชิวาวา” คู่นั้นเลย…พลังต่อสู้ของเจ้าหมีกับเจ้าบุชเชอร์ เกรงว่าจะแข็งแกร่งรองลงมาจากฟางอิ๋งเลยทีเดียว ส่วนซอมบี้ฮวาฮวาตัวนั้น ถึงแม้เธอจะเร็ว แต่กลับด้อยเรื่องสติปัญญา ตั้งแต่ที่หลิงม่อหนีเข้ามาในโกดัง ก็ไม่เห็นเธออีกเลย…

“อีกอย่าง ตาคู่นั้น…น่าจะเป็นของมนุษย์” หลี่ย่าหลินบอก

หลิงม่อเบิกตากว้างทันที รีบสาวเท้าไปทางช่องระบายอากาศ และคว้าใบพัดที่อยู่ตรงนั้นทันที

ดูจากภายนอก ใบพัดนี้เก่ามากแล้ว ไม่เพียงมีฝุ่นหนาทั้งด้านนอกและด้านใน แต่ยังมีคราบมันเป็นชั้นๆ ด้วย ทว่าหลังจากที่หลิงม่อดูอย่างละเอียด กลับค้นพบจุดผิดสังเกตบางอย่าง บนสายไฟที่อยู่ด้านหลังใบพัดพวกนั้น มีรอยกระดำกระด่างอยู่ไม่น้อย…เขาใช้นิ้วมือบีบสายไฟเบาๆ จนเกิดเป็นรอย แล้วก็พบว่ารอยที่เขาสร้างขึ้นคล้ายกับรอยพวกนั้นมาก

“มีคนถอดมันออก…” หลิงม่อรื้อสายไฟพวกนั้น และจับใบพัดมาพลิกตรวจสอบดูด้านหลังและขอบๆ ไม่นานก็สูดหายใจลึก “แถมยังไม่ได้ถอดแค่ครั้งเดียวด้วย…” เขาเงยหน้ามองไปทางช่องระบายอากาศ บอกว่า “มีคนมาที่นี่บ่อยๆ”

พูดไป เขาก็ยื่นมือไปลูบเบาๆ จากนั้นก็ถูนิ้วไปมา บอกว่า “ตามคาด ข้างบนนี้มีแค่คราบฝุ่นบางๆ นี่แสดงว่าอย่างน้อยในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีคนเคยมาที่นี่ รุ่นพี่!” เขาหันกลับไปเรียกขาน

หลี่ย่าหลินเดินเข้ามาอย่างรู้งาน เธอดีดตัวขึ้นไปเบาๆ ใช้จูบอสรพิษแทงเข้าไปในช่องว่างหน้าต่าง และห้อยตัวอยู่ข้างบนอย่างง่ายดาย หลิงม่อสลับมุมมองสายตาทันที และเขาก็มองเห็นทุกซอกมุมของช่องระบายอากาศอย่างชัดเจน

และหากมองจากมุมนี้ ก็จะสามารถมองเห็นข้างนอกได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นพุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกล หรือบนพื้นโล่งๆ ข้างล่าง ก็ไม่เห็นเงาคนเลยแม้แต่น้อย คิดว่าเจ้าคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ คงจะถูกเสียงกรี๊ดของหลี่ย่าหลินทำให้ตกใจจนหนีเตลิดไปแล้ว…

“ตรงนี้มุดเข้าไปได้หนึ่งคน” หลี่ย่าหลินบอก พลางมุดร่างกายท่อนบนเข้าไป

“มุดเข้าไปได้แค่เด็กกับผู้หญิงสินะ” หลิงม่อบอก

“ถ้านายพยายามหน่อยก็น่าจะได้” หลี่ย่าหลินลองมุดเข้ามุดออกหนึ่งรอบ และยื่นมือออกไปลูบคลำข้างนอก “ตรงนี้มีรอยขีดข่วนอยู่ไม่น้อยเลย”

“เข้าใจแล้ว ลงมาเถอะ” หลิงม่อเงยหน้าบอก

ไม่แน่ว่าตอนที่หลี่ย่าหลินเห็นอีกฝ่าย อาจเป็นตอนที่คนคนนั้นกำลังคิดจะมุดเข้ามาก็ได้…

“สถานที่อันตรายขนาดนี้ ทำไมถึงยังมีคนวนเวียนกลับมาซ้ำๆ? ใช่สิรุ่นพี่ อีกฝ่ายเห็นพี่หรือเปล่า?” หลิงม่อถาม

หลี่ย่าหลินกระโดดลงมาบนพื้นอย่างเบาเสียง พลางส่ายหน้า บอกว่า “ไม่เห็นนะ ในห้องมืดมากนี่นา ตอนที่ฉันมองเห็นตาคู่นั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยร้องขึ้นมา คนคนนั้นก็เลยถอยไปทั้งที่ยังไม่เห็นฉัน”

