ตอนที่ 337 ย้ายกลับถิงหลานตามคำสั่งท่านเจวี้ยน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านสะพายกระเป๋าเป้สีดำเดินไปเอาหนังสือกองใหม่ที่ห้องทำงานคณบดีเจียงก่อนออกมา

พอเดินถึงชั้นล่าง ก็เห็นสิงไคกับฉู่หังทั้งสองคนกำลังยกเอกสารอยู่

“ฉินหร่าน!” สิงไครีบโบกมือหาฉินหร่าน “เธอจะไปไหน? จะไปที่ย่านของกินเหรอ?”

ฉู่หังก็กล่าวทักทายฉินหร่านเช่นเดียวกัน

“ไม่อะ ฉันจะออกไปข้างนอก” ฉินหร่านเปลี่ยนไปใช้มืออีกข้างถือหนังสือ ขนตาที่คล้อยต่ำลง บดบังเส้นเลือดแดงระเรื่อใต้ตา

หนังสือที่เธอถืออยู่เป็นบทเรียนบทเรียนภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ ทั้งหมดมีเจ็ดเล่ม ทุกเล่มมีขนาดใหญ่ทั้งมีน้ำหนักมาก

ดังนั้นเมื่อทั้งเจ็ดเล่มมารวมกันก็หนักอยู่หลายกิโล

“ให้ฉันช่วยเธอถือนะ” สิงไคออกปากอย่างสุภาพยิ่ง

ถ้าเกิดผู้ชายคนอื่นในห้องเห็นเข้า ว่าผู้หญิงหนึ่งในสองคนของห้องถือหนังสือกองหนึ่งด้วยตัวเองแล้วเขาไม่เข้าไปช่วย แน่นอนว่าคงถูกพวกผู้ชายในห้องตำหนิเอาได้

ฉินหร่านวางมือบนหนังสือ “ขอบใจนะ แต่ไม่หนักหรอก”

หลายวันมานี้ มีข่าวลือไปทั่วเกี่ยวกับฉินหร่านบนหน้าเว็บบอร์ด แต่ผู้ชายห้องหนึ่งภาควิชาวิศวกรรมอัตโนมัติต่างไม่มีใครเชื่อ เพราะช่วงเวลาที่ได้ฝึกทหารร่วมกันได้รับรู้ว่าตอนฉินหร่านตอนโกรธเป็นอย่างไร แต่ไหนมาเธอไม่เคยพูดคุยอะไรมากกับผู้ชายแน่นอนว่านอกเหนือจากเรื่องมิตรภาพและความเป็นพี่น้อง

เมื่อได้ยินฉินหร่านพูดเช่นนี้ สิงไคก็นึกถึงความสำเร็จอันน่าภาคภูมิของฉินหร่านในช่วงฝึกทหารขึ้นมาได้ กระเป๋าในมือของเธอคงมีน้ำหนักราวกับเหล็ก ของที่อยู่ในมือเธอชิ้นหนึ่งคงเบาไม่ต่างจากนกนางแอ่น คิดได้ดังนั้นสิงไคจึงค่อยๆ เก็บมือกลับ

“จริงสิ เธอต้องการเล็กเชอร์ของภาควิชาวิศวกรรมอัตโนมัติไหม?” สิงไคชี้ฉู่หังที่อยู่ด้านข้าง “ทุกคาบฉู่หังจะสรุปเล็กเชอร์ไว้ เขาเขียนสรุปได้อย่างชัดเจนทุกประเด็น ครั้งหน้าจะให้หนานฮุ่ยเหยาเอาไปให้เธอนะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หังที่แผ่ไอเย็นออกมาเล็กน้อยก็ได้แต่ผงกหัว เขาพูดด้วยเสียงอันสดใสว่า “แต่ว่ารุ่นพี่หงก็จบเกรดนิยมวิศวกรรมอัตโนมัตินี่ เธอคงไม่ต้องการหรอก”

ทั้งสามคนเดินไปพลาง ส่วนมากพูดคุยถึงเรื่องปัญหาวิชาฟิสิกส์ไปพลาง

จำนวนคนบริเวณหน้าประตูมหาลัยยังมีไม่มาก

ฉินหร่านกวาดตามองปราดหนึ่ง ก็เห็นเฉิงเจวี้ยนที่ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนราวกับนกกระเรียนในฝูงไก่

