ซูถูยังคงมีความหวัง น่าซูอยู่ข้างนอกบางทีเขาอาจจะควบคุมได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าอย่างเต็มที่แล้ว แม้ว่าเขาจะควบคุมไม่ได้ แต่เขาไม่ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
ส่วนสตรีที่ติดอยู่กับเขานั้น เขาต้องสังหารนาง แต่เพราะนางไม่ได้อ่อนแอเลย เขาจึงไม่มีโอกาสนั้น…
เมื่อเวลาผ่านไปทีละนิดไม่มีเสียงใดภายในถ้ำ ตอนแรกทั้งสองยังคงคุยกันอยู่ ต่อมาเพื่อเป็นการประหยัดพลังงานต่างฝ่ายต่างหาที่นั่งหายใจเบาๆ
เวลาน่าจะผ่านไปห้าหกวันแล้วซูถูทำตนเองให้สดชื่นแล้วถามว่า “ท่านไม่กลัวนางจะไม่ปล่อยพวกเราออกไปหรือ”
หมิงเวยตอบอย่างอ่อนแรง “ท่านอยู่ที่นี่นางไม่มีทางไม่ปล่อยเราหรอกเจ้าค่ะ”
“เผ่าหมาป่าหิมะยังมีองค์ชายองค์อื่นอีก”
“แต่พวกเขาไม่ตรงตามความต้องการของนางเจ้าค่ะ”
ซูถูนอนลงไปอีกครั้ง ภายในถ้ำมีแต่เสียงน้ำไหลหลังจากนั้นอีกสามวันซูถูรู้สึกว่าตนเองถึงขีดจำกัดแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาไม่ต้องตายอยู่ที่นี่หรือ
ในห้วงจินตนาการเขาได้ยินเสียงหนึ่ง แสงตกลงมาจากด้านบน และตกลงมาบนใบหน้าของพวกเขา ซูถูลืมตาขึ้นเขาเห็นเชือกถูกโยนลงมาตามด้วยขันทีชราที่ไถตัวลงมา
ขณะที่เขาเอนตัวลงเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของซูถู จู่ๆ หมิงเวยก็กระโดดขึ้นคว้าเชือกแล้วกระโดดขึ้นไป
ขันทีชราตกใจเขายกมือเพื่อดึงนางลงมา หมิงเวยขว้างยันต์ลง และใช้ประโยชน์จากโอกาสสั้นๆ นี้เพื่อออกจากถ้ำ
ในตอนที่นางขึ้นมาองค์หญิงหย่งชิงกำลังถือหยกงามชิ้นหนึ่งกำลังเตรียมจะทำอะไรบางอย่าง
หมิงเวยมองแล้วยิ้ม “หยกเสวียนหมิงหรือ ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” นางยกมือขึ้นและคว้ามันไว้
องค์หญิงหย่งชิงเป็นวรยุทธ์เพียงผิวเผินเท่านั้น เมื่อนางมีอายุมากขึ้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้อย่างไร ประมือกันเพียงสองกระบวนท่าหยกเสวียนหมิงในมือก็ถูกแย่งชิงไปเสียแล้ว
“หยุดนะ!”
หมิงเวยไม่ใช่ว่าจิตใจจดจ่ออยู่ที่ทางออกพอได้ยินเสียงห้ามของอีกฝ่ายนางก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
แสงเข้าตาทำเอานางตาบอดอยู่ครู่หนึ่งนางใช้ผ้าเช็ดหน้าบังดวงตาเอาไว้และรีบวิ่งออกจากหุบเขาตามสัญชาตญาณ ในตอนที่ขันทีชราขึ้นมาพร้อมกับซูถูก็ไม่เห็นนางเสียแล้ว
“อดข้าวไปหลายวันนางยังมีแรงเหลือได้อย่างไร” องค์หญิงหย่งชิงประหลาดใจ
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนี้ได้หมิงเวยรีบไปทางใต้ และในไม่ช้านางก็ได้กลิ่นเลือด นางปรับตัวกับแสงครู่หนึ่งแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าออก
เขาเทียนเสินได้กลายเป็นทะเลเลือดเสียแล้ว นางถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ผลลัพธ์นี้เกินกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก แต่การที่มีคนตายจำนวนมากไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย งูขาวเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดว่า “นายท่านข้าได้กลิ่นของศิษย์พี่ตัวฝูเจ้าค่ะ”
“ไป!” นางคว้าม้าศึกที่สูญเสียเจ้าของไปแล้ว และวิ่งไปในทิศทางที่งูขาวบอก เป็นเพราะแรงกายไม่ค่อยมี หลังจากเวลาผ่านไปนานในตอนที่นางไม่สามารถทรงตัวต่อได้ก็ได้ยินเสียงของตัวฝู “คุณหนูๆ!”
