บทที่ 142 ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 142 ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม

บทที่ 142 ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม

จากเบื้องบนท้องฟ้า เฉินซีก้มลงมองบริเวณพื้นดินซึ่งมีขนาดราวหนึ่งหมื่นลี้เห็นจะได้ ผืนดินถูกแบ่งออกเป็นแนวนอนและแนวตั้งคลับคล้ายกับตัวอักษรคำว่า ‘田’ ขนาดมหึมา

ตรงกลางปรากฏแท่นสูงตระหง่านสูงถึง 1.5 ล้านจั้ง พื้นผิวดำสนิทประหนึ่งทำมาจากหยกสีดำ เมื่อมองจากระยะไกลจะพบว่ามีลักษณะคล้ายแท่นบูชาที่คนในยุคโบราณใช้ในการพิธีบูชายัญเพื่อสังเวยต่อเทพเจ้าหรือบูชาบรรพบุรุษ ให้ความรู้สึกวังเวงน่าสลดหดหู่ เร้นลับและดูเป็นพิธีกรรม

บริเวณตามมุมทั้งสี่ทิศไม่ว่าจะเป็นเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก ล้วนเต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ เทือกเขาลดหลั่นสีทอง ป่าไม้หนาทึบเขียวขจีและมหาสมุทรหินเพลิงหลอมละลายบนพื้นพิภพตามลำดับ

สถานที่แห่งนี้คือเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ชั้นที่สอง ชั้นสี่สัญลักษณ์!

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในที่ที่ไกลโพ้น ลำแสงจำนวนมากกำลังพุ่งจากท้องฟ้าร่อนลงไปบนพื้นดินซึ่งเสมือนหนึ่งตัวแทนของสัญลักษณ์ทั้งสี่ทิศ ก่อนที่พวกมันจะหายวับไป

ภายในบริเวณเจดีย์ชั้นสี่สัญลักษณ์ที่ว่านี้ ผู้บ่มเพาะจำนวนหนึ่งพันเก้าร้อยคนจากทั้งหมดสองพันคนที่เข้ามาในนี้ ต้องถูกกำจัดและจะเหลือผู้บ่มเพาะเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้าสู่ชั้นที่สาม โดยทั้งหนึ่งร้อยคนนี้จะกลายเป็นผู้ติดอันดับหนึ่งในร้อยคนของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน

‘ดูเหมือนการแข่งขันจะทวีความหฤโหดมากขึ้นทุกขณะ เคราะห์ดีที่มีคนถูกกำจัดออกไปบ้างอย่างตระกูลซู ตอนนี้พวกมันไม่สามารถมาทำอันตรายข้ากับเฉินฮ่าวได้อีกต่อไป และข้ายังได้ยึดยันต์เคลื่อนย้ายอันใหม่จากศิษย์ตระกูลซูมาให้น้องชายแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเฉินฮ่าวอีกต่อไป’

เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ร่อนลงไปที่ป่าเขียวขจีสีหยกข้างล่างทันที เมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่น ป่าเขียวหยกดูจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

อย่างไรก็ตาม เฉินซีลืมคิดไปว่าผู้เข้าร่วมทั้งสองพันคนที่เข้าสู่ชั้นสี่สัญลักษณ์อาจจะมีความคิดคล้ายคลึงกับเขา ทุกคนต่างก็เลือกพักที่ป่าเขียวหยกกัน คนเหล่านี้ก็รู้สึกว่าตรงนี้น่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยเหมือนกับเฉินซีนั่นเอง

ส่วนพื้นที่อีกสามแห่ง ทั้งทะเลเพลิงที่เต็มไปด้วยหินร้อนหลอมละลายไหลนอง ดินแดนน้ำแข็งที่ก่อให้เกิดหายนะเมื่อมันแผ่คลุมไปทั้งแผ่นฟ้า หรือเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง หากตัดสินใจพลาดผิดไปเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ถึงตายได้ นั่นย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาดหากไปพักอยู่

“เฉินซี! ใช่ไอ้เจ้าเฉินซีจริงด้วย!”

“รีบไปเร็ว! อย่างพวกเราคงรับมือเขาไม่ได้แน่!”

“ให้ตายสิ! ทำไมจึงมีคนที่ร้ายกาจอย่างนี้อยู่ด้วยนะ!”