“ฉันกลับก่อนนะ” เธอกล่าวลาฝั่งฉู่หัง ก่อนเดินไปหาเฉิงเจวี้ยนที่อยู่อีกฝั่ง

เฉิงเจวี้ยนถือโทรศัพท์ ยืนอยู่บนขอบถนนอย่างไม่สนใจรอบข้างนัก สายตาอันว่างเปล่ากวาดตามองผู้คนรอบข้างด้วยท่าทางเกียจคร้านและไร้อารมณ์

ปกติเฉิงเจวี้ยนจะไม่ขับรถมามหาวิทยาลัย หนึ่งเพราะระยะทางไม่ไกล สองกลัวฉินหร่านได้รับผลกระทบที่ไม่ดี

เมื่อเห็นฉินหร่านหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย เฉิงเจวี้ยนก็วางมือลง หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือรับหนังสือของฉินหร่าน พลางใช้สายตากวาดมองฉู่หังและสิงไคปราดหนึ่ง

รูปร่างหน้าตาของทั้งสองนับว่าไม่เลว ทว่าในสายตาของฉินหร่าน น่าจะไม่รู้สึกว่าหล่อ เฉิงเจวี้ยนจึงกล่าวทักทายทั้งสองอย่างเป็นมารยาท

สิงไครีบตอบรับทันที “สวัสดีครับ!”

เมื่อฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนเดินจากไปแล้ว สิงไคมองตามหลังของทั้งสอง ถึงรู้สึกตัวขึ้นมา

ความประทับใจแรกที่พวกเขามีต่อคนผู้นั้นคือหล่อเหล่าเอาการ แม้ว่าอิริยาบถและน้ำเสียงของอีกฝ่ายจะสุภาพเพียงใด แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย สิงไคสัมผัสได้ถึงความกดดันอย่างชัดเจนในเวลาอันสั้น

ทั้งบุคลิก คำพูดล้วนไม่เหมือนคนทั่วไป ทั้งสุขุมและเย่อหยิ่ง โดยเฉพาะอายุไม่เหมือนกับลักษณะที่เหลิ่งเพ่ยซานเคยบอกไว้ว่าเป็น “วัยทำงาน” เทียบกับพวกเขาแล้วดูเหมือนห่างกันไม่กี่ปี…

ยิ่งมองยิ่งรู้สึกอายตัวเอง

สิงไคละสายตา พลางลูบคาง “ปกติคนที่เลิกเรียนแล้วอาจจะเหนื่อยเจียนตายกันหมด แต่ว่าฉินหร่านแปลกไปนิดหน่อยจริงๆ”

“ว่าไงนะ?” ฉู่หังเดินไปยังย่านของกินอีกฝั่ง

“ไม่แปลกเหรอ? สามารถสะพายสัมภาระได้อย่างกับยกปุยนุ่น ส่วนรองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้ากีฬาหลุยส์วิคตองรุ่นลิมิเตดอิดิชั่น” สิงไคคิด พลางเบ้ปากอย่างอดไม่ได้ “ปกติแล้วรองเท้ากีฬาพวกนี้เป็นรองเท้าที่เอาไว้เก็บสะสมที่บ้าน มีเพียงเธอเท่านั้นแหละที่ใส่เดิน”

“ทั้งเธอยังพกกระติกน้ำร้อนไปที่ค่ายทหารด้วย นายจำได้ไหม ว่าเพชรด้านบนฝากระติกเป็นของจริง…”

**

ตกเย็น

เมื่อเฉิงเวินหรูรู้ว่าฉินหร่านจะกลับมา จึงกลับมาขอกินมื้อเย็น ท่านั่งที่โต๊ะกินข้าวของเธอสง่างามและสุภาพ ขณะที่ดวงตากวาดมองไม่เห็นคนจึงวางมือเคาะโต๊ะ “หร่านหร่านล่ะ?”

เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ นิ้วมือเรียวยาวจับตะเกียบตอบอย่างไม่ใส่ใจ “อยู่ที่ห้องหนังสือ”

“ขยันขนาดนั้นเชียว? พี่…” เฉิงเวินหรูหยุดเคาะโต๊ะ พลางยืนขึ้นเพื่อขึ้นไปด้านบน

เฉิงเจวี้ยนยังคงก้มหน้า ก่อนพูดช้าๆ สามคำว่า “พี่ลองไปดู”

เฉิงเวินหรูหันตัวพลางลูบจานในมือ สิบวินาทีต่อมา ก็เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้า “พี่นึกขึ้นมาได้ว่าระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเข้มงวดมาก งั้นไม่ไปรบกวนหร่านหร่านละกัน”

