ภาคที่ 3 ตอนที่ 69 ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้พวกเจ้าอยากทำอะไร

มรรคาสู่สวรรค์

หลายปีก่อน ตอนที่แม่ชีชราที่เลี้ยงดูเหอจานจนเติบใหญ่ผู้นั้นได้จากโลกไป เขาเศร้าเสียใจเป็นยิ่งนัก จึงแอบไปร้องไห้ตรงริมธารหลังสำนักชี

และในคืนนั้นเอง เขาก็ได้พบผ้าบางๆ ชิ้นหนึ่งอยู่ในซอกหินริมธาร

จนกระทั่งถึงวันนี้เขายังไม่อาจควบคุมพลังวิเศษของผ้าบางชิ้นนั้นได้ทั้งหมด แต่เขามั่นใจว่าผ้าชิ้นนั้นคืออาวุธวิเศษที่ทรงพลังอย่างมาก หากว่าจากระดับความล้ำค่าแล้ว ต่อให้เอากระดูกมังกรและหินผลึกที่เขาเก็บได้หลังจากนั้นรวมเข้าด้วยกันก็ยังมิอาจเทียบได้

เขาเก็บผ้าชิ้นนั้นเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของตัวเอง แอบซ่อนเอาไว้ลึกที่สุด กระทั่งเพื่อนที่สนิทที่สุดก็ยังไม่ล่วงรู้ เช่นนั้นกั้วตงล่วงรู้ได้อย่างไร?

หากบอกว่าศิษย์ระดับสูงของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยสามารถใช้วิชาเชื่อมโยงสองจิตล่วงรู้ความลับของตัวเองได้ เช่นนั้นเหตุใดนางถึงพูดคำว่าก้อนหินริมธารด้านหลังสำนักชีออกมาได้?

ถงเหยียนเห็นสีหน้าของเหอจานแปลกไป ในใจครุ่นคิดหรือว่ากั้วตงมีความสัมพันธ์กับคนผู้นั้นจริงๆ?

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยคิดว่าคนผู้นั้นคือกั้วตง

“เนื้อแพะย่างคืนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

กั้วตงมองถงหลูพลางกล่าว

จากนั้นนางมองถงเหยียนพลางกล่าว “สุราคืนนั้นล่ะ? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่เจ้าดื่มจนเมามายใช่ไหมล่ะ”

……

……

ภายในห้องเงียบสงัดลงอีกครั้ง

ถงหลูและเหอจานสบตากัน ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

พวกเขาและถงเหยียนเข้ารวมการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้น

ที่ริมทะเลสาบคืนนั้น พวกเขาและอีกหลายคนนั่งล้อมรอบกองไฟกินเนื้อแพะย่าง ดื่มสุราที่คล้ายว่าไม่มีวันหมด พูดคุยอะไรกันมากมาย

ถงเหยียนมองกั้วตง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “หรือว่า?”

“ถูกต้อง พวกเจ้าและลั่วไหวหนาน กั้วหนานซานล้วนแต่เป็นคนที่ข้าเลือกมา เรื่องที่พวกเจ้าทำล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำ”

เสียงของกั้วตงเรียบเฉย มิได้มีอารมณ์อะไรแอบแฝง เปิดเผยตรงไปตรงมา คล้ายมหานทีอันกว้างใหญ่ไพศาล

ปัญหาอยู่ที่ว่า ศิษย์วัยหนุ่มสาวที่ล้อมรอบกองไฟร่ำสุรากินเนื้อย่างในคืนนั้นแทบจะเป็นศิษย์อัจฉริยะทั้งหมดของแต่ละสำนัก เรียกได้ว่าเป็นอนาคตของโลกบำเพ็ญพรต ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่พวกเขาทำล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง เรื่องเหล่านั้นเกี่ยวพันถึงอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เกี่ยวพันถึงโลกในอุดมคติ เป็นการกำจัดมารขจัดปีศาจ เป็นการเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เป็นการใช้วิธีที่ไม่ประสีประสาของตนบีบให้เหล่าอาจารย์ที่มีความคิดลึกซึ้งเหล่านั้นจำต้องลงมือทำลายลานเมฆ

“นี่…เป็นไปไม่ได้”

ถงหลูพูดพึมพำ

ถงเหยียนกล่าวว่า “เจ้าทำอะไรตั้งมากมายขนาดนี้ อยากจะให้พวกข้าทำอะไรให้เจ้ากันแน่?”

กั้วตงกล่าว “มิใช่ข้าที่อยากทำอะไร ความไม่พอใจอาจารย์และโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในตอนนี้ อีกทั้งเป็นกังวลต่ออนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหล่านี่ล้วนแต่เป็นความคิดของพวกเจ้า ข้าเพียงแต่มอบวิธีการบางอย่างให้ หรือพูดอีกอย่างก็คือทำให้พวกเจ้าได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองตรงๆ จากนั้นก็ให้ความช่วยเหลือในระหว่างที่พวกเจ้าเดินทางไปบนเส้นทางนิดหน่อยเท่านั้น”

ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “อย่างนั้นตอนนี้ล่ะ?”

