ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 87 สำนักทรุดโทรม (3)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ประตูสำนักถูกเคาะ เซวียนหยวนผ้อจึงไปสอบถาม หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมา ใบหน้าของหนุ่มน้อยถึงแม้จะเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังเต็มใบหน้า แต่ก็ไร้หนทางที่จะปกปิดสีแดงบนใบหน้าได้ นั่นเป็นความตื่นเต้น และความเขินอาย เพราะมีหญิงสาวผู้หนึ่งกางร่มกระดาษเดินตามเขามาถึงด้านหน้าของหอตำรา

ถังซานสือลิ่วจ้องมองหญิงสาวที่งดงามผู้นั้น กล่าวด้วยความประหลาดใจ “หญิงสาวที่ราวกับดอกกานพลูมาจากไหนกัน”

เซวียนหยวนผ้อถูฝ่ามือด้วยความตื่นเต้น กล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นหญิงสาวของตระกูลไหน สอบถามแล้วแต่นางกลับมิได้ตอบ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็ให้นางเข้ามาหรือ ถึงแม้เมื่อคืนจะเพิ่งผ่านคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดไป เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้แล้ว”

เซวียนหยวนผ้อรีบร้อนอธิบาย “นางบอกว่ารู้จักเฉินฉางเซิง”

เฉินฉางเซิงที่กำลังอ่านตำรา ได้ยินประโยคนี้ จึงวางม้วนตำราลงมองลอดขั้นบันไดออกไปด้านนอก พบว่าเป็นคนที่รู้จักจริงๆ มิใช่หญิงสาวแห่งตระกูลไหน แต่เป็นหญิงรับใช้ซวงเอ๋อร์แห่งจวนขุนพลเทพตงอวี้

เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่อธิบายกับเซวียนหยวนผ้อ ยืดตัวลุกมุ่งไปยังด้านนอกหอตำรา กล่าวกับซวงเอ๋อร์ “ไม่เจอกันนาน”

ที่จริงแล้วไม่ได้เจอกันนานจริงๆ ระยะห่างที่ครั้งก่อนซวงเอ๋อร์มาหาเขาที่สำนักฝึกหลวงก็ล่วงมาหลายเดือนแล้ว

ซวงเอ๋อร์หุบร่มกระดาษลง เป็นสัญญาณให้เขาตามนางไปยังมุมที่ลับตาคน

“มีธุระอันใดหรือไม่” เขาเอ่ยถาม

ซวงเอ๋อร์จ้องมองเขา คิดไปถึงเรื่องราวเล่าขานของการชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อวาน ท่าทางเปลี่ยนเป็นสับสน หลังจากคิดใคร่ครวญจึงเอ่ยออกมา “ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้า ข้ายอมรับว่าแท้จริงแล้วเจ้าเหนือความคาดการณ์ของคนจำนวนมาก แรกเริ่มฮูหยินกับข้าประเมินค่าเจ้าไม่ถูกต้องนัก”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “เจ้าก็มีจุดยืนของเจ้า ด้วยเหตุนี้ไม่ต้องขอโทษหรอก”

ที่เขากล่าวคือสิ่งที่ออกมาจากใจ แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่เขากล่าวล้วนแต่ออกมาจากใจ

ซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้น พลางเอ่ย “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป ความคิดข้าอาจจะมองเจ้าผิดพลาดไป ทว่ามิได้หมายความว่าข้าจะสนับสนุนเจ้ากับคุณหนู ถึงแม้เจ้าจะมีความรู้เหนือผู้ใด แต่ก็ฝึกบำเพ็ญเพียรไม่เป็น สุดท้ายแล้วก็ยังเป็น…”

ถึงแม้นางจะไม่ชื่นชอบเฉินฉางเซิง แต่ที่จริงแล้วก็มิได้มีจิตใจคิดร้าย จึงนำความว่าของไร้ประโยชน์เก็บคืนเสีย

ทว่าผู้คนต่างทราบความหมายของนางดี

เฉินฉางเซิงกล่าว “เจ้าสนับสนุนหรือไม่ ก็มิได้มีความหมายต่อการสมรสนี้”