หมิงเวยรู้สึกเวียนหัวเมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นตัวฝูนางก็หมดสติไป และตกลงจากหลังม้า
เมื่อนางตื่นขึ้นอีกครั้งก็เป็นเวลากลางคืนแล้วบนท้องฟ้ามีดาวอยู่ไม่กี่ดวง มีไฟลุกโชนอยู่รอบๆ และลมกลางคืนพัดช้าๆ และเงียบสงบ
“คุณหนูเจ้าคะ” เมื่อนางขยับตัวฝูก็ร้องเรียก หมิงเวยพยายามลุกขึ้นนั่ง
“แม่นางหมิง” คนที่นั่งอีกฝั่งคือโหวเหลียง เขาไม่ได้วิ่งหนีซึ่งหมิงเวยเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตัวฝูเทข้าวต้มจากหม้อแล้วถืออย่างระมัดระวัง “คุณหนูทานก่อนเถิดเจ้าค่ะ เสี่ยวไป๋บอกว่าท่านหิว บ่าวป้อนน้ำแกงโสมแล้วตอนนี้ยังทานอะไรได้ไม่มากทานข้าวต้มก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หมิงเวยยิ้มเพียงบางเบานางรับข้าวต้มมาทานทีละคำจนหมดอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดนางก็มีเรี่ยวแรงและพูดว่า “โชคดีที่เจ้าใส่น้ำตาลในกระเป๋ามาก่อน ข้าจึงมีแรงพอที่จะหลบหนี”
ตัวฝูยิ้มอย่างดีใจ “สามารถช่วยคุณหนูได้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
เพราะไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันร่างกายเลยมีกลิ่นเหม็นตัวฝูจึงช่วยหมิงเวยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อจัดการตัวเองเสร็จแล้วนางจึงมีเวลาถาม
“เกิดอะไรขึ้นที่เขาเทียนเสินหลังจากที่ข้าหายตัวไปหรือ”
โหวเหลียงหมุนตัวกลับมาตอบว่า “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าเผ่าทั้งแปดในหุบเขา พวกเขาต่อสู้กันและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วชาวหูเหรินทั้งหมดที่อยู่ใกล้เขาเทียนเสินก็เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงของโหวเหลียงขุ่นเคืองเล็กน้อย “ข้าน้อยคิดว่าแม่นางจะใช้งานข้าหนักที่แท้ก็ใช้ข้าเพื่ออำพราง”
หมิงเวยหุบยิ้ม “ท่านโกรธหรือ”
“ไม่กล้าขอรับ” โหวเหลียงตอบกลับ
เขาเป็นคนนิสัยไม่ดีและเป็นคนเลือกข้าง เป็นเรื่องแปลกที่นางมอบหมายงานสำคัญให้เขา เดิมทีนางจงใจส่งเขาให้อยู่ข้างกายซูถูเพื่อสร้างภาพลวงตาการร่วมมืออย่างสงบและสร้างความสับสนให้แก่ซูถู
“ท่านไม่ได้ใช้โอกาสที่จะวิ่งหนีไปซึ่งทำให้ข้าประหลาดใจมาก! ท่านมีชื่อเสียงไม่ดีในจงหยวนแต่ซูถูเชื่อมั่นในตัวท่านมาก หากท่านอยู่เคียงข้างเขาถือว่าเป็นทางออกที่ดีทีเดียว”
โหวเหลียงถอนหายใจ “มันก็จริงขอรับ”
“แล้วทำไมท่านไม่หนีไปล่ะ”
โหวเหลียงเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “อาจเป็นเพราะข้ารู้สึกว่า…ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจนตัดขาดกันยาก!”
“คุณหนูอย่าไปเชื่อเขาเจ้าค่ะ” ตัวฝูพูดขัด “เขาแค่ไม่ชอบดินแดนรกร้างมันไม่สนุก”
โหวเหลียงกระซิบ “แม่นางตัวฝูช่างมีอารมณ์ขันจริงๆ”
อืม…จริงๆ ก็ถูกนิดหน่อยแค่นิดหน่อยเท่านั้น!
