บทที่ 322 แซ่หวังจะสิ้นอายุขัยแล้ว ไม่ไหวแล้ว

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 322 แซ่หวังจะสิ้นอายุขัยแล้ว ไม่ไหวแล้ว

“สหายเสิ่นอย่าขยับ ให้ข้าจัดการเอง! กับอีแค่น้ำวนมิติเล็กๆ แซ่หวังจัดการได้ง่ายๆ สบายมาก!”

หวังเสินซวีแผ่พลังแก่กล้าออกมา แต่ดูแล้วไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด

ในทางตรงข้าม เขากลับมีสีหน้าเหมือนกับกินเด็กตายลงไป

ข้าเผาอายุขัยไปเจ็ดแปดส่วน เท่ากับพยายามเอาชีวิตมาโอ้อวดครั้งใหญ่แล้ว ตอนนี้เจ้ามาบอกข้าว่าเสิ่นเทียนตื่นแล้วรึ

เช่นนั้นแซ่หวังจะไม่เท่ากับเผาอายุขัยไปอย่างเปล่าประโยชน์รึ

‘สุดทางเซียนใครจะอยู่สูงสุด เมื่อพบเสิ่นเทียนถึงได้สงสัยในชีวิต’ จริงๆ!

ใบหน้าหวังเสินซวีเต็มไปด้วยความปวดร้าว สายตามองน้ำวนมิตินั้นเขม็ง ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!

เพิ่งพูดจบ ทั้งตัวหวังเสินซวีถูกปกคลุมด้วยกรงแสงสีเงิน พลังมิติแก่กล้าฝืนหลั่งไหลเข้าไปในน้ำวนมิติ

เมื่อพลังแห่งมิติหลั่งไหลเข้าไปในน้ำวนมิติมากขึ้น น้ำวนนั้นก็เริ่มหมุนช้าลงด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน แรงดึงดูดค่อยๆ ลดลง

แม้จะยังแผ่พลังที่กลืนกินทุกสิ่งได้ แต่สำหรับทุกคนแล้ว อำนาจคุกคามอ่อนกำลังลงไปอย่างมาก

หวังเสินซวีถึงได้โล่งอก ถือว่าข้าไม่ได้เสียอายุขัยไปเปล่าๆ แล้ว

รอเดี๋ยว~

ทันใดนั้น หวังเสินซวีใบหน้าแข็งค้างเล็กน้อย

เพราะเขาพบเรื่องน่าอายคือตนเผาอายุขัยไปไม่เพียงพอ

น้ำวนมิติดูดพลังงานประหลาดมากมาย ระดับความยากในการกำราบมันมากกว่าที่หวังเสินซวีจินตนาการไว้

กายเทพท้องนภาของหวังเสินซวีเดิมทีเป็นกายต้องสาป ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่แทบจะเสียต้นกำเนิดชีวิตตลอดเวลา

ต่อให้ทะลวงระดับผู้สูงศักดิ์สำเร็จ ต้นกำเนิดชีวิตในกายหวังเสินซวีก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเท่าไร ไม่ฝึกคัมภีร์วสันต์นิรันดร์ก็ยังเหลืออายุขัยราวๆ ห้าร้อยปี

ก่อนหน้านี้ หวังเสินซวีหนีการไล่ล่าจากฝูงมังกรยักษ์ ใช้มิติแยกฟันปีกของมังกรบินเทพวายุ รวมถึงใช้นภากาศมรณะทำศึกตัดสินกับฉีเซ่าเสวียน

การใช้วิชาตามใจเช่นนี้ทำให้หวังเสินซวีเสียอายุขัยไปอย่างมาก

ตอนที่เผชิญหน้ากับน้ำวนมิติ หวังเสินซวีเผาอายุขัยสองร้อยกว่าปีที่เหลือไปเก้าส่วน เส้นผมกลายเป็นสีขาวหิมะทั้งหมดแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ได้แต่ลดความเร็วในการหมุนของน้ำวนมิติลงถึงระดับต่ำสุด ยังทำลายมันอย่างสมบูรณ์ไม่ได้

หวังเสินซวีคาดการณ์คร่าวๆ ว่าหากจะทำลายน้ำวนมิตินี้ อย่างน้อยต้องเผาอายุขัยอีกห้าสิบปี

และที่น่าอายคือเจ้านี่เหลืออายุขัยเต็มที่อาจจะไม่ถึงห้าสิบปี

……

นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว!