ซวงเอ๋อร์โมโห เอ่ยออกมา “ความสัมพันธ์ของข้ากับคุณหนูประหนึ่งพี่น้อง ข้าสนใจความสุขของคุณหนูเหนือผู้ใด เมื่ออยู่ที่การชุมนุมไม้เลื้อยเจ้าหยิบหนังสือสมรสออกมา ยินดีเมื่อได้สลัดความทุกข์ยากออกไป ทว่าเจ้าได้คิดหรือไม่ ระหว่างคุณหนูกับชิวซานจวินเป็นคู่ที่ดีงาม กลับถูกเจ้าทำลายเช่นนี้ เจ้าทำได้ลงได้อย่างไรกัน”

“ด้วยเหตุนี้ เจ้าเลยมาทวงความยุติธรรมให้ชิวซานจวินหรือ”

เฉินฉางเซิงจ้องมองนางเอ่ยออกมา “เจ้าก็คงจะทราบดี การชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อคืนที่แล้ว คุณหนูของเจ้าให้นกกระเรียนขาวนำจดหมายมา ความในจดหมายนางยอมรับการสมรสครั้งนี้ อีกทั้งตอนนี้เจ้าคล้ายกับว่ามีความคิดเห็นไม่ตรงกับการสมรสครั้งนี้ จนถึงขนาดมาทวงความยุติธรรมให้ชายอื่นอีกหรือ”

“เจ้าทำเช่นนี้ คุณหนูของเจ้าล่วงรู้หรือไม่”

ซวงเอ๋อร์เอ่ยสิ่งใดไม่ออก นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูถึงทำเช่นนี้

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “มีธุระอื่นอีกหรือไม่”

“ประโยคก่อนหน้านี้ที่จริงแล้วไม่ควรที่จะเป็นข้าเอ่ย”

ซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบลงมา ยกแขนขึ้นเช็ดหยดน้ำตามลำคอ พลางกล่าวออกมา “คุณหนูมีคำพูดฝากข้ามา”

“คำพูดอะไรหรือ”

“เจ้าอย่าเข้าใจผิด”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งเป็นเวลานาน ก่อนหน้านี้ซวงเอ๋อร์ก็เคยพูดประโยคทำนองนี้ ทำร้ายจิตใจยิ่งนัก สวีโหย่วหรงมีความหมายอะไรเล่า

เขาเอ่ยถาม “เข้าใจผิดอะไรหรือ”

“ข้าไม่รู้” ซวงเอ๋อร์จ้องมองใบหน้าเขา กล่าวต่อ “เจ้าเองก็คงจะรู้ดี”

เมื่อคืนนกกระเรียนขาวนำจดหมายเดินทางนับพันลี้กลับมายังจิงตู ในจดหมายสวีโหย่วหรงได้แสดงเจตจำนงของตนเอง ถึงแม้เขาจะเข้าใจชัดเจนว่า สวีโหย่วหรงก็มิได้สมรสกับตนจริงๆ การที่นางกระทำเช่นนี้จะต้องแอบแฝงไปด้วยความหมายอื่น ทว่าความไม่ชื่นชอบที่มีต่อนางก็ได้เบาบางลงไปมาก

ทว่าเวลานี้ได้ยินประโยคที่ซวงเอ๋อร์อธิบายออกมา จิตใจของเขาก็ไม่สู้จะดีนัก

“มีเพียงแค่นี้หรือ”

เขาจ้องมองซวงเอ๋อร์พลางเอ่ยออกมา นี่เป็นความหมายที่เตรียมจะส่งแขก

ซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “คุณหนูยังกล่าวอีกว่า ถ้าหากเจ้ามีสิ่งใดอยากจะกล่าว ให้เขียนจดหมายถึงนางโดยตรง”

เสียงนกแผดร้อง นกกระเรียนขาวบินร่อนลงจากท้องฟ้าลงมา กระพือปีกทั้งสอง ร่วงลงมายังด้านนอกหอตำรา เม็ดน้ำที่อยู่บนปีกกลิ้งไหลลงมาเชื่องช้า

เฉินฉางเซิงจ้องมองนกกระเรียนขาวพลางพยักหน้า

นกกระเรียนขาวเดินมาด้านหน้าเขา ก้มลำคอลง ถูเข้ากับแขนของเขา คล้ายกับว่าสนิทสนมกัน

“หลายปีมานี้ เจ้าเป็นอย่างไร” เขามองนกกระเรียนขาวพลางเอ่ยถาม

นกกระเรียนขาวร้องกังวานใส คล้ายกับว่ากำลังตอบเขาอยู่

ขณะกำลังมองภาพนี้ ซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอย่างยิ่ง