เมื่อกินข้าวเสร็จ เฉิงเจวี้ยนเดินไปดูฉินหร่านด้านบน เฉิงเวินหรูไม่ได้ไปด้วย ขณะที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ไม่กล้าเอ่ยปากเรื่องอวิ๋นกวงกรุ๊ปกับเฉิงมู่อย่างตรงไปตรงมา

เฉิงมู่ที่เอาแต่จัดการกับดอกไม้ ก็ไม่พูดอะไรสักคำ

เฉิงเวินหรูเท้าคาง ยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เฉิงมู่ โตขึ้นเยอะแล้วเนอะ”

แม้เธอจะไม่ถามอะไรออกมา ทว่าดูจากท่าทางของเฉิงมู่ก็รู้แล้ว เรื่องการทำสัญญาของอวิ๋นกวงกรุ๊ปต้องมีปัญหาภายในแน่นอน

เธอกอดอกพลางมองขึ้นไปด้านบน

เฉิงมู่ “…”

ด้านบน

เฉิงเจวี้ยนถือแก้วน้ำชาพลางเปิดประตูห้องเข้าไป

เขาคุ้นเคยกับห้องหนังสือดี บนโต๊ะหนังสือมีกระถางต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง ผ้าม่านถูกเปิดไว้เพียงครึ่ง เฉิงเจวี้ยนกวาดตามองในห้องรอบหนึ่งก็พบว่าฉินหร่านนอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ

เห็นเพียงครึ่งหน้าเท่านั้น ขนตาบางพริ้มลงเป็นใบหน้าที่สงบและเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะที่ขาพาดขอบโต๊ะด้านล่างอย่างไร้ความเป็นสมบัติผู้ดี แม้หลับไปแล้ว แต่ลมหายใจยังสงบนิ่งมากเหมือนอย่างเคย

อาจเป็นเพราะอาทิตย์ที่ผ่านมานี้นอนไม่เต็มอิ่ม มิเช่นนั้นคงไม่หลับระหว่างอ่านหนังสือ

นอกจากช่วงที่เข้าห้องพยาบาลในตอนแรก เฉิงเจวี้ยนก็แทบไม่เคยเห็นฉินหร่านมีท่าทางแบบนี้เลย เขาพลันนวดหัวคิ้วอยู่ชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปวางแก้วชาลงบนโต๊ะ

ฉินหร่านยังคงไม่ตื่น

เขาหยิบปากกาที่อยู่ในมือเธอออกมา ก่อนกระแอมเบาๆ ใส่เธอสองที เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

ดูท่าแล้วน่าจะง่วงนอนมากจริงๆ

เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ข้างโต๊ะได้สองนาที พลางทะเลาะในหัวตัวเองอยู่สักพักว่าจะเรียกเธอไปกินข้าวหรือปล่อยให้เธอนอนต่อดี ท้ายสุดแล้วก็ไม่กล้าปลุกเธอ

เขาโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่ออุ้มเธอขึ้น พลางเปิดประตูห้องกั้น

ประตูห้องฉินหร่านไม่ได้ล็อค เฉิงเจวี้ยนวางเธอลงบนเตียง จากนั้นค่อยๆ ยกมือซ้ายออกอย่างระมัดระวัง ส่วนมือขวาของเขาที่รองหัวอยู่ด้านบนก็ค่อยๆยกออกอย่างเบาที่สุด เพื่อไม่ให้ฉินหร่านตื่น

แต่ฉินหร่านกลับขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อย หัวคิ้วพลางขมวดเข้าหากันด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย ทำให้มือขวาของเขาไม่สามารถขยับออกไปได้

ข้อต่อนิ้วเขาสอดอยู่ในเส้นผมเส้นบาง เฉิงเจวี้ยนเผลอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนใช้มือซ้ายช่วยดึงผ้าห่มห่มเธอไว้

หลังจากลองขยับมืออยู่หลายครั้ง เฉิงเจวี้ยนก็ไม่สามารถดึงมือขวาออกมาจากหัวของฉินหร่านที่นอนทับอยู่ได้สำเร็จ

เขานั่งลงข้างเตียงอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนพึมพำเบาๆ ว่า “เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

ฉินหร่านยังคงหลับสนิท ไร้ซึ่งคำตอบใด

**

วันรุ่งขึ้น ฉินหร่านตื่นแต่เช้าตรู่

เธอเดินวนรอบห้องทีหนึ่ง มือซ้ายพลางกดอยู่บนขมับ มองดูประตูห้องอย่างนึกพิจารณา

เฉิงมู่ที่เห็นเธอถือกระติกน้ำร้อนลงมา ก็กล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์ครับคุณหนูฉิน”