แม้หวังเสินซวีจะบอกว่า ‘สุดทางเซียนใครจะอยู่สูงสุด เผาอายุขัยให้สิ้นกำราบมิติ’ แต่นั่นเป็นเพียงคำขวัญเท่านั้น

หลังจากได้คัมภีร์วสันต์อมตะนิรันดร์มา ขอแค่หวังเสินซวีไม่ใช้อายุขัยทั้งหมด ภายภาคหน้าก็จะค่อยๆ ฟื้นกลับมาได้

แต่นี่มีเงื่อนไข นั่นคืออายุขัยห้ามหมด หมดแล้วก็จบเห่

เมื่อเห็นชีวิตน้อยๆ กำลังจะชุ่มชื่นขึ้นมาแล้ว ใครจะอยากเอาชีวิตไปเซ่นไหว้ให้สวรรค์กัน

แต่ว่า แซ่หวังโอ้อวดไปแล้วนี่สิ!

เมื่อครู่ยังพูดเสียงดังว่าเสิ่นเทียนไม่ต้องสอดมือ ตอนนี้จะให้ขอร้องหรือ

คิดว่าแซ่หวังไม่มีเกียรติอย่างนั้นรึ

ดังนั้น ตอนนี้หวังเสินซวีจึงค่อยๆ เข้าสู่สภาวะสับสนขัดแย้งกันในใจอย่างยิ่ง ปวดไข่!

และเมื่อพลังมิติของหวังเสินซวีส่งออกไปน้อยลง น้ำวนมิติที่เดิมทีค่อยๆ กลับมาสงบนิ่งเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมาและเริ่มดีดกลับ

บึ้ม~

เหมือนกับอาการก่อนสิ้นใจ!

ตอนนี้น้ำวนมิติเกิดรอยร้าว แผ่แรงดูดออกมารุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

และตอนนี้หวังเสินซวีที่อยู่ตรงหน้าน้ำวนมิติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเป้าหมายคนแรก เขาจึงถูกกระชากลอยไปทางน้ำวนมิติ

“บ้าๆๆๆๆ เหตุใดถึงเสียการควบคุมอีกแล้ว! สหายฉี สหายเสิ่น สหายอู จับมือแซ่หวังไว้ที!”

เมื่อเห็นหวังเสินซวีที่หมุนวนอยู่กลางอากาศแล้ว พวกเสิ่นเทียนสามคนถึงกับปาดเหงื่อ

ไหนว่าจัดการได้ง่ายๆ ไม่ใช่รึ

บุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาคนนี้ คงไม่ใช่คนโง่หรอกกระมัง!

……..

เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย ปีกเทพทองคำจากทองคำเซียนปีกปักษาข้างหลังกางออก

ทันใดนั้นเสิ่นเทียนก็หายวับไป มาปรากฏอีกทีตรงหน้าหวังเสินซวี ก่อนจะยื่นมือขวามาจับบ่าหวังเสินซวีแล้วโยนออกไปนอกน้ำวนมิติ

“สหายเสิ่น อย่า!”

เมื่อเห็นเสิ่นเทียนถูกดูดลอยเข้าไปในน้ำวนมิติแล้ว หวังเสินซวีกระบอกตาชื้นขึ้นมา

นี่สหายเสิ่นจะสละชีวิตเพื่อช่วยข้ารึ

แซ่หวังมีคุณธรรมและความสามารถเท่าไรกัน คุ้มค่าให้สหายเสิ่นสละชีวิตช่วยหรือ

สหายเสิ่นเจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ จะให้แซ่หวังตอบแทนอย่างไร ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรเลย!

