ตอนที่ 270 ตัวประกัน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 270 ตัวประกัน

มู่หวางเฟยที่ถูกไทเฮาตรัสถึงกำลังจามออกมาเบา ๆ จนทำให้สาวใช้ตกใจคิดว่านางมิสบายขึ้นมาอีกจึงรีบปิดประตูหน้าต่างกันเสียยกใหญ่ แล้วรีบหยิบเสื้อนอกมาให้มู่หวางเฟยสวมทับทั้งยังมีสาวใช้ยกยาต้มเข้ามาทันทีอีกด้วย

“หวางเฟย โปรดดื่มยาหน่อยเจ้าค่ะ”

มู่หวางเฟยมีใบหน้าซีดเซียวและอ่อนแรง นางรับถ้วยยาจากมือของสาวใช้ เมื่อดื่มเข้าไปรสชาติขมแตะลิ้นทำให้คิ้วได้รูปทั้งสองข้างขมวดขึ้นเล็กน้อย

สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบยกผลไม้อบแห้งมาให้เจ้านายทานบรรเทาความขมทันที

หลังจากทานผลไม้ติดกันสองคำ รสชาติขมในปากจึงได้บรรเทาขึ้นมาก

คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของมู่หวางเฟยค่อย ๆ คลายออก ริมฝีปากที่ซีดขาวบ่งบอกถึงอาการของผู้ป่วยเรื้อรัง แต่ใบหน้าที่ซีดเซียวมิได้กระทบต่อความงดงามของนางเลย ตรงกันข้ามคือยิ่งเพิ่มความนิ่มนวลมากขึ้นอีก

“ฮานเอ๋อกลับมาหรือยัง ? ”

นางส่ายหน้าเล็กน้อย สาวใช้ที่ถือผลไม้อบแห้งจึงนำของไปเก็บ

“ซื่อจื่อกลับมาครั้งหนึ่งแล้วสั่งพวกบ่าวเตรียมยาประจำตัวหวางเฟยไว้ให้พร้อม จากนั้นก็สั่งทางครัวให้ทำซุปเม็ดบัวดอกกุ้ยฮวาที่ท่านชอบทานแล้วจึงรีบร้อนออกจากจวนราวกับมีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ”

สาวใช้ประจำตัวของมู่หวางเฟยได้สืบความเคลื่อนไหวทั้งหมดของมู่จวินฮานมาอย่างละเอียด เมื่อได้ยินนายเอ่ยถามจึงรีบรายงานให้ทราบทันที

เจ้าเด็กคนนี้ชอบรีบร้อน มิรู้ว่ากำลังทำอันใดอยู่

มู่หวางเฟยถอนหายใจออกมาเบา ๆ สาวใช้ข้างกายรู้ได้ทันทีว่านางอารมณ์มิดีจึงถามหยั่งเชิง “หรือว่าให้บ่าวส่งคนไปตามซื่อจื่อกลับมาดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“มิเป็นไร” มู่หวางเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา “ฮานเอ๋อโตแล้วจึงมีเรื่องให้ทำ ข้ามิไปรบกวนเขาดีกว่า”

มู่หวางเฟยอยู่แต่ในห้องทั้งวี่ทั้งวัน ต่อให้เป็นคนปกติมิได้มีร่างกายอ่อนแอเหมือนนาง หากอยู่ในห้องเยี่ยงนี้คงเบื่อจนล้มป่วยขึ้นมาจริง ๆ แน่นอน

สาวใช้กำลังคุร่นคิดอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านนอก

“ทำอันใดกัน เหตุใดจึงเสียงดังเช่นนี้ มิรู้หรือว่าหวางเฟยมิอนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน ? ”

สาวใช้อีกคนเปิดม่านออกไปด้านนอกแล้วตำหนิพวกที่มาส่งเสียงดังทันที

นางเป็นสาวใช้คนสนิทของมู่หวางเฟย เวลานี้ออกไปยืนเท้าสะเอวทำท่าทางขึงขังก็ดูน่ากลัวมิน้อย ส่งผลให้สาวใช้หลายคนตกใจถึงขั้นนิ่งไปทันที

“พี่ชิงซินอย่าโมโหเลย พวกข้ากำลังเก็บข้าวของส่วนตัวหวางเฟยอยู่”

หลังจากสาวใช้พวกนั้นตกตะลึงไปครู่ใหญ่ก็มีสาวใช้ที่คิ้วเรียวยาวคนหนึ่งยืนขึ้นมาและตอบกลับด้วยเสียงเบา “องค์ไทเฮาส่งคนมารับหวางเฟยเข้าวัง พวกข้าเกรงว่าหวางเฟยไปที่นั่นจักมิคุ้นเคยจึงคิดเตรียมของที่หวางเฟยใช้ประจำให้ติดตัวไปด้วย”

หวางเฟยได้บอกตอนไหนว่าจักเข้าวัง ?

