ตอนที่ 64 ความจริงในใจเยี่ยเม่ย

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยอมรับไปก็ได้

 

 

หลังจากตอบ เยี่ยเม่ยก็ระบายลมหายใจออกยาวๆ จ้องมองแววตาทอรอยยิ้มของเขา เตือนว่า “ข้าไม่สนใจว่าตอนนี้เราสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไร ทั้งข้าก็ไม่คิดซักไซ้ว่าเกิดจากความรู้สึกจอมปลอมหรือการหลอกลวง ความแค้นหรือความรัก สรุปแล้วมีสิ่งหนึ่งที่ข้าขอให้ท่านเข้าใจไว้ ตราบใดที่ท่านยังเป็นสามีข้า ก็อย่าคิดสวมเขาให้ข้า ข้าทนเสียหน้าเช่นนี้ไม่ได้!”

 

 

เยี่ยเม่ยแทบชี้หน้าเขาพร้อมเอ่ยคำพูดนี้ออกมา

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่อาจเสียหน้าหรือว่าไม่อยากเสียใจเช่นนี้”

 

 

“ท่าน…” เยี่ยเม่ยรู้สึกลึกๆ ว่า ตัวนางถูกเขาทำให้ชะงักไปแล้ว

 

 

หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เยี่ยเม่ยชี้หน้าเขา “ท่านจะเข้าใจแบบไหนก็เชิญ สรุปแล้วท่านสงบเสงี่ยมหน่อยก็แล้วกัน!”

 

 

พูดจบแล้ว นางก็หมุนตัวจากไป

 

 

คราวนี้นางก็ตระหนักได้ว่า ตัวนางในวันนี้ไม่สงบเลยสักน้อย ถูกมู่หรงเหยาฉือยั่วโมโหเสียจนพูดถึงเรื่องแยกทาง ตอนนี้ยังพูดเช่นนี้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก เอ่ยเสียจน…

 

 

ซ้ำนางยังชี้หน้าเขา เตือนการกระทำของเขาอีกด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยแอบคิดว่า ต่อไปหากต้องแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขา เกรงว่าคงทำไม่ได้อีกแล้ว

 

 

เสแสร้งต่อไปเขาคงไม่เชื่อ เมื่อคิดถึงตอนนี้นางก็ปวดหัวขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง เป็นความเจ็บปวดแทบเอาชีวิตได้

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบติดตามไปอยู่ด้านหลังนาง จงใจลากเสียงเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ภายหน้าเยี่ยนจะระมัดระวัง ไม่สวมเขาให้ฮูหยินเด็ดขาด เยี่ยนจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ต่อให้ฮูหยินทอดทิ้งข้า ก็ไม่มีทางทำให้ฮูหยินไม่พอใจ ยิ่งไม่มีทางชายตาแลสตรีอื่นแม้แต่แวบเดียว”

 

 

เมื่อเขากล่าว ฝีเท้าเยี่ยเม่ยก็เร่งร้อนเข้าไปใหญ่

 

 

เยี่ยเม่ยรู้ว่าเขาจงใจลากน้ำเสียงยาว จงใจบอกนางว่าเขารู้แล้วว่านางหึง

 

 

เยี่ยเม่ยก้มหน้า ไม่ยอมหันกลับไป ไม่มีทางหันไปมองเขาเด็ดขาด

 

 

ทว่าถัดมา

 

 

นางถูกคว้าข้อมือไว้ ถูกดันร่างแนบประชิดกำแพงหิน เยี่ยเม่ยตะลึงงัน เขากลับกดจูบลงมาอย่างแรง

 

 

เยี่ยเม่ยเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

คราวนี้นางไม่ขัดขืน ปล่อยให้เขาจูบไป หลังจากผ่านไปสักครู่ เสียงแหบพร่าของเขาเอ่ยเบาๆ “เยี่ยเม่ย ขอโทษด้วย!”