ฉินหร่านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เจ็ดโมงกว่า เป็นเวลาสายมากหากเทียบกับปกติที่เธอตื่น

ทว่าเมื่อวานนอนหลับสบายเป็นพิเศษ เส้นเลือดแดงบริเวณขอบตาล่างของเธอจางลงไปบ้าง

เธอเดินไปหยิบแก้วนมในห้องครัวก่อนเดินออกมาที่ห้องรับรองด้านในพลางกวาดตามองคราหนึ่ง

ก็ไม่พบใคร

เฉิงมู่รีบพูดขึ้นทันที “ท่านเจวี้ยนไปมหาวิทยาลัยเมืองหลวงน่ะครับ”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เฉิงเจวี้ยนก็เปิดประตูทางเข้าเดินเข้ามาแล้ว ในมือของเขามีกระดาษอยู่สองแผ่น เมื่อเห็นฉินหร่านก็ยื่นให้เธอโดยตรง “อยากจะย้ายข้าวของของเธอในหอกลับมาเลยไหม?”

ฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทานข้าวพลางดื่มนมไป อ่านข้อความบนกระดาษที่เฉิงเจวี้ยนส่งให้เธอ

ด้านบนมีลายเซ็นของคณบดีเจียง เกี่ยวกับประกาศการปฏิเสธเข้าพักในมหาลัย

ส่วนด้านล่างมีหนังสือรับรองลายเซ็นของเฉิงเจวี้ยน

เฉิงมู่หันกลับมาอ่านแวบหนึ่ง ก่อนเปิดปากพูดอย่างประหลาดใจ “คุณหนูฉินจะไม่อยู่ในมหาลัยแล้วเหรอครับ งั้นผมไปเอาดอกไม้ของคุณกลับมาก่อนนะครับ”

ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง มองเอกสารการปฏิเสธเข้าพักของทางมหาวิทยาลัย ปกติเธอเป็นคนที่รักความสบายมากกว่า ในตอนแรกที่เริ่มการฝึกทหาร ยังทนอยู่กับในมหาวิทยาลัยได้ สามารถขึ้นเขาจับกระต่ายกินได้โดยไม่ลำบากอะไร

ต่อมาหลังจากเอาแต่เรียนหนังสือทั้งวันทั้งคืน คนในมหาวิทยาลัยทั้งวุ่นวายและเสียงดัง ทำให้ตลอดทั้งอาทิตย์เธอไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม ราวกับย้อนกลับไปสมัยเรียนอยู่ที่มัธยมเหิงชวนในช่วงแรก ตกเย็นต้องลุกขึ้นมาใส่หูฟังอ่านหนังสือ

เธอเงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยน

เฉิงเขวี้ยนกอดอกเลิกคิ้ว พลางยิ้มเฝื่อนมองเธอ

**

จากนั้นไม่นาน เฉิงมู่กุลีกุจอไปที่หอพักเพื่อไปเอาดอกไม้และของใช้ส่วนตัวของฉินหร่านกลับมา

เขากรอกเอกสารกับป้าดูแลหอพักด้านล่างตึก เมื่อป้าดูแลหอพักเห็นนามสกุลบนบัตรประชาชนของเขาว่า “เฉิง” แวบแรก จึงพาเขาขึ้นหอพักเพื่อไปเอาของของฉินหร่านด้วยตัวเอง

เฉิงมู่เดินมองหน้าอย่างมั่นคง

เมื่อถึงห้องพักแล้ว ก็ขออนุญาตหนานฮุ่ยเหยาก่อนจึงไปรับของของฉินหร่าน สายตาของเขาจดจ่ออยู่กับที่ เพียงมองปราดเดียวก็เห็นโต๊ะของฉินหร่าน

ของใช้ของฉินหร่านมีไม่มาก นอกจากกระถางดอกไม้สองต้น ก็มีคอมของฉินหร่าน และเอกสารที่เฉิงเจวี้ยนเคยสั่งให้ฉินหร่านเขียนให้เสร็จ

ส่วนเสื้อผ้าไม่ได้เอาไปด้วย เพราะในถิงหลานล้วนมีของพวกนี้อยู่แล้ว

เมื่อเหลิ่งเพ่ยซานเปิดประตูเข้ามาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่งที่โต๊ะฉินหร่าน รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี