ตอนที่ 106 อยากประสบความสำเร็จก็ต้องบ้าก่อน

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

ตอนที่ 106 อยากประสบความสำเร็จก็ต้องบ้าก่อน

“กินนิดหน่อยก็พอแล้ว มีเยอะฉันอาจจะกินไม่ลง” เย่ฉูฉู่กล่าว “คุณบอกฉันอีกหน่อยสิคะว่าเลขาพูดอะไร ถึงทำให้ความคิดของคุณเปลี่ยนไป?”

จ้าวเหวินเทายิ้ม จึงเล่าถึงเรื่องที่เลขาไม่อยากให้ลูกชายเรียนหนังสือ และให้กลับมาทำนา

“ทุกคนคิดว่าเขาพูดเรื่องจริง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปเลียแข้งเลียขา เป็นเพราะผมไม่อยากให้เขาถ่วงความเจริญคนอื่นแบบนี้ ก็เลยเอ่ยปากพูดไป ผลลัพธ์ที่ได้ถึงรู้ว่าที่เลขาพูดนั้นเขากำลังคุยโวโอ้อวดอยู่ต่างหากล่ะ ลูกชายของเขาอยากเรียนหนังสือเขาเองก็ภูมิใจ เสียดายที่คุณไม่ได้เห็นสีหน้าของหัวหน้า ตอนนั้นถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยล่ะ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่ฉูฉู่เองก็ยิ้มเช่นกัน เธอรู้สึกว่าทุกอาชีพล้วนต่ำต้อย มีแค่การได้รับการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง

การศึกษาจะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ การศึกษาก็ยังเป็นสิ่งที่ดี

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น โจวหมิ่นพี่สะใภ้สามของเธอนั่นล่ะคือตัวอย่างที่ดีที่สุด

ในห้องปีกตะวันตกของลานหน้าบ้าน พี่สะใภ้รองจ้าวนำเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ มาวางไว้ ปากก็บ่นว่า “ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเลขาบอกว่าหมูในปีนี้เติบโตอย่างดี ฉันก็คิดว่าจะแบ่งเนื้อได้มากหน่อย ผลลัพธ์ที่ได้กลับแบ่งได้แค่นี้ แถมยังเป็นเนื้อแดงทั้งหมด ที่มีเนื้อติดมันไม่มีเลย จะเจียวเอาน้ำมันก็ไม่ได้!”

ยุคนี้ไม่มีใครอยากได้เนื้อแดง ทุกคนต่างก็อยากได้เนื้อขาวติดมันกันทั้งนั้น แบบที่กัดหนึ่งคำแล้วมีน้ำมันเยิ้มออกมา

ไม่เพียงแค่ได้รับประทานอย่างเพลิดเพลิน แถมยังนำน้ำมันมาผัดกับข้าวได้ด้วย

“รู้จักพอบ้างเถอะ เวลานี้ในปีหน้าก็ไม่มีให้แบ่งแล้ว” พี่รองจ้าวนั่งอยู่บนเตียงเตาพลางกล่าว “ใส่ผักลงไปให้เยอะหน่อย ปีใหม่จะได้เอาไปห่อเกี๊ยวกิน”

พี่สะใภ้รองจ้าวทำงานไปพลางก็ถามไปพลาง “เรื่องที่ทำงานเองได้ข้อสรุปแล้วเหรอ? หนึ่งคนได้ส่วนแบ่งที่ดินเท่าไรล่ะ?”