ชั่วขณะที่หวังเสินซวีซาบซึ้งใจจนหลั่งน้ำตานั้น เสิ่นเทียนพลันระเบิดแสงสีเขียวสว่างจ้ามาจากในกาย

เถาวัลย์สีเขียวมรกตที่มีบุปผาฟากฝั่งสีขาวขึ้นอยู่รอบตัวเขา ดูสวยงามเป็นพิเศษ

ทันทีที่บุปผาฟากฝั่งเบ่งบาน ร่างเสิ่นเทียนที่พุ่งไปทางน้ำวนพลันหยุดนิ่ง

วินาทีต่อมา เสิ่นเทียนยื่นมือขวาออกไปช้าๆ

เถาวัลย์ยาวสีเขียวมรกตลากผ่านผืนฟ้ากว้างใหญ่เหมือนทวนยาว พุ่งเข้าไปปักกลางน้ำวนมิตินั้น อีกทั้งยังแผ่ขยายออกไปในทันใด

เถาวัลย์กำลังเติบโต บุปผาฟากฝั่งเบ่งบานทีละดอก

น้ำวนมิติเหมือนถูกมัดไว้ เดิมทีหมุนวนช้ามากอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับหยุดนิ่ง

อีกทั้งเถาวัลย์ยิ่งเติบโตขึ้นก็ยิ่งเยอะขึ้น น้ำวนมิติสีดำนั้นก็ยิ่งมีขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หายไปทั้งหมด

ในที่สุดมวลอากาศกลับมาสงบนิ่ง พลังงานกลืนกินของมิติหายไปทั้งหมด

ฉีเซ่าเสวียน หวังเสินซวีและเอ๋าอูสามคนอดถอนหายใจโล่งอกจากใจจริงไม่ได้ โดยเฉพาะหวังเสินซวี ตอนนี้ใบหน้ามีแต่ความดีใจที่รอดตายมาได้และคับแค้นใจอย่างน่าประหลาด

เกือบเอาชีวิตทั้งหมด โอ้อวดก็ไม่สำเร็จ

ข้าเป็นทุกข์ในใจยิ่งนัก!

………

แต่ฉีเซ่าเสวียนตื่นตะลึงในใจ ถึงอย่างไรเขาก็ได้สัมผัสอานุภาพของน้ำวนมิติมาแล้ว

ต่อให้หวังเสินซวีจะเผาอายุขัยลดทอนอานุภาพของน้ำวนมิติไปมากกว่าครึ่ง แต่ก็ยังตึงมือมาก

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียน น้ำวนมิตินี่กลับอ่อนแอเหมือนกับแป้งสาลี

คลึงตามใจสักสองทีก็จัดการน้ำวนมิตินี่ได้

ความสามารถเช่นนี้น่าตกใจจริงๆ!

ทางด้านเอ๋าอู ตอนนี้มองเสิ่นเทียนด้วยความเลื่อมใสอย่างยิ่ง

เขาปรบมือเล็กอ้วนตุ้ยนุ้ยของตน “สมกับเป็นท่าน พี่เสิ่นเทียน แข็งแกร่งมาก แม้แต่น้ำวนมิติยังใช้แส้ฟาดแตกได้ มิน่าท่านย่าถึงยินดีลงนามทำสัญญากับท่าน”

เสิ่นเทียนงุนงง

ในนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่

ส่วนฉีเซ่าเสวียนกับหวังเสินซวีมองหน้ากัน รู้สึกแสบร้อนใบหน้านิดๆ

เสียแรงที่เมื่อครู่พวกเขาสู้กันดุเดือดขึ้นฟ้า ปรากฏว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ยังต้องให้เสิ่นเทียนมาเช็ดก้น น่าขายหน้ามาก!

แค่กๆ ตอนนี้เปลี่ยนเรื่องอย่างไรถึงจะดูเป็นธรรมชาติกันนะ

ต้องรีบคิดแล้ว~

ทันใดนั้น สามดวงตาของฉีเซ่าเสวียนกลอกไปมาเล็กน้อย “แค่กๆ สหายเสิ่นตระหนักหน้าศิลาหินเต่าดำนานมาก ไม่รู้ว่าได้อะไรมาบ้าง”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ หวังเสินซวีกับเอ๋าอูก็มีสีหน้าแปลกใจเช่นกัน

