บทที่ 174 ความจงรักภักดี

ยัยหมอวายร้ายที่รัก

แต่หลังจากที่เข้ามาแล้ว ก็ได้รู้สึกถึงแสงที่อบอุ่นที่ปกคลุมร่างกายของเขาขึ้นมาในทันที และยังมีกลิ่นหอมของอาหารที่เป็นที่ยั่วยวนอีกด้วย ที่นี่อยู่ในพื้นที่ที่น้อยกว่า60 ตารางเมตรเสียอีก ไม่คิดว่าจะทำให้เขารู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
นี่เขาพิลึกคนไปแล้วใช่ไหม?
สถานที่แย่ๆแบบนี้ยังจะรู้สึกสบายขึ้นมาได้
เขาก้าวขายาวๆเข้ามา แล้วไปยังโซฟาตัวเล็กเก่าๆทางด้านนั้น
“แด๊ดดี้ ดื่มน้ำไหมครับ? ผมรินน้ำให้นะ” คิวคิวรู้ความมาก หลังจากที่มาถึงบ้านตัวเองแล้ว เขาก็จัดการรินน้ำให้แด๊ดดี้
แน่นอนว่าแสนรักยินยอมอยู่แล้ว
ในขณะนั้น เขาก็นั่งลงบนโซฟาตัวเล็กตัวนี้ รอลูกชายที่กำลังรินน้ำให้พลางมองพิจารณาสถานที่เล็กๆที่ไม่ใหญ่เท่ากับห้องนอนของเขาอีกครั้ง
เมื่อวานนี้เขามาดึกเกินไป จึงไม่ทันได้เห็น
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็วุ่นวายมาก และยิ่งไม่มีเวลาอีกด้วย
เส้นหมี่ไปที่ห้องครัวแล้ว เธอได้ยินลูกชายบอกว่าพวกเขาพ่อลูกสามคนยังไม่ได้กินข้าว แน่นอนว่าเธอต้องเตรียมให้พวกเขากินอยู่แล้ว
แต่หลังจากที่เธอมองไปที่ตู้เย็นแล้ว จู่ๆก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณ….ก็ไม่ได้ทานเหมือนกันเหรอ?”
เธอออกมา สายตามองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา และเอ่ยถามด้วยความลังเล
แสนรักกำลังดื่มน้ำ จู่ๆได้ยินคำพูดนี้แล้ว สายตาก็กวาดตามองไปอย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นผู้หญิงที่ไม่สนใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวเลยจริงๆ!
ชุดอยู่บ้านตัวใหญ่ๆหลวมๆ ทางด้านหลังยังมีหมวกฮู้ดหูยาวนั่นอีก ผมสั้นปะบ่าก็ไม่ได้จัดแจงให้ดี ใช้ที่คาดผมลายจุดมัดเอาไว้ เผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
เธอไม่รู้ที่จะจัดการเลยจริงๆอย่างนั้นใช่ไหม? หรือว่าลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง? อย่างน้อยที่สุดแม้แต่รูปลักษณ์หน้าตาก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
แสนรักขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ที่ประหลาดใจก็คือ เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่เขาเห็นท่าทางนี้ของเธอปรากฏอยู่ตรงสายตาตัวเองแล้ว ในหัวนั้นมีฉากหนึ่งลอยปรากฏขึ้นมา คืนนั้น เขากลับมาดึกมาก จู่ๆเธอเปิดประตูออกมา เขาเห็นแสงไฟสีส้มสดส่องออกมาจากทางด้านใน
เวลานี้ เหตุการณ์นี้ ทำให้เขารู้สึกตรงกับมันอยู่บ้างเล็กน้อย
แสนรักเลิกคิ้ว : “คุณว่าไงล่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าพวกคุณไปทานข้าวกันเหรอ? ทำไมจู่ๆก็ไม่มีใครได้ทานอะไรกันเลยซักคนเดียว?”
“มีธุระขึ้นมากะทันหันก็เลยไม่ได้ไปแล้ว ทำไม? คุณไม่มีของกินเหรอ?”
“ไม่ ไม่ใช่…..”
เส้นหมี่รีบปฏิเสธ
แน่นอนว่าเธอจะไม่มีของกินไม่ได้อยู่แล้ว ที่นี่เป็นบ้านของเธอ จะไม่มีของกินเลยได้อย่างไรกัน เธอเพียงแค่อยากจะเช็คให้แน่ใจ ว่าเขาจะอยู่กินข้าวที่นี่จริงๆหรือเปล่า?