ชิงซินที่ถลึงตาเท้าสะเอวอยู่บังเกิดความตกตะลึงอยู่ที่เดิม ขณะกำลังจักตำหนิพวกสาวใช้ว่าพูดจาเหลวไหลก็เห็นมู่หวางเฟยเดินออกมา

“คารวะหวางเฟยเจ้าค่ะ”

พวกสาวใช้เหล่านั้นต่างตื่นตระหนกแล้วรีบคำนับมู่หวางเฟยทันที หลังจากนั้นเสียงพูดก็ดังขึ้นทางโน้นทีทางนี้ที

มุมปากของมู่หวางเฟยยังคงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาที่มองเหล่าสาวใช้กลับมีความแปลกใจฉายอยู่ “องค์ไทเฮาเชิญข้าเข้าวังหรือ ? ”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ยังคงเป็นสาวใช้คิ้วเรียวยาวคนเดิมพูดขึ้นมา จากนั้นก็ส่งเสียงดีใจอย่างปิดมิมิด “องค์ไทเฮาทรงเป็นห่วงสุขภาพของท่าน เมื่อครู่จึงส่งคนมาแจ้งให้พวกบ่าวเก็บของใช้ท่านให้เรียบร้อยแล้วเชิญท่านเข้าพักในวังสักระยะหนึ่ง จักได้สะดวกให้หมอหลวงดูแลสุขภาพท่านด้วย รอท่านอ๋องกลับมาแล้วค่อยให้ท่านอ๋องไปรับหวางเฟยเจ้าค่ะ”

มู่หวางเฟยนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจ้องไปทางสาวใช้คนนั้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวแต่มีท่าทีเฉียบขาดน่าเกรงขามโดยมิมีสาเหตุ “คำเหล่านี้คนขององค์ไทเฮาเป็นคนสอนให้เจ้าพูดใช่หรือไม่ ? ”

สาวใช้ในจวนมิสามารถพูดจาเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

สาวใช้คนนั้นพยักหน้ารับ แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มดังเดิม “องค์ไทเฮาแค่สั่งให้พวกบ่าวส่งต่อคำเหล่านี้ พระนางตรัสว่าหวางเฟยจักทราบความหมายเองเจ้าค่ะ”

แม้แต่ส่งคนมาเชิญอย่างเป็นทางการยังมิมี แต่ก็สั่งสาวใช้พวกนี้เก็บของเสียแล้ว นี่ช่างมิสมกับเป็นไทเฮาเอาเสียเลย

เมื่อคิดได้เช่นนั้นสายตาของมู่หวางเฟยก็กวาดมองสาวใช้ปราดหนึ่ง ด้านหลังของพวกนางคือข้าวของเครื่องใช้ส่วนหนึ่งที่ถูกจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว

หากมิรู้ก็คงคิดว่าเรือนนี้จักย้ายไปอยู่เรือนใหม่เป็นแน่

“เก็บของพวกนี้กลับเข้าที่เดิม” น้ำเสียงของมู่หวางเฟยช่างอ่อนโยนแต่มิมีสาวใช้คนใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน

สาวใช้คิ้วเรียวยาวถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเก็บข้าวของคืนที่เดิมตามคำสั่งของมู่หวางเฟย

เมื่อเห็นสาวใช้เหล่านั้นวุ่นวายไปมา มุมปากของมู่หวางเฟยจึงยกยิ้มแสนขมขื่นขึ้น

องค์ไทเฮาส่งคนมาทำเช่นนี้ก็แค่ต้องการบอกนางว่า*เกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสายก็มิอาจมิยิงได้

และมีเพียงผู้ที่อยู่จุดสูงสุดในวังหลวงเท่านั้นที่จักทำให้ไทเฮาส่งข้อความเช่นนี้มาได้