ถึงอย่างไรการตระหนักรู้ปกติก็จะไม่ตกตะกอนลึกไปขนาดนั้น ปกติมีเพียงเข้าสู่รูปแบบตระหนักมรรคในระดับลึกเท่านั้นถึงจะลืมทุกอย่างรอบตัว

และนั่นหมายความว่าจะต้องตระหนักอะไรที่สุดยอดมาแน่นอน ทำให้ผู้ตระหนักหลงใหลยากจะถอนตัวเองออกมา

ฉีเซ่าเสวียนกับหวังเสินซวีอยากรู้อยากเห็นมากว่าตระหนักอะไรได้กันแน่ ถึงทำให้เสิ่นเทียนหลงใหลอยู่ในนั้น มั่นใจได้ว่านั่นจะต้องไม่ใช่มรดกธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นสามคนทำหน้าแปลกใจแล้ว เสิ่นเทียนก็ยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่วิชาฟื้นฟูอายุขัยกับเคล็ดกระบี่วิชาเดียวเท่านั้น”

หวังเสินซวีพยักหน้าเล็กน้อย ด้วยพรสวรรค์ของสหายเสิ่น การตระหนักคัมภีร์วสันต์อมตะนิรันดร์ได้เป็นเรื่องปกติมาก และยังมี…

รอเดี๋ยว ยังมีเคล็ดกระบี่อีกวิชารึ!

หรือว่าจะเป็นสุดยอดวิชาที่แกร่งที่สุดของมหาจักรพรรดิอมตะ…กระบี่ชีวิตนิรันดร์

เหตุใดแซ่หวังถึงตระหนักไม่ได้!

………

เอ๋าอูมองเสิ่นเทียน “เคล็ดกระบี่อะไร พี่เสิ่นเทียนแสดงให้ดูได้หรือไม่”

แสดงให้ดูรึ

เสิ่นเทียนผงะไป ก่อนจะยิ้มพลางมองฉีเซ่าเสวียนกับหวังเสินซวี “ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นสหายฉีกับสหายหวังอยากลองดูหรือไม่”

หวังเสินซวีเส้นผมขาวปลิวไสว เบ้าตาดำเหมือนกับหินนิลดำเปล่งประกายขึ้นมา

เขาตัวสั่นไหว “แค่กๆ ให้สหายฉีลองเถอะ! ข้าจะหมดอายุขัยแล้ว ให้ไปประลองอย่างคนหนุ่มคงไม่ไหว”

พูดจบ หวังเสินซวีก็เดินไปนั่งลงข้างๆ ด้วยตัวเองและเริ่มเลียนแบบวิชาเต่าดำดูดซับพลังวิญญาณ

ปวดใจมาก!

ครั้งนี้เสียอายุขัยไปหลายร้อยปี ไม่รู้ว่าจะฟื้นกลับมาได้เมื่อไร

จะว่าไป สภาพนี้…ก็น่าอับอายจริงๆ!

ฉีเซ่าเสวียนไม่ได้กลัวการต่อสู้อยู่แล้ว เขามองเสิ่นเทียนด้วยแววตาเร่าร้อน “หากสหายเสิ่นไม่รังเกียจ แซ่ฉีก็ยินดีจะทดลองวิชาให้เจ้า”

เสิ่นเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กระบี่วารีครามพลันปรากฏมาในมือเขา

ประกายแสงสีครามไหลเวียนราวกับน้ำแร่ เปล่งแสงอ่อนๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นกระบี่ดี

แน่นอนว่าสำหรับคนระดับอย่างฉีเซ่าเสวียนแล้ว กระบี่วารีครามเป็นได้เพียงของธรรมดา

สิ่งที่ทำให้ฉีเซ่าเสวียนสู้สุดกำลังคือคนที่ถือกระบี่นี้ ในมือของคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหญ้าหรือไม้ล้วนเป็นกระบี่ได้

ฉีเซ่าเสวียนไม่มีวันลืมเจตจำนงกระบี่ดั่งเซียนมาเยือนบนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์คืนนั้น นั่นคือฝันร้ายที่วนเวียนใจฉีเซ่าเสวียน

และวันนี้เสิ่นเทียนตระหนักเคล็ดกระบี่อีกวิชาจากศิลาหินเต่าดำ นี่ทำให้ฉีเซ่าเสวียนสนใจอย่างยิ่ง

“ภูผานทีไอม่วงสามสิบสามชั้น รวม!”