 

 

นางอึ้งไป ไม่ทันได้สติ

 

 

คำขอโทษนี้หมายความว่าอะไร หรือว่าเขากับมู่หรงเหยาฉือทำอย่างนั้น…

 

 

ขณะที่นางกำลังคิดเหลวไหลอยู่นั้น

 

 

เขาพลันส่งเสียงออกมาขัดความคิดของนาง “คือ…คืนแต่งงาน เยี่ยนไม่ควรหยาบคายกับเจ้าเช่นนั้น ขอโทษด้วย!”

 

 

อันที่จริงเรื่องนี้ติดค้างในใจเขามาตลอด

 

 

นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่สามเดือนนี้เขาไม่กล้าพบนาง เขารู้ว่านางรำคาญเขา กลัวว่าหลังจากเรื่องหลังคืนแต่งงานแล้ว นางยังจะกลัวเขาอีกด้วย

 

 

อย่างไรเสียครั้งแรกของสตรี ถูกทำเช่นนั้นบางทีจะเกิดเป็นเงามืดในใจ นางน่าจะโกรธเคืองเขาอยู่

 

 

ถ้าจะบอกให้ถูกคือ

 

 

เขาไม่มีหน้าไปหานางก่อน ทั้งไม่มีหน้าพูดกับนางด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องบนเตียง เขาพูดออกอย่างฉับพลัน เยี่ยเม่ยหน้าแดงเรื่ออย่างไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องวันนี้ นางก็กล่าวว่า “เรื่องในวันนั้นเดิมทีก็ไม่อาจโทษท่านได้ ท่านไม่ต้องใส่ใจ เดิมทีข้าเป็นคนดูหมิ่นความรู้สึกของท่านก่อน ข้าเองก็รู้ว่าความรักสามารถปฏิเสธได้ ทำเป็นไม่เห็นได้ ถึงกระทั่งหลอกใช้ได้ แต่ไม่อาจดูหมิ่นโดยเด็ด”

 

 

ดังนั้นวันนั้น นางไม่อาจโทษเขาได้ทั้งหมด

 

 

เยี่ยเม่ยทำอะไรลงไป นางไม่มีทางปฏิเสธและไม่กล้าไม่ยอมรับ เดิมทีวันนั้นนางเป็นฝ่ายยั่วยุเขาก่อน ปฏิเสธความรักเขาก่อน สุดท้ายก่อเรื่องขึ้นมา นางไม่อาจโทษเขาได้ทั้งหมด

 

 

“แต่…” สายตาเขาจับจ้อง เอ่ยว่า “เยี่ยนเคยบอกว่าจะดีกับเจ้า ไม่ให้เจ้าเสียใจภายหลัง วันนั้นต่อให้เยี่ยนโมโห แต่ก็ไม่ควร…”

 

 

เขาโมโหแล้วจริงๆ

 

 

ทุกวันเขาเอาแต่สำนึกเสียใจ ทุกๆ คืนทนไม่ไหวคิดถึงภาพนางที่กัดริมฝีปากด้วยความเจ็บช้ำ น้ำตาไหลลงจากหางตา รวมถึงใบหน้าซีดเผือดของนาง

 

 

วันนั้นเขาต้องหน้ามืดไปแล้วแน่ ถึงได้ทำเช่นนั้นกับนาง

 

 

“พอแล้ว!” เยี่ยเม่ยพลันถอนหายใจออกมา ก้มหน้าลงวางหน้าผากซบลงที่หัวไหล่เขา น้ำเสียงนางยังคงเย็นชา ทว่าแฝงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ความจริงข้าเหนื่อยแล้ว เหนื่อยมากจริงๆ เรื่องในวันแต่งงาน ข้าไม่โทษท่าน ท่านพูดว่าจะไม่ทำให้ข้าเสียใจที่แต่งงานกับท่าน ข้าก็ไม่เสียใจจริงๆ!”