พี่รองจ้าวรู้ดีว่าภรรยาคิดอะไร ในบ้านมีลูกเยอะ ถ้าแบ่งที่ดินให้น้อยก็ไม่พอกินไม่พอดื่ม

“ผมเองก็ได้ยินมาอีกที ยังไงก็ต้องคนละ 8-9 หมู่[1]แหละมั้ง” พี่รองจ้าวครุ่นคิดพลางกล่าว

“8-9 หมู่เลยเหรอ ถ้างั้นก็ใช้ได้แล้วล่ะ” พี่สะใภ้รองจ้าวคำนวณ “พวกเรามีกันห้าคน ถ้าคำนวณโดยยึดจากแปดหมู่ ก็ได้มาสี่สิบหมู่เลยนะ! ถ้าเป็นแบบนี้ มีสมาชิกมากก็คุ้มค่า”

“ใช่แล้ว มีสมาชิกน้อยก็ขาดทุน” พี่รองจ้าวนึกถึงน้องชายหก “โชคดีนะที่เจ้าหกมีลูกแล้ว ไม่งั้นคงได้แบ่งแค่สองคน”

“เด็กคนนั้นยังไม่เกิดออกมาก็นับรวมแล้วเหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

“คุณก็พูดมาได้ มีลูกแล้ว แบบนั้นก็ต้องนับเป็นหนึ่งคนสิ มีสิทธิ์อะไรไม่ให้ที่ดินกับเขา” พี่รองจ้าวขมวดคิ้วเหลือบมองหล่อนปราดหนึ่ง คำพูดแบบนี้ของพวกผู้หญิงหมายความว่าอย่างไรเนี่ย?

พี่สะใภ้รองจ้าวเก็บงำความคิดของตนไว้ ถึงอย่างไรที่ดินที่แบ่งกันก็ไม่ใช่ของหล่อน จึงพูดไปว่า “พูดไปก็มีเหตุผล จริงสิ ที่ดินบนเขากับที่ดินตรงแม่น้ำไม่เหมือนกันนะ คุณต้องจับตามองหน่อยล่ะ อย่าให้ถึงเวลานั้นมีแต่คนมารังแกคนซื่อ ๆ อย่างพวกเราด้วยการแบ่งที่ดินบนเขาให้เราหมดเชียวนะ”

ที่ดินบนเขาต้องขึ้นอยู่กับเทวดาฟ้าฝนอย่างเดียว ต้องมีลมมีฝนจึงจะเกิดการเพาะปลูกได้ ส่วนที่ดินตรงแม่น้ำเมื่อเกิดภัยแล้งก็สามารถรดน้ำได้ ขอแค่ตั้งใจทำ ย่อมไม่ได้เลวร้ายอะไร ทุกคนจึงยินดีที่จะรับที่ดินตรงแม่น้ำอยู่แล้ว

“เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีใครโง่อยู่แล้ว” การแบ่งที่ดินคือช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พูดเรื่องนี้ในตอนนี้ยังเร็วเกินไป พี่รองจ้าวจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้เจ้าหกไปดูเขาเชือดหมู ตอนที่ผมไปแบ่งเนื้อก็ได้มองไปที่ประตู แล้วก็เห็นเจ้าหกนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านหน้าเลขาด้วย”

พี่สะใภ้รองจ้าวชะงัก กล่าวขึ้น “น้องสามีหกไปนั่งดื่มเหล้ากับเลขาได้ด้วยเหรอ? เลขาให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้เลย?”

อย่ามองว่าเลขาหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านพวกนี้เป็นแค่เจ้าหน้าที่ในหมู่บ้าน เดินออกนอกหมู่บ้านก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว แต่อยู่ในหมู่บ้านเขาก็ยังเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ แถมยังน่าเกรงขามด้วย!

“เลขาให้ความสำคัญกับเจ้าหกเป็นอย่างมากมาโดยตลอดนั่นแหละ ก่อนหน้านี้คนอื่นแอบอู้ไม่ได้ แต่พอเจ้าหกแอบอู้เขาก็ไม่เคยพูดอะไรเลย” พี่รองจ้าวกล่าว

“นั่นไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าคุณพ่อเหรอ บ้านเรามีสมาชิกตั้งหลายคน เขาแอบอู้งานก็ต้องทำเป็นหลับหูหลับตาข้างหนึ่งอยู่แล้ว” พี่สะใภ้รองจ้าวบุ้ยปาก

แต่การที่น้องสามีคนเล็กแอบอู้งาน ภาระก็มาอยู่บนตัวของคนตระกูลจ้าวที่เหลือนี่แหละ เขาอู้งานคนอื่นก็ต้องทำแทน

พี่รองจ้าวไม่พูดเรื่องนี้ เขาเปลี่ยนเรื่อง “เขาถามด้วยว่าเจ้าหกได้เงินเท่าไร”

พี่สะใภ้รองก็สงสัยใคร่รู้ “แล้วเขาว่ายังไงบ้าง?”