เมื่อคืนที่แล้วนกกระเรียนขาวโบยบินไป เฉินฉางเซิงคิดว่าได้ลืมอะไรบางอย่างไป ตอนนั้นคิดว่าเป็นมังกรดำที่อยู่ข้างใต้สวนรกร้าง เวลานี้เขาเพิ่งคิดออก ตนควรเขียนจดหมาย หลังจากนั้นให้นกกระเรียนขาวนำกลับไปให้สวีโหย่วหรง มีเรื่องราวมากมาย หากสนทนาโดยตรงก็คงจะดีไม่น้อย

ซวงเอ๋อร์ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายแสดงบทบาทระหว่างเขากับสวีโหย่วหรง เขาไม่ชื่นชอบเช่นนี้

หลังจากมาถึงจิงตู สวีโหย่วหรงเขียนจดหมายด้วยมือของนางเพียงแค่หนึ่งฉบับให้เขา จดหมายฉบับนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่ตัวอักษร คล้ายกับว่าเป็นตัวอักษรที่ประหยัดน้ำหมึกอย่างยิ่ง

กระทำตนให้ดีที่สุด

เฉินฉางเซิงยกพู่กันคิดเพียงชั่วครู่ เขาควรจะเขียนให้เฉียบขาดอย่างไร ถึงจะเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง หรือว่าจะเป็นสี่ตัวอักษรคำกลอนที่โดดเด่นไม่เหมือนธรรมดา ถึงจะไม่ขายหน้าโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามได้

นี่เป็นจดหมายที่นางเขียนให้ฉบับแรกหลังจากอายุสิบปี

ทว่าสุดท้ายแล้วเขาจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายด้วยความเรียบง่าย ใช้ประโยคธรรมดา เรื่องที่เล่าก็เป็นเรื่องธรรมดา

เขาไม่ปรารถนาจะกระฟัดกระเฟียดอารมณ์เสียกับหญิงสาวเสียเท่าไหร่

แม้ว่านางจะเป็นสวีโหย่วหรง แม้ว่านางจะเด็กกว่าเขาสามวัน ทว่ายังคงเป็นเพียงแค่หญิงสาวผู้หนึ่ง

ทางทิศใต้ของเมืองจิงตูไกลออกไปพันลี้ คือเทือกเขาเทพธิดา

เทือกเขาเทพธิดาเป็นเขตหวงห้าม จนถึงด้านนอกออกไปสามร้อยลี้ถึงจะมีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ประชากรที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา มีโรงเหล็ก มีโรงสุรา มีร้านเนื้อ และก็มีร้านพนัน ในร้านพนันธรรมดาแล้วจะเล่นต่อเลข ทอยลูกเต๋า แต่ร้านนี้ลึกเข้าไปมีห้องที่ตกแต่งเรียบง่าย วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้

โต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอก

คนที่นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของมือก็คือหญิงสาวสวยงามผู้หนึ่ง

หญิงสาวผู้นั้นอายุราวสิบห้าสิบหกปี หน้าตาประหนึ่งรูปวาด นัยน์ตาดำขลับ งดงามไม่เหมือนคนธรรมดา

ผู้คนที่นั่งโต๊ะอีกสามคนทราบดีว่านางจะต้องมิใช่คนธรรมดา

สองปีก่อน เจ้าของร้านพนันเวลานั้นเลือกประมือกับนางที่อายุน้อยกว่าผู้ใด มองแล้วบอบบาง เมื่อมองแล้วนางเป็นคนที่จะทำให้ผู้คนอยากก่ออาชญากรรมได้ง่าย คนแจกไพ่รับเอาตำแหน่งของเจ้าของร้าน ประจวบเหมาะกับเวลานี้คนที่นั่งทางด้านทิศตะวันออกเป็นบุรุษวัยกลางคน

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกระยะหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้จะมาที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อมาเล่นไพ่นกกระจอก สองวันหนึ่งคืนเล่นไพ่นกกระจอกไม่อนุญาตออกจากโต๊ะ

ห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายห้องนั้น หลายเดือนถึงจะเปิดใช้หนึ่งครั้ง คนที่เล่นไพ่นกกระจอกกับนางก็ยังคงเป็นสามคนแรกเริ่มนั้น แต่ไหนแต่ไรยังไม่เคยเปลี่ยนคนเล่น คนทั้งสามเป็นคนธรรมดา เป็นคนธรรมดาจริงๆ แล้วจะคิดได้อย่างไรว่าจะเจอเรื่องที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้