 

 

นางเอ่ยเช่นนี้ เขากลับอึ้งไปเล็กน้อย

 

 

กอดเอวนางไว้

 

 

ไม่รู้เพราะอะไร ชั่วขณะนี้ที่กอดนางไว้ต่างออกไปจากเมื่อก่อนแล้ว รวมถึงวันที่พวกเขาร่วมหอกัน เขายังไม่รู้สึกว่าได้ครอบครองนางจริงๆ ทว่าเวลานี้ เขากลับมีความรู้สึกบางอย่าง คล้ายนางเป็นของเขาแล้ว

 

 

นางบอกว่าความจริงนางไม่เสียใจเลย

 

 

ความจริงเรื่องในวันแต่งงาน นางไม่ได้โทษเขา

 

 

นางยังบอกว่าเหนื่อยแล้ว ทำไมถึงเหนื่อยเล่า

 

 

ระหว่างที่เขากำลังใคร่ครวญ นางยื่นมือออกไปกอดเอวเขาไว้ สายลมพัดชายเสื้อของพวกเขาไสวขึ้น เส้นผมดำขลับถูกพัดขึ้นมาเกี่ยวกระหวัดกันไว้ เป็นภาพที่งดงามฉากหนึ่ง คลับคล้ายกับคนทั้งสองจะผูกพันกันไปจนตาย ไม่ว่าคลื่นลมจะโหมกระหน่ำเพียงใด ก็ยังคงอยู่ด้วยกันไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

เยี่ยเม่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเบาๆ “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าอยากสารภาพความจริงกับท่าน ข้าแต่งงานกับท่าน ก็เพราะข้ารักท่าน นับตั้งแต่แรกที่พวกเราพบกัน ข้ายังไม่รู้ฐานะของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ได้หลอกใช้ท่าน ภายหลังข้าพยายามผลักไสท่าน เพราะข้ากลัวว่าตัวเองจะยิ่งถลำลึก ทั้งไม่อยากให้ท่านที่อยู่ตรงกลางต้องลำบากใจ!”

 

 

เอ่ยมาถึงตรงนี้ นางไม่ปล่อยให้เขาเอ่ยปาก รีบเสริมต่อว่า “ข้าไม่ใช่ไม่ต้องการลูกของท่าน แต่ไม่อาจเผชิญหน้ากับพ่อแม่ครอบครัวข้าได้ เมื่อครู่กับมู่หรงเหยาฉือ…ข้าถือสา หึงหวง ไม่ยินดี สามเดือนนี้ท่านไม่เป็นฝ่ายมาหาข้าต่างกับตอนที่อยู่ชายแดน หลายเดือนที่นั่นข้าไม่สนใจท่าน แต่ตอนนี้ข้าไม่ไปหาท่าน ท่านก็ไม่สนใจข้าเช่นกัน ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเสียใจว่าคำพูดในคืนนั้นแรงเกินไปหรือไม่ เหยียดหยามความรู้สึกของท่าน ทำให้ท่านไม่สนใจข้าอีกต่อไปแล้ว”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกว่าน่าขันนัก นางเอ่ยต่อว่า “ท่านรู้ไหม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าตื่นขึ้นมาทุกเช้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เพราะคนผู้หนึ่งไม่เป็นฝ่ายมาพูดคุยกับข้าเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อย้อนคิดก็เสียใจว่าตัวข้าพูดเกินไปหรือไม่”

 

 

ความจริงวันที่แต่งงานนั้น

 

 

คนที่เสียใจเพราะการกระทำของตัวเอง ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว

 

 

นางรู้ทั้งรู้ว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่เหยียดหยามได้ แต่ดันเอ่ยคำพูดพวกนั้นออกไป นางจะไม่เสียใจได้อย่างไร

 

 

“ความจริงที่ทุกอย่างดำเนินมาถึงตอนนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สรุปแล้วพวกเราใครกันที่ใส่ใจใครมากกว่า แต่ข้ารู้ว่าความจริงข้าทนไม่ได้ที่ท่านไม่พูดกับข้าสามเดือนเต็มๆ ข้าทนไม่ได้ที่ท่านอยู่กับคนอื่น ข้าเองก็…ไม่อาจสูญเสียท่านไป!”