ฉีเซ่าเสวียนเหมือนเผชิญหน้ากับศึกใหญ่ กินโอสถปรับลมหายใจแล้วก็รวมไอม่วงสามสิบสามชั้นขึ้นอีกครั้ง

ไอม่วงพวกนี้วนเวียนรอบตัวเขาเหมือนกับองครักษ์นับไม่ถ้วน มอบการป้องกันที่แกร่งที่สุดให้ฉีเซ่าเสวียน

ขณะเดียวกัน เนตรสวรรค์เคหาสน์ม่วงตรงระหว่างคิ้วฉีเซ่าเสวียนยังเปล่งแสงระยิบระยับ จับจ้องเสิ่นเทียนตาเขม็ง หวังว่าจะมองเห็นช่องโหว่

แต่ไม่มีช่องโหว่ใดๆ เลย!

มีเงากระบี่มากมายลอยขึ้นข้างหลังเสิ่นเทียน

ประกายเซียนวนเวียนอยู่ข้างกายกระบี่เหล่านั้น

กายเทพกระบี่ฟ้า เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า สามารถลอกแบบวิชากระบี่ในโลกได้ เปลี่ยนแปลงไปได้หลากหลายแต่ก็ไม่หนีไปจากแบบฉบับดั้งเดิม

ตอนนี้เสิ่นเทียนยืนถือกระบี่ ภายใต้แสงสว่างแห่งมิติส่องสะท้อน ทำให้ใบหน้าที่สุดแห่งยุคเหนือธรรมดายิ่งกว่าเดิมกระทั่งแม้แต่ฉีเซ่าเสวียนที่รูปงามดั่งหยก ยังเกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ ขึ้นโดยไม่รู้ตัวยามเผชิญหน้ากับเสิ่นเทียน

……

“สหายเสิ่น ออกมือเถอะ!”

ฉีเซ่าเสวียนถือง้าวมังกรสวรรค์ พร้อมเผชิญหน้ากับเสิ่นเทียนอย่างเต็มที่

ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ชูกระบี่วารีครามในมือขึ้นช้าๆ และฟันใส่ฉีเซ่าเสวียนช้าๆ เช่นกัน

กระบี่นี้ไม่ได้รวดเร็ว อาจจะบอกได้ว่าดูช้าถึงที่สุด เหมือนว่าเด็กสามขวบก็ยังหลบได้ง่ายๆ

ทว่าตอนที่ฟันกระบี่นี้ออกไป ฉีเซ่าเสวียนพลันหน้าเปลี่ยนสีไป เพราะเขารู้สึกว่ากระบี่นี้มีความลึกล้ำเหนือธรรมดา

มันสัมผัสถึงกฎเกณฑ์ลึกล้ำ สัมผัสถึงเขตแดนต้องห้ามของชีวิตและอายุขัย นี่คือเขตแดนสูงสุด

แม้ตอนนี้เสิ่นเทียนจะยังไม่ชำนาญเคล็ดกระบี่นี้ถึงระดับสูงสุด แต่ฉีเซ่าเสวียนเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ก็ยังรู้สึกกดดันอย่างมาก

ชิ้ง~

กระบี่ส่งเสียงราวกับมังกรเวียนว่ายออกทะเล ประกายกระบี่เหมือนแสงยามรุ่งอรุณเบิกฟ้า

เพียงชั่วพริบตาเดียว ประกายกระบี่งดงามและน่าตกใจสายหนึ่งเหมือนลากผ่านผืนฟ้าและกาลเวลาฟันลงมา

ภูผานทีไอม่วงสามสิบสามชั้นกลับไม่อาจต้านไว้ได้เลย เนตรสวรรค์ตรงระหว่างคิ้วเปล่งแสงปานสายฟ้า ก็ยังตรวจจับไม่ได้

……

ชิ้ง!

กระบี่วารีครามเข้าฝักอีกครั้ง เสิ่นเทียนยืนยิ้มเอามือไพล่หลัง

“กระบี่นี้มีนามว่า…ชีวิตนิรันดร์”

……………………