ทันทีที่เฉินซีทะยานลงไปถึงที่ว่างในป่าทึบสีเขียวเข้ม เสียงของผู้บ่มเพาะซึ่งเพิ่งมาถึงพักใหญ่เพียงไม่กี่คนก็สบถออกมาทันที ราวกับว่าพวกเขาเห็นตัวประหลาดน่าสะพรึงกลัว จากนั้นทุกคนต่างพุ่งหายไปในบริเวณโดยรอบประหนึ่งกำลังเผ่นหนีกระนั้น

‘ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าข้าจะเป็นคนดังขนาดนี้…’ เฉินซียกมือขึ้นลูบจมูกพลางหัวเราะหึกับตัวเอง ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกสบายใจมากกว่า

ข้อได้เปรียบของการเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมก็คือ ผู้บ่มเพาะที่อ่อนด้อยกว่าจะไม่กล้าต่อกรกับเขาอย่างเด็ดขาด ในขณะที่ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งจนน่าเกรงขามก็ต้องชั่งน้ำหนักผลที่จะตามมาก่อนตัดสินใจต่อสู้กับเขา ด้วยเหตุนี้จึงถือว่ามีจุดแข็งทั้งในเชิงรุกและรับพอ ๆ กัน เขาจึงไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเหนื่อยกับสถานการณ์ที่อาจถูกคนรอบข้างจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน

แต่แล้วจู่ ๆ ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเบาบางของปราณพฤกษาที่สองขึ้นมาทันที ถึงแม้จะเป็นแค่เส้นเล็ก ๆ และบอบบาง แต่กลับมีความบริสุทธิ์จนกระตุ้นปราณจ้าววิญญาณในกายของเขาให้ตื่นตัวขึ้นมา

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คือสมบัติล้ำค่าที่เต็มไปด้วยปราณพฤกษาที่สอง’ เฉินซีคิดในใจ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังต้นตอของเส้นกลิ่นอายนั้นทันที

บัดนี้เฉินซีฝึกวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพจนถึงขอบเขตพฤกษาที่สองแล้ว ทว่าในกายไม่เพียงแต่มีปราณจ้าววิญญาณที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณแห่งดวงดาวพิฆาตอันร้ายกาจ ซึ่งอัดแน่นด้วยปราณพฤกษาที่สอง เขายังมีปราณปฐพีที่ห้าสถิตอยู่ในร่างอีกด้วย

ถ้าเขาอยากบรรลุจากขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดาราไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสามดารา มันจะมีอยู่สองวิธีด้วยกัน วิธีแรกคือเปลี่ยนปราณวิญญาณแห่งดวงดาวอันร้ายกาจให้เป็นปราณจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองอย่างสิ้นเชิง และอีกวิธีคือวิธีการทั่วไปโดยค้นหาสมบัติล้ำค่าที่ประจุแก่นแท้ของปราณพฤกษาที่สองและนำมาใช้บ่มเพาะ ในตอนนี้เมื่อเฉินซีพบว่าอาจจะมีสมบัติล้ำค่าที่อัดแน่นด้วยแก่นแท้ปราณพฤกษาที่สองอยู่ในป่าทึบสีหยกแห่งนี้ จึงเป็นธรรมดาที่มันจะเย้ายวนความรู้สึกของเฉินซีเป็นอย่างมากนั่นเอง

ชั่วเวลาสองจิบชาผ่านไป เฉินซีมาหยุดบริเวณกลางป่าหนาทึบ พลางกวาดสายตาไปยังต้นไม้ใหญ่ทันที ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีความสูงหนึ่งร้อยจั้ง กิ่งก้านของมันประหนึ่งดาบและกระบี่ ด้วยลำต้นแข็งแรงและโค้งคด ทั้งมั่นคงและไม่มีอ่อนข้อ ทว่าความโกร๋นเกร๋นนั้นทำให้มันดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ดูไม่เข้ากับความเขียวขจีและต้นไม้โบราณที่อยู่รอบ ๆ

ทันทีที่ไปถึง เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปราณพฤกษาที่สองอันหนาแน่นและบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ต้นตอของกลิ่นอายกลับแผ่ออกมาจากต้นไม้ใบโกร๋นตรงหน้าเขา!