จากแรกเริ่มหวาดกลัวอย่างไม่สงบนิ่งจนถึงจัดไพ่มือไม่สั่นเทา พวกเขาใช้เวลาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้ พวกเขาสามารถคบค้าสมาคมกับเทพธิดาผู้นี้อย่างธรรมชาติ เมื่อเล่นไพ่มิได้มีเจตนาพ่ายแพ้แก่นาง และยังเล่นเอาเป็นเอาตายเพื่อช่วงชิงการแพ้ชนะกับนาง จนถึงขนาดมีบางครั้งกล้าบ่นโทษออกมา

สามารถเล่นไพ่กับเทพเซียนผู้งดงามเช่นนี้ เป็นโชคที่ยิ่งใหญ่มากมายเพียงใด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคราก็ชนะได้เงินมาจริงๆ เสียด้วย

ด้านนอกหน้าต่างมีเสียงนกกระเรียนแผดร้อง หญิงสาวเอ่ยว่า “ค่ำคืนนี้มีธุระ ไม่เล่นแล้ว”

คนทั้งสามตกใจยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดเกิดสิ่งใดขึ้น คาดไม่ถึงวันนี้จะสิ้นสุดรวดเร็วเพียงนี้ กฎการเล่นสองวันหนึ่งคืนหรือว่าจะไม่ต้องใช้แล้ว

หญิงสาวล้วงแผ่นทองคำออกมาวางไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นค่าชดเชย แล้วจึงหมุนกายออกไป

คนทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สตรีหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับแม่นางน้อย มองแล้วอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเสียเท่าไหร่”

เมืองเล็กที่อยู่ริมเทือกเขา สวีโหย่วหรงปลดจดหมายออกจากขาของนกกระเรียน เปิดออกมา

ภายใต้แสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า กระดาษถูกส่องชัดเจนอย่างยิ่ง ประโยคที่อยู่บนนั้นธรรมดา ลายมือสะอาดสะอ้าน เนื้อความไม่ได้ยาว ทว่านางกลับใช้เวลาอ่านยาวนาน

ในประโยคและลายมือ นางมองเห็นถึงความระมัดระวัง กลับมองไม่เห็นประความรู้สึกที่โกรธแค้น ถึงขนาดที่ว่าความรู้สึกสักนิดก็ไม่มี

นางยากที่จะจินตนาการ หนุ่มน้อยคนหนึ่งหลังจากมีประสบการณ์วันคืนที่ลำบากยากเข็ญในจิงตูยังสามารถเงียบสงบได้ถึงเพียงนี้

หากเปลี่ยนเป็นนาง นางคงจะทำไม่ได้เป็นแน่

นางจำได้ว่าเขาแก่กว่าตนเพียงแค่สามวัน

นางจ้องมองไปยังทิศทางของเมืองจิงตู พึมพำออกมา “ถ้าหากมิใช่ความเท็จ เจ้าเด็กคนนี้มิใช่สัตบุรุษ ก็คงจะเป็นนักพรตเต๋ากระมัง”

นกกระเรียนขาวเปล่งเสียงออกมา ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่เห็นด้วยกับนาง สิ่งที่ไม่เห็นด้วย ก็คือความเท็จสองคำนี้

สวีโหย่วหรงถอดทอนใจ พลางเอ่ย “เพราะเหตุใดเจ้าถึงชื่นชอบเจ้าเด็กผู้นี้ยิ่งนัก ข้าจดจำลักษณะท่าทางของเขาไม่ได้เสียแล้ว มีอะไรที่คู่ควรให้เจ้าชื่นชอบกระนั้นหรือ”

นกกระเรียนขาวเปล่งเสียงต่ำสองที เอ่ยถึงสิ่งที่นางกล่าวว่าเป็นสัตบุรุษและนักพรตก่อนหน้านี้

“ไม่ว่าจะเป็นสัตบุรุษหรือว่านักพรต ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่สามารถเคียงคู่ฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานานได้ เช่นนั้นก็จะน่าเบื่ออย่างยิ่ง”

นางจ้องมองนกกระเรียนขาวพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากมีชีวิตที่น่าเบื่อ”

มันเอียงลำคอเล็กน้อย คล้ายกับว่างุนงง ถ้าหากคุณหนูไม่อยากสมรสกับเฉินฉางเซิง เพราะเหตุใดถึงเขียนจดหมาย ยืนยันเรื่องการสมรสครั้งนี้ด้วยเล่า