กั้วตงกล่าว “ลานเมฆถูกทำลาย สำนักกระบี่ซีไห่ถอยกลับไปในทะเล แบบนี้พวกเจ้าพอใจแล้วหรือ?”

ถงหลูสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ซูจึเย่ยิ้มๆ มิกล่าวกระไร เหอจานสบตาถงเหยียน รู้ว่าคำตอบของเขาจะต้องเป็นคำว่าไม่อย่างแน่นอน

ถงเหยียนกล่าว “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

กั้งตงกล่าว “ปู้เหล่าหลินไม่ได้ถูกกำจัดจนสิ้นซาก เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงยังมีชีวิตอยู่”

ไม่ทันรอให้ถงเหยียนตอบ ถงหลูพลันกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “เจ้าคิดอยากจะเล่นงานอาจารย์ข้า?”

กั้วตงมองเขา กล่าวว่า “พูดให้ถูกคือข้าคิดว่าพวกเจ้าอยากจะฆ่าอาจารย์ของเจ้า”

ถงหลูดวงตาเบิกโพลง กล่าวว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? นั่นมันอาจารย์ของข้านะ!”

กั้วตงมองดูเขาอย่างเงียบๆ มิได้กล่าวกระไร

ถงหลูก้มหน้า มิได้กล่าวกระไรอีก

กั้วตงกล่าวกับถงเหยียนว่า “ข้าไม่ถนัดเรื่องเหล่านี้ แต่ข้าเอาซูจึเย่กับถงหลูมาให้เจ้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าน่าจะมีความสามารถที่จะวางแผนฆ่าเขาได้”

ถงเหยียนมักจะรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของนางกำลังชี้แนะอะไรบางอย่าง แต่ในเวลานี้เขาไม่สามารถครุ่นคิดอย่างละเอียดได้

เพราะเรื่องนี้ใหญ่เกินไป

นางต้องการฆ่าเทพกระบี่ซีไห่

ซูจึเย่และถงหลูสองคนนี้ย่อมต้องสำคัญเป็นอย่างมาก

คนแรกเป็นนายน้อยของสำนักเสวียนอิน เนื่องเพราะปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักจึงถูกขับไล่ออกมา เทพกระบี่ซีไห่ถูกขังเอาไว้ด้านนอกทะเล เขายิ่งต้องการดึงกำลังของพรรคมาร เช่นนั้นก็จะต้องยินดีต้อนรับซูจึเย่อย่างแน่นอน

ถงหลูยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในฐานะที่เป็นศิษย์ที่เทพกระบี่ซีไห่ภาคภูมิใจ เขาจะต้องเป็นประโยชน์อย่างมากในแผนการนี้อย่างแน่นอน

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “สภาวะแตกต่างกันมากเกินไป ต่อให้แฝงตัวเข้าไปในซีไห่และเข้าใกล้เขาได้ พวกข้าก็ยังไม่มีโอกาสใดๆ อยู่ดี”

กั้วตงกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าต้องการคือสติปัญญาของเจ้า คนที่ลงมือสังหารย่อมต้องเป็นคนอื่น”

ชายที่สวมหมวกลี่เม่าคนหนึ่งเดินเข้ามา

กั้วตงกล่าว “ลำบากท่านแล้ว”

ชายผู้นั้นส่ายศีรษะ ถอดหมวกลี่เม่าออก มองไปทางถงเหยียนพลางกล่าวว่า “ในศึกลานเมฆ เขาเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักชิงซาน ใช้กระบี่ฟันลานเมฆ สูญเสียพลังไปไม่น้อย หากเจ้าสามารถทำให้ข้ารู้ที่อยู่ของเขาได้ภายในห้าปี เช่นนั้นข้าก็จะเปิดฉากสังหารเขาซึ่งๆ หน้าในระยะสิบลี้ น่าจะมีโอกาสสำเร็จอยู่สี่ส่วน แต่ถ้าหากเจ้าสามารถคิดหาวิธีที่ดีกว่านั้นได้ เช่นนั้นย่อมต้องยิ่งดี”

คนผู้นี้เป็นชายชราผู้หนึ่ง ภายในผมที่ขาวทั้งศีรษะมีผมสีดำแซมอยู่หลายเส้น ดวงตาทั้งสองข้างมืดบอด ไอพลังสงบนิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกโดดเดี่ยว

บนโลกมีใครกล้าพูดว่าจะเปิดฉากสังหารเทพกระบี่ซีไห่ซึ่งๆ หน้า แถมยังมีโอกาสสำเร็จสี่ส่วน?