‘สงสัยนักว่ามันคืออะไรแน่ เห็นอยู่ว่าต้นไม้ใบโกร๋นแต่กลับปลดปล่อยปราณพฤกษาที่สองออกมาแน่นหนาเช่นนี้’ ชั่วขณะหนึ่งเฉินซียืนใช้ความคิดอย่างหนัก

‘ช่างเถอะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรข้าก็จะถอนรากถอนโคนขึ้นมา จากนั้นจะดูดซับปราณพฤกษาที่สองข้างในให้หมดเพื่อจะได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสามดาราของการแปรสภาพกายาเสียที’

ดวงตาของเฉินซีฉายแววเหี้ยมเกรียม จากนั้นชายหนุ่มพลันสะบัดแขนเสื้อ ปราณแท้จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ามือขนาดมหึมายาวกว่าสิบจั้ง จากนั้นฝ่ามือจึงคว้าหมับไปที่ลำต้นของไม้ใหญ่จับไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะกระชากขึ้นมาสุดแรง

ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉินซีชะงักงันด้วยความตกตะลึงเป็นเพราะต้นไม้ไม่ขยับเขยื้อนแม้สักหนึ่งชุ่น จะว่าไปพลังจับของเขาสามารถยกได้กระทั่งก้อนหินมหึมาที่มีน้ำหนักถึงหนึ่งแสนชั่งได้อย่างง่ายดาย ทว่ากลับทำอะไรต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้เลย อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เจ้าตัวตกตะลึงได้อย่างไร

‘ฝ่ามือมหาดารา…ดึง!’ เฉินซีกัดฟันแน่นขณะที่ฝ่ามือมหึมาปลดปลดอำนาจรุนแรงคว้าไปยังต้นไม้และดึงอย่างรุนแรง

ทว่าต้นไม้ใหญ่ใบโกร๋นยังไม่ขยับแม้สักชุ่นหนึ่ง!

เฉินซีตะลึงพรึงเพริดไปทันที ฝ่ามือมหาดาราเป็นทักษะไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เพียงออกแรกบีบครั้งเดียว ต่อให้เป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ก็ยังแหลกละเอียดไม่มีเหลือ อย่างไรก็ตามเวลานี้ทักษะที่ว่าร้ายกาจที่ว่ากลับไม่สามารถทำอะไรต้นไม้ต้นนี้ได้เลย

หรือว่าต้นไม้นี้จะเป็นพรรณไม้ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน?

เฉินซีเคยได้ยินมาว่าในสมัยบรรพกาล ในป่าไม้มีพรรณไม้ศักดิ์สิทธิ์มากมายหลายชนิด เช่นต้นหม่อนราชาที่สูงเสียดฟ้าเทียมเมฆา ต้นดวงตะวันที่มีผลดก รูปร่างคล้ายกับพระอาทิตย์ห้อยตามกิ่งก้าน… แต่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ที่ใบโกร๋นเกร๋นอย่างตรงหน้า ซึ่งปลดปล่อยปราณพฤกษาที่สองหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน

เฉินซีไม่ยอมล้มเลิก จากนั้นเขาจึงได้นำกระบี่บินออกมาหวังจะใช้กระบี่ฟันและขุดรากถอนโคน ทั้งยังพยายามจะหักกิ่งของต้นไม้ใหญ่ประหลาดต้นนี้ แต่ก็คว้าน้ำเหลว

‘ข้าควรทำอย่างไรดี?’

‘หรือข้าใช้ที่นี่ในการบ่มเพาะปราณจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองเสียเลยดีไหม?’

หัวคิ้วของเฉินซีขมวดแน่นขณะที่เจ้าตัวครุ่นคิดวนเวียนไปมาอย่างหนักโดยหาข้อสรุปไม่ได้ แถวป่าเขียวขจีแห่งนี้มีผู้บ่มเพาะเดินป้วนเปี้ยนนับพันคน ถ้าเขาบ่มเพาะที่นี่คงไม่ต่างอะไรกับการนั่งท้าหาความตาย

“เจ้าหมอนั่นไม่ลงมือสังหารคนอื่นเสียที มัวแต่ไปยุ่งอยู่กับต้นไม้ น่าแปลกจริง ๆ”

“มันอยากได้ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนามต้นนั้นน่ะสิ ไร้สาระสิ้นดีคิดว่าแน่สินะ ช่างน่าขันไม่รู้จักขีดจำกัดของตัวเองเอาเสียเลย”

“จริงด้วย ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนามต้นนี้อยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี มีคนที่ต้องการจะใช้มันฝึกฝนเยอะแยะ แต่ผลสุดท้ายต้องกลับไปมือเปล่าทุกคนไม่ใช่หรือ”

“พอพูดถึงไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนามนี้ หลังจากผ่านไปหลายปี ก็ยังไม่มีใครรู้ที่มาของมันจริง ๆ มันไม่แปลกหรือ?”