ส่วนเหตุผล…

มู่หวางเฟยก้มมองข้อมือของตน บนข้อมือมีเชือกถักสีแดงเส้นเล็กที่ถูกถักอย่างประณีตอยู่ มันเป็นของที่อ๋องมู่มอบให้นางเป็นของขวัญก่อนออกเดินทาง

ข่าวสงครามม่อเป่ยส่งมา เปรียบเสมือนหนามที่ปักบนพระทัยของฮ่องเต้

ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้คิดวิธีเช่นนี้ออกมาคือให้นางเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา ภายนอกก็แสร้งบอกว่าเพื่อให้หมอหลวงในสำนักหมอหลวงได้ดูแลสุขภาพของนาง

ทว่าเรื่องนี้ขัดต่อธรรมเนียมที่ฮ่องเต้จักรับตัวฮูหยินของขุนนางเข้าไปอยู่ในวัง มิว่าคิดเยี่ยงไรผู้คนก็ต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี แต่ท่านอ๋องมู่มิอยู่ สุขภาพของนางก็อ่อนแอ ไทเฮาเองก็มีศักดิ์เป็นท่านป้า หลายเหตุผลรวมกันขอแค่บอกว่าไทเฮาคิดถึงนางจึงอยากรับไปอยู่ด้วยกันในวังสักระยะ ต่อให้ผู้อื่นรู้สึกว่ามิเหมาะสมแต่มิอาจตำหนิสิ่งใดต่อฮ่องเต้ผู้ที่อยู่สูงสุดได้

“เก็บของบางส่วนในห้องของข้าออกมา ส่วนพวกชิ้นใหญ่เหล่านี้ตำหนักไทเฮาย่อมมีอยู่แล้ว มิจำเป็นต้องเอาไปให้ลำบาก”

เหล่าสาวใช้รับคำ ชิงซินที่อยู่ข้างกายรู้สึกร้อนรนขึ้นมา “หวางเฟย ท่านจักเข้าวังจริงหรือเจ้าคะ ? ”

องค์ไทเฮาส่งคนมาเวลานี้ ผู้ใดก็เข้าใจความหมายดีว่าเพียงต้องการให้มู่หวางเฟยเข้าวังเป็นตัวประกันและใช้เรื่องนี้ข่มขู่ท่านอ๋องมู่เท่านั้น

แต่มู่หวางเฟยทำเพียงยกริมฝีปากขึ้น แม้จำยอมแต่ก็ยังตอบกลับอย่างอ่อนโยน “องค์ไทเฮาให้คนมาเชิญข้า ข้าจักมิไปได้เยี่ยงไร ? ”

“วางใจเถิด ในวังมีหมอหลวงมากมายถือว่ามีผลดีต่ออาการป่วยของข้า”

นางสุขภาพมิแข็งแรงมาโดยตลอด ท่านอ๋องมู่หายาที่ล้ำค่าเพื่อนางมากมายและเชิญหมอที่มีชื่อเสียงมิรู้กี่คนต่อกี่คน อาการของนางก็ยังมิดีขึ้น

ชิงซินได้ยินดังนั้นจึงเงียบเสียง หากตัดเรื่องที่ฮ่องเต้ต้องการใช้หวางเฟยเป็นตัวประกันแล้ว การที่หวางเฟยเข้าวังไปยามนี้ย่อมเป็นผลดีต่อตัวของนางอย่างแท้จริง

ยิ่งกว่านั้นขอเพียงท่านอ๋องมิได้มีจิตใจคิดทรยศ มิทำเรื่องก่อกบฏแล้ว ฮ่องเต้มิมีทางทำอันใดหวางเฟยได้ทั้งนั้น

ชิงซินเม้มริมฝีปากแน่น ระหว่างคิ้วตกลง “เยี่ยงนั้นหวางเฟยเจ้าคะ บ่าวจักไปกับท่านด้วย บ่าวดูแลอยู่ข้างกายท่านมา 5 ปีแล้ว หากท่านต้องเปลี่ยนคนดูแลบ่าวรู้สึกมิวางใจเจ้าค่ะ”

*เกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสายก็มิอาจมิยิงได้ หมายถึง ทำตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด อย่าหยุดหรือเปลี่ยนใจกลางคันเพราะจะส่งผลให้งานออกมาไม่ดีหรือเสียงานส่วนรวมได้