หมิงเวยดึงกลับเข้าหัวข้อ “หมายความว่าทั้งแปดเผ่าเกิดความวุ่นวายแล้วหรือ”
“ขอรับ จากการประเมินของข้าหลายวันมานี้มีชาวหูเหรินเสียชีวิตประมาณหมื่นคน และพวกเขาทั้งหมดเป็นคนเก่งที่อยู่รอบๆ กายหัวหน้าเผ่าทั้งแปด แม่นางหมิงท่านไม่ต้องลงแรงตอนนี้ก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายหมื่นคน ผลงานเช่นนี้หากฝ่าบาททราบท่านได้ตำแหน่วโหวแน่!”
โหวเหลียงอิจฉามากผลงานเช่นนี้ดีต่อตนมากจนสามารถสวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดได้เลย[1]
หมิงเวยส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ผลงานของข้าอย่างที่ข้าคิดไว้แต่แรก แต่มันขัดขวางแผนการของซูถูสถานการณ์ในตอนนี้ผิดพลาดไปจริงๆ”
ผู้ใดจะคาดคิดว่าองค์หญิงหย่งชิงจะซุ่มซ่อนอยู่ในเขาเทียนเสิน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หมิงเวยก็รู้สึกโชคดีไม่คิดว่าอดีตองค์หญิงที่ถูกส่งมาสัมพันธไมตรีจะเจ็บปวดเพียงนั้นแค่คำพูดไม่กี่คำก็กวนใจนางได้แล้ว
“น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสฆ่าซูถูคนผู้นี้อันตรายเกินไป” หมิงเวยถอนหายใจ
โหวเหลียงพยักหน้าตอบรับองค์ชายผู้นี้ตั้งใจเรียนเกินไปไม่ช้าก็เร็วเขาต้องเข้าใจข้อมูลเชิงลึกของคนจงหยวนแน่นอน
“กองคาราวานในเมืองหยุนไฉล่ะ” หมิงเวยถามอีกครั้ง
ตัวฝูตอบ “คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ ก่อนที่พวกเราจะจากไปได้สั่งให้พวกเขาเดินทางกลับทันที ตอนนี้ทั้งแปดเผ่ากำลังต่อสู้กันอยู่คงดูแลพวกเขาไม่ได้ให้กลับไปอย่างปลอดภัยจะดีกว่า” หมิงเวยพยักหน้า
โหวเหลียงพูด “ข้าเกรงว่าคนที่ตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดคงเป็นพวกเรา แม่นางหมิงท่านจะทำอย่างไร ซูถูรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าท่านใช้อุบายกับเขาหากเขารอดมาได้ก็คงตามไล่ฆ่าพวกเราเป็นแน่”
หมิงเวยยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่ ต่อไปพวกเราคงต้องหนีกัน” นางไม่กล้าบอกว่ายังมีอีกหนึ่งปัญหาใหญ่
เชิ่งชีถูกนางหักหลังหากเห็นว่าทั้งแปดเผ่าอยู่ในความวุ่นวาย แผนการที่เขาซุ่มซ่อนอยู่ในทุ่งหญ้ามานานกว่าสิบปีล้มเหลวจะยินดีหรือไม่ ตราบใดที่ตามหานางเจอมันจะแปลกถ้าเขาไม่มาไล่ฆ่านางด้วย! แต่นางจะไม่พูดถึงตอนนี้เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจของพวกเขาแล้วกัน
ทั้งสามคนคุยกันอยู่สักพักแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน และปล่อยให้งูขาวเฝ้ายามในตอนกลางคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพวกเขาทำการลบร่องรอยจากนั้นก็ขี่ม้าและมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาไม่สามารถใช้เส้นทางเก่าบนเขาเหยียนซานได้อีกแล้ว หากไปทิศทางเดียวกับคนพวกนี้ก็เท่ากับให้โอกาสคนอื่นๆ จับได้หมด
หากไปทางทิศตะวันตกที่เป็นทะเลทรายหมิงเวยก็ไม่มั่นใจว่าจะพาพวกเขาทั้งสองกลับไปได้อย่างปลอดภัยภายใต้สถานการณ์ที่ขาดแคลนเสบียงเช่นนี้
หลังจากอ่านแผนที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่านางตัดสินใจไปที่เป่ยเทียนเหมิน
กองทัพซีเป่ยแยกออกเป็นสองฝั่งกองทัพปีกขวาปกป้องเป่ยเทียนเหมิน ผู้บัญชาการทัพสูงสุดที่อยู่ที่นั่นคือแม่ทัพเหลียงจางผู้มีชื่อเสียง ตราบใดที่พวกเขาไปถึงเป่ยเทียนเหมินพวกเขาจะปลอดภัย
……………
[1] สวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดได้ : คนที่จากบ้านเกิดไปทำงานจนประสบความสำเร็จและกลับมาช่วยเหลือครอบครัวญาติมิตร