“อย่างนี้…”

ในตอนนี้เอง เสียง “ตึง” ก็ดังสนั่นเข้ามาจากนอกโรงอาหาร

หลิงม่อรีบวิ่งไปเกาะขอบประตู แล้วเขาก็เห็นประตูใหญ่ที่ถูกโต๊ะเก้าอี้ยันไว้กำลังสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งพอดี ไม่เพียงประตูที่ส่งเสียง “กุกกักๆๆ” อย่างต่อเนื่อง เก้าอี้ที่ติดอยู่หลังบานประตูพวกนั้นก็เริ่มส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าดๆๆ” ชวนเสียวฟัน แถมกำลังเริ่มบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน ตรงกลางประตูใหญ่ก็ถูกเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆ กระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนตัวหนึ่งมุดหัวเข้ามาทันที

ใบหน้าบวมเขียวของคนตายใบนั้นจ้องหน้ากับหลิงม่ออยู่ไกลๆ มือทั้งสองข้างเหมือนหนวดที่ไร้กระดูก ที่ยื่นเข้ามาเกาะขอบประตู และพยายามผลักออกไปด้านข้างอย่างสุดแรง

“งี๊ดๆๆ!”

เสียงกรีดร้องดังระงมตามมาทันที แค่ได้ยินเสียง ก็สามารถจินตนาการถึงภาพกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนพวกนั้นกำลังยืนเบียดเสียดกันอยู่หน้าประตูออกแล้ว

“มากันเร็วมาก!” หลิงม่อตะลึง

หลี่ย่าหลินชะโงกหน้าออกไปดู บอกว่า “แถมยังดูโกรธแค้นมากด้วยนะ”

“เป็นเพราะการตายของฟางอิ๋งตามคาดสินะ…” หลิงม่อขมวดคิ้วบอก “ไม่ว่ายังไง จัดการพวกมันก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องมนุษย์…”

ในเมื่อผู้รอดชีวิตพวกนี้สามารถเข้าใกล้บริษัทลอว์สันได้ ก็ย่อมต้องสังเกตเห็นสถานการณ์รอบข้างด้วย ไม่แน่ว่าการมาถึงของพวกหลิงม่อ อาจอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว…

ถ้าหากเป็นแค่ผู้รอดชีวิตธรรมดา หลิงม่อคงไม่สนใจ แต่อีกฝ่ายกลับจับตาดูบริษัทลอว์สันมาโดยตลอด มันต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ ในตึกใหญ่หลังนี้ จะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่อีกแน่ๆ และความลับนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับอุปกรณ์ทดลองพวกนั้น…

แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วความลับนั้นคืออะไรกันแน่ล่ะ?

ขณะเดียวกัน หลิงม่อเบนสมาธิกลับมายังอาคารสองชั้นซึ่งเป็นที่พักของพวกเขาเป็นครั้งแรก…

ขณะเดียวกับที่กำลังผ่อนคลายสมาธิ หลิงม่อเกิดความรู้สึกที่ประหลาดมากอย่างหนึ่งขึ้นมา…ราวกับอวัยวะรับความรู้สึกทั่วร่างกายของเขาค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากก้นบ่อน้ำ เริ่มแรกเป็นสัมผัสจากแขนขาทั้งสี่ จากนั้นก็เป็นการได้ยินและการได้กลิ่น ตามมาด้วยการมองเห็น ความรู้สึกนี้เหมือนการปิดผนึกตัวตนของตัวเองไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็ค่อยๆ เผยตัวเองออกมาอีกครั้ง

ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ลืมตา หลิงม่อรู้สึกวิงเวียนและปวดหนึบที่ศีรษะทันที

เขายันเข่าพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็เซไปทันที

อวี่เหวินซวนตาไว รีบพุ่งเข้าไปพยุงเขา แต่มู่เฉินกลับยังคงหมอบอยู่ตรงหน้าต่างแล้วร้องเสียงเบาอย่างลับๆ ล่อๆ “เคลื่อนไหวแล้วๆ!”

“อะไรเคลื่อนไหว?” หลิงม่อสะบัดหัวไปมา พลางถาม

เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เขาไม่ได้อ้าปากพูด แต่หลิงม่อกลับรู้สึกเหมือนเสียงของตัวเองแหบแห้งเล็กน้อย

ไม่ต้องเดาก็รู้ ผลข้างเคียงของการใช้พลังมากไป…

อวี่เหวินซวนพูดเสียงเบาขึ้นมาจากอีกฝั่ง “โชคดีที่นายตื่นแล้ว มา ฉันจะให้นายดูอะไรน่าสนุกๆ…”

—————————————————————————–