“ไม่ใช่มีแต่ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนามนี้ ยังมีอัญมณีเพลิงนิรนามในดินแดนเทพวิหคเพลิง มุกวารีนิรนามในดินแดนเทพเต่าทมิฬ และแร่โลหะนิรนามในดินแดนเทพพยัคฆ์ขาวเหมือนกันไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ที่มาที่ไปของมัน แต่ทุกชิ้นล้วนปลดปล่อยปราณพฤกษาที่สอง ปราณอัคคีที่สาม ปราณวารีที่เก้าและปราณทองคำที่เจ็ดออกมาอย่างหนาแน่น น่าเสียดาย! สมบัติล้ำค่าพวกนี้ไม่เคยมีใครสามารถครอบครองได้สำเร็จมานานนับพันปี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่าเสียดายนัก”

คนอื่นที่อยู่ด้านนอกเจดีย์ต่างจับตามองเฉินซีที่ทะยานขึ้นลงไปรอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่ด้วยความฉงนสนเท่ห์ สีหน้าท่าทางของแต่ละคนไม่รู้ว่าจะหัวเราะเยาะหรือเสียใจกับชายหนุ่มกันแน่ และมีหลายคนที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของชั้นสี่สัญลักษณ์

“ดูนั่น! เฟยเหลิ่งชุ่ยแห่งนิกายเมฆาพเนจรกับชิวเหลิ่ง…กระบี่ไร้ลักษณ์แห่งนิกายสุริยันคราม เริ่มลงมือต่อสู้กันแล้ว ทั้งสองคนเป็นถึงผู้นำรุ่นเยาว์ของนิกาย พวกเราจะพลาดการต่อสู้ดี ๆ แบบนี้ได้อย่างไรจริงไหม” เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นท่ามกลางฝูงคน สายตาทุกคู่พลันเบนความสนใจจากเฉินซีไปยังเฟยเหลิ่งชุ่ยและชิวเหลิ่งที่กำลังต่อสู้เป็นจุดเดียว

กระทั่งคนระดับผู้นำบนแท่นหยกหลายคนก็ไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้ จากนั้นจึงเพ่งดูการต่อสู้โดยพร้อมกัน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครสนใจเฉินซีอีกต่อไป

หากข้าได้ครอบครองปราณพฤกษาที่สองของต้นไม้ต้นนี้ เมื่อนั้นข้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องการบรรลุกายาขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสามดาราอีกแล้วจริงไหม?

‘ตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าได้ดูดกลืนมันเข้าไปเท่านั้น!’

แรงกระตุ้นขับเคลื่อนใจของเฉินซี… ‘ดูดกลืนเข้าไปในตัวของข้าอย่างนั้นหรือ…ข้าลืมสหายน้อยตัวนั้นไปได้อย่างไร!’

“ไป๋คุย ไปเลย… ไปกินรากของต้นไม้นั่นให้หมด!” เฉินซีส่งเสียงเรียกไป๋คุย สหายน้อยตัวนี้เป็นลูกปี่เซียะที่ชอบลิ้มรสสมบัติล้ำค่าทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก และถ้าแม้แต่มันก็ยังทำอะไรต้นไม้ใหญ่นี้ไม่ได้ เฉินซีก็คงต้องยอมล้มเลิก

“โฮก โฮก~” ทันทีที่เจ้าต้วน้อยได้ยินเสียงเฉินซีสั่งให้กัดกินรากไม้ ไป๋คุยจึงจ้องหน้าเฉินซีอย่างไม่พอใจ อย่างไรก็ตามเสี้ยววินาทีถัดมา เมื่อสายตาของมันเหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นใหญ่เบื้องหน้าของชายหนุ่ม สีหน้าของมันพลันแปรเปลี่ยนราวกับได้พบเจออาหารโอชะรสเลิศระดับโลกก่อนจะกระโจนเข้าใส่อย่างตะกละ

แกร๊ก! แกร๊ก!

เขี้ยวของไป๋คุยแหลมคมมากเสียจนใครเห็นก็ต้องขนหัวลุก เพียงขย้ำกัดครั้งเดียวก็แทบจะฉีกรากไม้ใหญ่ขาดกระจุย จากนั้นไม่นานรากไม้อันขดงอก็ได้ถูกไป๋คุยกัดออกเป็นชิ้น ๆ และสูบลงท้องที่มีขนาดเล็กเท่ากำปั้นทว่าเหมือนหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง ย่อยเอาทุกอย่างลงไปโดยง่ายดาย

ภายหลังจากผ่านไปนานในที่สุดเฉินซีก็ค่อยถอนใจด้วยความโล่งอก ขณะมองดูไป๋คุยน้อยอย่างใจจดใจจ่อ เขารอคอยเจ้าตัวเล็กกัดกลืนรากไม้ลงท้องจนหมด จากนั้นเขาจะได้เก็บต้นไม้ใหญ่นี้ไป

แกร๊ก! เปรี้ยง!