ถงเหยียนคาดเดาสถานะของอีกฝ่ายได้ สีหน้าคร่ำเคร่ง ก้มกราบคารวะ “คารวะท่านเผย”

ที่เหลืออีกสามคนต่อให้ยังคาดเดาไม่ได้ แต่เมื่อได้ยินคำว่าเผยก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร จึงตกตะลึงจนพูดไม่ออก

เจ้าสำนักอู๋เอินเหมินเผยไป๋ฟ่า!

ซูจึเย่และถงหลูรีบลุกขึ้นมาจากเตียง ทำการคารวะชายชราผู้นั้น

ความเคารพเช่นนี้อยู่เหนือการแบ่งแยกธรรมะอธรรมและความแค้นระหว่างสำนัก

นี่เป็นความเคารพที่ผู้บำเพ็ญพรตมีต่อยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์

“เจ้ากับท่านเผยหารือเรื่องนี้กันไปก่อน”

กั้วตงกล่าวกับถงเหยียนว่า “กระบี่พรหมจรรย์ให้ถงหลูไป เจ้าน่าจะเข้าใจเหตุผล”

ถงเหยียนพยักหน้า

ในเมื่อสำนักกระบี่ซีไห่เป็นผู้สืบทอดของเกาะหมอกทะเลใต้ การให้ถงหลูใช้กระบี่พรหมจรรย์ย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นหลังเขากลับไปยังซีไห่ มันยังจะทำให้เขาได้รับความเชื่อใจจากเทพกระบี่ซีไห่ได้ง่ายด้วย

เหอจานครุ่นคิดว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นของตนเองแล้ว เหตุใดยังต้องมอบออกไปอีก จึงผายมือทั้งสองข้าง มองกั้วตงด้วยสีหน้าน่าสงสารพลางกล่าวถามว่า “แล้วข้าล่ะ?”

กั้วตงมิได้สนใจเขา หากแต่เดินออกไปจากห้อง เตรียมจากไป

เหอจานกัดฟันไล่ตามไป ไล่ตามนางไปในเพิงบวบที่อยู่ทางตะวันตกของสวนผักจนทัน

“รอเดี๋ยวๆ ข้ายังมีคำถาม”

เขาหอบหายใจพลางกล่าว “วันนี้เจ้าจะต้องตอบคำถามข้า”

ในเวลานี้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องให้คำตอบแก่ตนอย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ดูรีบร้อนเหมือนอย่างที่แสดงออกมา

เพราะกั้วตงมิได้บินจากไป

“เรื่องอะไร?” นางกล่าวถาม

เหอจานกล่าวถาม “หลายปีมานี้เหตุนี้เจ้าต้องทำเรื่องเหล่านี้? กับข้า!”

กั้วตงกล่าว “ข้าอธิบายไปแล้ว”

เหอจานไหนเลยจะยอมเชื่อ เขากล่าวว่า “อย่างนั้นทำไมถึงไม่เห็นเจ้าดีกับถงเหยียนแบบนี้บ้าง? ทำไมถึงไม่เอากระดูกมังกรเหล่านั้นให้เขา?”

กั้วตงกล่าว “เขาเป็นศิษย์สำนักจงโจว ในเขาอวิ๋นเมิ่งมีของดีๆ มากมาย ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นกังวล”

เหอจานกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อ?”

กั้วตงกล่าว “ไม่เกี่ยวกับข้า”

เหอจานกล่าวถาม “หากเจ้าเป็นแม่ของข้า เช่นนั้นข้าจะคิดอย่างไรมันก็ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้า”

……

……

ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ต้นฤดูร้อน บวบยังไม่สุกดี แต่กลับเป็นช่วงที่สวยงามที่สุด

มันห้อยอยู่บนเถาวัลย์ ถูกลมพัดแกว่งไปมาเบาๆ คล้ายเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาจากมรกต จะหยดเป็นน้ำสีเขียวออกมา

ลมโชยผ่ายเถาบวบ พัดพาความเย็นที่อยู่ในเงามืดมาตกกระทบลงบนใบหน้าของเหอจานและกั้วตง

ภายในเพิงบวบเงียบสงัด ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะคำถามนั้นมาอย่างกะทันหันเกินไป มิได้คาดคิดไว้แม้แต่น้อย จนทำให้นางทำอะไรไม่ถูก

เหอจานรู้สึกว่าคำถามนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก

กั้วตงรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก นางกล่าวอย่างจริงจังว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่”

เหอจานย่อมไม่เคยคิดว่านางจะเป็นแม่ที่แท้จริงของตน เพราะนางอายุยังน้อย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เขากลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

กั้วตงมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา ก่อนกล่าวว่า “แม่ของเจ้าเป็นน้องสาวข้า”

เหอจานลืมตาโต พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง หลังผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า “อย่างนี้ก็หมายความว่า เจ้าเป็นป้าของข้า?”

…………………………..