ถูกถามคำถามเช่นนี้ แบบนั้นคงตอบยากจริง ๆ

“ฉันเห็นเขานั่งคุยโวอยู่พักหนึ่งเลย เดิมทีก็คิดว่าเขาคงได้เงินมาไม่น้อย แต่พอได้ฟังดูแล้ว เขาไม่เห็นจะได้เงินเลย แถมยังกลายเป็นฟู่เวิง (ลูกหนี้) อะไรก็ไม่รู้” พี่รองจ้าวกล่าว

ตอนนั้นที่เขาได้ฟังก็แทบอยากจะกุมหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหกถึงได้พูดเรื่องนี้จนกลายเป็นคำพูดชอบธรรมไปได้

“หมายความว่ายังไง? กลายเป็นฟู่เวิง (เศรษฐี) ไม่ดีอีกเหรอ?” พี่สะใภ้รองยังไม่ตอบสนอง

“ฟู่เวิง ฟู่ที่แปลว่าภาระต่างหากล่ะ ไม่ใช่ฟู่ที่แปลว่าร่ำรวยเงินทองไหลเป็นเทน้ำเทท่า นี่ก็เท่ากับขาดแคลนเงินไม่ใช่เหรอ? ไม่ต้องพูดถึงเงินที่ซื้อรถสามล้อเครื่องยนต์คันนั้นหรอก เงินรถจักรยานของเขายังไม่คืนทุนเลย นี่ก็หิมะตกแล้ว ขับรถออกไปก็ไม่ได้ ทำได้แค่ยืนมองนั่นแหละ วันนี้ยังบอกอีกว่าใครอยากเข้ามณฑลก็ให้เขาพาเข้าไปได้ จ่ายค่าน้ำมันกับค่าเหนื่อยก็พอแล้ว นี่ถึงขั้นอยากทำเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้แล้วนะ!” พี่รองจ้าวยังคงเป็นกังวลน้องชายของตัวเองเป็นอย่างมาก

พี่สะใภ้รองจ้าวเกือบจะกระตุกยิ้มมุมปากออกมาอยู่แล้ว ทว่าหล่อนก็รีบควบคุมโดยเร็ว ถ้าสามีของหล่อนเห็นคงได้ด่ายับแน่

ดังนั้นหล่อนจึงพูดปลอบใจไปว่า “น้องสามีเป็นคนสมองปราดเปรื่อง ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดแบบนั้นหรอก อีกอย่าง นั่นก็เป็นรถที่พี่ชายสามของภรรยาเขาซื้อไม่ใช่เหรอ? ต่อให้ขาดทุน แต่พี่ชายสามของภรรยาจะมาบังคับให้ใช้หนี้ถึงบ้านเหรอ? ถึงเวลานั้นก็ค่อย ๆ คืนไปสิ ทั้งสองคนก็ยังหนุ่มยังแน่น ปีหน้าก็ทำงานเองแล้ว ตั้งใจปลูกผักทำนาประหยัดเงินสักหน่อย ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

พี่สะใภ้รองจ้าวชะงัก กล่าวต่ออีกว่า “อันที่จริงขาดทุนก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะ เจ้าหกออกนอกลู่นอกทางตลอด ขาดทุนครั้งนี้ หลังจากนี้จะได้ทำใจ และได้รู้สักทีว่าการใช้ชีวิตต้องอย่าใจร้อน”