ไป๋คุยได้ทำอย่างที่เฉินซีคาดหวัง ต้นไม้ใบโกร๋นที่สูงเกือบร้อยจั้งต้นนี้ เมื่อรากของมันถูกไป๋คุยกัดกินจนหมด ลำต้นจึงล้มฟาดลงกับพื้น

ต่อมาเฉินซีก็ต้องตกตะลึงไปทันที เมื่อพบว่าภายหลังจากที่ต้นไม้สูญเสียรากไปทั้งหมด ลำต้นของมันจะกลายเป็นเศษไม้และแปรเปลี่ยนเป็นผงด้วยความรวดเร็วทันตาเห็น จากนั้นก็ค่อย ๆ ละลายหายลงสู่พื้นดิน

‘เฮ้ย!? แล้วปราณพฤกษาที่สองหายไปไหนหมด?’

‘ทำไมจึงเป็นอย่างนี้’ เฉินซีผิดหวังอย่างรุนแรง ชั่วขณะต่อมาเขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ที่ตนกลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง น่าเศร้าใจเหลือเกิน!

“โฮก โฮก~” ทันใดนั้น เสียงครวญครางดังผิดปกติของไป๋คุยได้เรียกความสนใจของเฉินซีให้กลับมา ชายหนุ่มจึงก้มหน้าลงไปมองและภาพของต้นอ่อนสีเขียวชอุ่มก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเขา ใบของมันมีสีเขียวเข้มจัด ปราณพฤกษาที่สองซึ่งแน่นหนาเสียจนไหลล้นออกมาเหมือนกับวัตถุแผ่ขยายเป็นเมฆหยกขนาดเล็ก!

ไม่ไกลนัก นัยน์ตาของไป๋คุยลุกวาวด้วยความละโมบขณะที่กระโจนเข้าหาต้นอ่อนของต้นไม้อย่างดุดัน…

“กลับมา!” เฉินซีรีบเอื้อมมือออกไปคว้าเจ้าตัวเล็กด้วยสัญชาตญาณ เวลานั้นปากที่เต็มไปด้วยฟันเขี้ยวของสหายน้อยอยู่ห่างจากต้นอ่อนนั้นเพียงครึ่งชุ่น ไป๋คุยถูกเฉินซีกระชากตัวกลับเสียก่อนที่มันจะทันได้กัดกินต้นอ่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“โฮก~” ไป๋คุยหันมาจ้องเฉินซีอย่างขัดเคือง ด้วยความที่รูปร่างเล็กนิดเดียวจึงทำให้ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่

“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ากินทิ้งกินขว้างอีกแล้ว กลับไปนอนเล่นกินสมบัติวิเศษเสียเถอะ” จากนั้นเฉินซีก็จับมันโยนกลับเข้าไปในแหวนมิติของเขา ส่วนที่ว่าเจ้าตัวเล็กนั่นจะกินทิ้งกินขว้างสมบัติวิเศษที่เขาเก็บเอาไว้ในแหวนมิติอย่างไรนั้น ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะคุณูปการของสหายน้อยนั้นมีมากมายเหลือล้น ดังนั้นการปล่อยให้ไป๋คุยกินสมบัติวิเศษก็เท่ากับชดเชยในสิ่งที่เจ้าตัวเล็กควรได้รับ

ถึงแม้สมบัติวิเศษภายในแหวนมิติเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่เฉินซีคัดเลือกแล้วทั้งสิ้น และทุกชิ้นก็เป็นสมบัติระดับมนุษย์ขั้นสูงสุดหรือต่ำกว่า แต่มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขา ดังนั้นถึงไป๋คุยจะกินของเหล่านั้นก็ไม่เป็นไร เพราะสมบัติวิเศษทุกชิ้นเตรียมไว้เพื่อเป็นอาหารของหลิงไป๋และไป๋คุยอยู่แล้ว

ครู่ต่อมา เฉินซีหันไปสนใจต้นไม้อ่อนต้นเล็กนั้นต่อ สัญชาตญาณบางอย่างบอกกับเขาว่าต้นไม้อ่อนนี้ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่ยากจะหาใดเปรียบอย่างแน่นอน!