ดูแล้ว นี่คือคำตอบที่แน่นอนแล้ว
เส้นหมี่จึงทำได้เพียงต้องไปในห้องครัวอีกครั้ง จากนั้น เมื่อเห็นของที่อยู่ในตู้เย็นแล้วก็เริ่มรู้สึกกลุ้มใจขึ้นมา
พวกเด็กๆจัดการได้ง่ายมาก วันนี้ตอนบ่ายซื้อกุ้งและบะหมี่มาเป็นจำนวนมาก ก็เพื่อที่จะทำบะหมี่เกี๊ยวให้พวกเขา
แต่ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนกัน เขาเป็นพวกที่เลือกมาก เขาไม่กินคาว ไม่กินเผ็ด และเขายังไม่ค่อยกินอาหารจีนเท่าไหร่นัก ถ้าอย่างนั้นเธอจะทำอะไรให้เขากินดี?
หรือว่าจะต้องทำอาหารทางตะวันตกให้เขาอย่างนั้นเหรอ?
เส้นหมี่คิดหาวิธีแก้ไขไม่ได้
และในตอนที่เธอกำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้น แม้แต่ตัวเธอเองก็ลืมไปแล้ว ว่าเวลานี้พวกเขายังทะเลาะกันอยู่เลย แม้กระทั่งเมื่อสองวันก่อน พวกเขายังพูดกันถึงเรื่องหย่ากัน เธอแทบอยากจะไม่ต้องมีความเกี่ยวข้องใดๆกับเขาอีกในทุกๆวินาทีเลยเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น คนเราบางครั้งก็หลอกตัวเองจริงๆ เรื่องบางเรื่อง ถ้าหากลึกเข้ากระดูกไปแล้ว ต่อให้บอกตัวเองว่าไม่แคร์ ไม่เป็นไร นั่นล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วเส้นหมี่ก็ทำบะหมี่เกี๊ยวน้ำห่อกุ้งที่เหมือนกับของลูกสาวให้กับลูกชายทั้งสองคน
ส่วนแสนรักล่ะ?
เป็นซุปที่ทำมาจากผักผลไม้และเห็ด ยังมีข้าวห่อสาหร่ายกุ้งแห้งอีกด้วย และด้านข้างก็มีส้มลูกเล็กๆที่แกะเปลือกเอาไว้ด้วยวิธีการที่แปลกใหม่วางอยู่
“ทานละนะครับ!!”
เด็กๆทั้งสามคนเห็นว่าสามารถทานได้แล้วนั้น แต่ละคนก็หยิบส้อมและตะเกียบเอาไว้แล้วร้องขึ้นด้วยความดีใจ
แสนรักเองก็นั่งลงตรงด้านหน้าโต๊ะอาหารเช่นกัน
แต่หลังจากที่เขาเห็นสิ่งที่วางอยู่ตรงด้านหน้าตัวเองแล้ว กลับรู้สึกงุนงง : “ทำไมผมทานอันนี้?”
เส้นหมี่ : “เกี๊ยวของพวกเขามีกุ้ง คุณทานไม่ได้ ทำให้คุณไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”
เธอพูดโพล่งออกมาตามอารมณ์
ผลปรากฏว่าหลังจากที่สิ้นเสียงแล้วนั้น เดิมทีชายหนุ่มที่เตรียมจะหยิบตะเกียบ จู่ๆสองมือนั้นก็หยุดลง จากนั้น สายตาที่ลึกซึ้งเหมือนสายน้ำที่เงียบสงัดของเขาก็กวาดตามองมา จ้องมองเส้นหมี่ไปชั่วขณะ
เส้นหมี่ : “…….”
แย่แล้ว เธอพูดผิดไปแล้ว
ในหนึ่งวินาที เส้นหมี่รู้สึกลนลานเสียจนแม้แต่เหงื่อก็ผุดออกมา
เธอประมาทมากเกินไปแล้วจริงๆ เธอเป็นอดีตภรรยาที่แต่งงานกับเขาเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ในช่วงหนึ่งปี เห็นหน้าเพียงแค่ครั้งเดียว เธอจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? เธอเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาเท่านั้น
สีหน้าของเส้นหมีซีดอยู่บ้าง จึงรีบคิดวิธีหาข้ออ้าง “ฉัน…..ฉันได้ยินคนรับใช้พวกนั้นที่บ้านคุณพูดน่ะ ทำไมคะ? ฉันพูดผิดเหรอ? หรือว่าคุณชอบทาน? ถ้าชอบฉันไปทำให้คุณก็ได้”
ว่าแล้วเธอก็จะไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
“ไม่ต้อง ผมทานไม่ได้จริงๆ”
ในที่สุดแสนรักก็ส่งเสียงออกมาแล้ว บางที คำอธิบายของเธอนั้นได้ผลแล้ว
เส้นหมี่เห็นแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็นั่งลงข้างๆพวกลูกๆแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของพวกเขานั่งทานอาหารเย็นด้วยกันครบถ้วนขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เส้นหมี่แอบมองภาพนี้ ก้นบึ้งในใจนั้นก็เกิดความรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้……