สวีโหย่วหรงไม่ได้อธิบายสิ่งใด นางมีความคิดเห็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาหรือว่าปรมาจารย์ ใต้เท้าสังฆราชหรือว่าเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่ไม่ล่วงรู้

ต่อมานางเปิดจดหมายของซวงเอ๋อร์ หลังจากนั้นนางจึงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นของการชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อคืน

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเหนือความคาดหมาย

ในเมื่อหนังสือสมรสประกาศให้ทั่วทั้งโลกได้รับรู้ เช่นนั้นอย่างน้อยก็สามารถสงบได้สักระยะหนึ่งกระมัง

เพียงแค่เจ้าเด็กผู้นี้ช่างทำให้ผู้คนเหนือความคาดหมายจริงๆ

หลังจากนั้นนางอ่านประโยคที่ซวงเอ๋อร์เล่าต่อเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างนางกับเฉินฉางเซิง

นางประสานมือไว้ข้างหลัง มองไปยังทิศทางของจิงตูอีกครั้ง หลังจากนั้นเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

“อยู่ๆ ข้าคิดไปถึง…เมื่ออายุสิบเอ็ด ข้าเคยแอบเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วให้เจ้านำไปที่ซีหนิง”

นกกระเรียนขาวใช้จะงอยปากเล็กเรียวแตะเบาๆ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มันไปซีหนิง คนของจวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

“ในจดหมายสมรสคล้ายกับว่าข้าเคยเขียนแล้ว ข้าจะไม่สมรสกับเขา”

“เขาไม่ได้เขียนจดหมายคัดค้านตอบ เช่นนั้น ตอนนี้เขากำลังยืดหยันเพราะสิ่งใด”

สิ่งที่เฉินฉางเซิงยืดหยัดอยู่มิใช่การสมรสครั้งนี้ นอกจากอาจารย์และศิษย์พี่ที่วัดเก่าซีหนิง บนโลกใบนี้ตอนนี้ มีเพียงมังกรยักษ์สีดำที่อยู่ข้างใต้พระราชวังตัวนั้นที่ล่วงรู้ แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าหญิงสาววัยกลางคนที่บังเอิญเจอที่ริมสระน้ำผู้นั้นก็ล่วงรู้เช่นกัน

เพราะว่าเรื่องนี้ เขาแม้กระทั่งสละการเคยชินในการตื่นนอนเร็ว ใช้เวลาทั้งคืนในการนั่งสมาธิใคร่ครวญ ดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก ถึงแม้มองแล้วจะไม่ได้พัฒนาเสียเท่าไหร่ แต่ก่อนที่เวลาสุดท้ายมาถึง เขาจะไม่ละทิ้งความพยายามเป็นอันขาด

เมื่อเวลาอรุณรุ่งเช้า เขาตื่นนอนในหอตำรา

เป็นดังเช่นเมื่อวาน ยังคงถูกทำให้ตื่นนอน

ด้านหน้าของสำนักฝึกหลวง มีเสียงอันน่าเกรงกลัวดังขึ้นมา

เขาผลักประตูหอตำราออก เดินไปยังด้านนั้นกับถังซานสือลิ่วและเซวียนหยวนผ้อ

ประตูของสำนักฝึกหลวงเสียหาย

ประตูสำนักฝึกหลวงถูกคนทำลาย

จัดการประตูสำนักได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนก็ถูกรถม้าคันหนึ่งชนพังทลายลงมา

เศษก้อนหินและท่อนไม้เต็มพื้น มองแล้วน่าสงสารจับใจ

ม้าตัวหนึ่งนอนอยู่ในแอ่งน้ำ เบิกตาไร้จิตวิญญาณ เท้าทั้งสี่ขยับถีบเบาๆ

ละอองฝุ่นค่อยๆ จางหาย

คนขี่ม้าสิบกว่าคนปรากฏตัวด้านนอกประตูสำนักฝึกหลวง

อาภรณ์ดีเลิศ อาชาก็ยอดเยี่ยม

เป็นม้าที่ไม่ธรรมดา

พลม้าผู้นั้นหน้าผากเยือกเย็น ชัดเจนว่าไม่ใช่คนธรรมดา

หนุ่มน้อยพลม้าผู้นั้น จ้องมองประตูสำนักที่แตกหัก ใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวถาม “สำนักที่เสียหายแห่งนี้ยังจะมีสิ่งของใดจะต้องเก็บไว้หรือไม่”