แม้ว่าพี่รองจ้าวจะรู้สึกว่าสิ่งที่พี่สะใภ้รองจ้าวพูดมาก็มีเหตุผล แต่เขากลับถอนหายใจกล่าวว่า “ก็แค่กลัวว่าหลังจากบทเรียนครั้งนี้ เจ้าหกจะไม่สนใจและทำมันต่อไปนี่แหละ”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน? ล้มหนัก ๆ แม้แต่จะลุกขึ้นมายังลุกไม่ขึ้นเลย” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว

“คุณยังไม่ได้ยินที่เจ้าหกพูด เคล็ดลับของเขาคือ ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องบ้าก่อน ใช้สมองคิดให้ง่าย ๆ แล้วลุยไปข้างหน้า ไม่ว่าด้านหน้าจะเป็นบ่อโคลนหรืออะไรก็ตาม ลุยไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” พี่รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“พรืด…” ครั้งนี้พี่สะใภ้รองจ้าวทนไม่ไหวแล้ว หล่อนถึงกับหลุดขำออกมา

ในตอนนี้พี่สามจ้าวก็กำลังบ่นเกี่ยวกับเนื้อหมูที่แบ่งมา “บอกว่าปีนี้หมูเติบโตได้เป็นอย่างดีไม่ใช่เหรอ แบ่งออกมาได้แค่นี้เอง แถมยังมีหมูตั้งหลายตัวที่ไม่ได้ฆ่า รอให้มันคลอดหรือไง!”

“รู้จักพอเถอะ ปีที่แล้วยังไม่ได้เยอะเท่านี้เลย” พี่สะใภ้สามจ้าวยกเนื้อขึ้นมา “นี่ก็น่าจะ 2-3 ขีดเลยนะ ปีใหม่เอาไปห่อเกี๊ยวกินก็แล้วกัน”

“แม่ พวกเรากินตอนนี้สักหน่อยเถอะ” หม่าต้านหิวจนไม่ไหวอยู่แล้ว เขากล่าวขึ้นว่า “วันนี้พวกเราบดถั่วด้วยนะ!”

หิมะตกหนักไม่สามารถไปขายเต้าหู้ได้ แต่พี่สามจ้าวก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาพาพวกเด็ก ๆ ไปบดถั่วเพื่อทำเต้าหู้ตามเดิม จากนั้นก็แช่ให้แข็งที่ด้านในสวน เตรียมไว้สำหรับขายเต้าหู้แช่แข็งเมื่อถึงเวลา

รสชาติของเต้าหู้แช่แข็งก็ไม่เลวเลย ที่สำคัญคือเต้าหู้ถ้าไม่แช่แข็งก็จะเสีย

เอ้อร์หยาก็ทนไม่ไหวแล้ว “วันนี้ตอนที่เชือดหมู พวกเด็ก ๆ ก็ไปที่ทำการหมู่บ้านกันหมด พวกเขาต้องได้กินเนื้อแน่ ๆ แถมยังได้กินไส้กรอกเลือดอีก พวกเรายังไม่ได้กินเลย”

พี่สะใภ้สามจ้าวเองก็บ่น “ต้องโทษพ่อของพวกลูกนั่นแหละ แม่บอกไปแล้วว่าให้พวกลูกไป เขาก็ยังจะเรียกให้พวกลูกอยู่บ้านบดถั่วอยู่นั่นแหละ ถ้าไปก็ยังมีอาเล็กอยู่ด้วย ยังไงก็ต้องได้กินสักสองสามคำ ได้ยินมาว่าไส้กรอกเลือดวันนี้หอมมาก!”

………………………………………………………………………………………………………………………….

[1] หมู่ (亩) หน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 หมู่ = 1/15 เฮกต้าร์ หรือ 0.416667 ไร่

สารจากผู้แปล

คนที่ไม่มีต้นทุนอะไรก็ย่อมไม่กล้าเสี่ยงเป็นธรรมดา เกิดเจ๊งไปก็คือลุกไม่ขึ้น ส่วนเหวินเทานั้นมีต้นทุนอยู่ ก็ไม่แปลกที่จะกล้าเสี่ยงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

ไหหม่า(海馬)