ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 268 ดาบถลาลม

จอมศาสตราพลิกดารา

เขตเรือนซ่อมซอ ห้องฝึกพลัง

เศษชิ้นส่วนดาบวัฏจักรทั้งหนึ่งร้อยแปดชิ้นวางอยู่ด้านหน้าลี่มู่

เขาใช้มือเรียง ประกอบกันจนเป็นรูปร่างสมบูรณ์

จากการตรวจสอบวัตถุดิบส่วนหนึ่ง จึงรู้ว่าดาบยักษ์สีเลือดของ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวในวันนั้น แท้จริงแล้วคือโลหะหนักต้นกำเนิด โลหะหนักชั้นเยี่ยมที่มีชื่อประเภทหนึ่ง มีคุณสมบัติเหนี่ยวนำกำลังภายในและปราณแท้ได้ดีเยี่ยม เป็นหนึ่งในแร่โลหะชั้นเยี่ยมระดับสามขั้นสูง เหมาะจะนำมาหลอมอาวุธหนักที่สุด

อู่เปี่ยวก็ไม่รู้ว่าไปได้โลหะหนักต้นกำเนิดก้อนใหญ่นี้มาอย่างไร เพียงแต่วิธีทำของเขาอยู่ในระดับต่ำเกินไป ไม่อาจหลอมออกมาเป็นสมบัติที่แท้จริงได้ ดังนั้นจึงตีเป็นรูปทรงคร่าวๆ แล้วอาศัยพลังที่มีมาแต่กำเนิดกวัดแกว่งดาบโลหิตยักษ์

เพียงแต่ หลี่มู่ผสมวัตถุดิบทั่วไปและวัตถุดิบเทพอีกมากมายลงในโลหะหนักต้นกำเนิด จากนั้นหลอมมันด้วย ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ จนตอนนี้ ส่วนประกอบของดาบวัฏจักรกลายเป็นอะไร หลี่มู่ก็ยังเรียกไม่ถูกเหมือนกัน

“เคล็ดหลอม ‘เพลิงนภาเบิกวัตถุ’ ที่สวีเซิ่งมอบให้ ด้านในอธิบายเรื่อง ‘ทองคำหมื่นสรรพสิ่ง’ เอาไว้ โดยใช้วัตถุดิบแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ หลอมตีเป็นทองคำแท้ ว่ากันว่า พวกขั้นเทวะหรือขั้นทะลวงสวรรค์ต่างหล่ออาวุธของตนเองจาก ‘ทองคำหมื่นสรรพสิ่ง’ นี้ พวกมันล้ำค่ายิ่ง บางทีข้าน่าจะลองดูเสียหน่อย”

หลี่มู่ขบคิดพิจารณา

ตามบันทึกของ ‘เพลิงนภาเบิกวัตถุ’ ‘ทองคำหมื่นสรรพสิ่ง’ พบเห็นได้ยากมาก เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นภายหลัง ผู้ที่ไม่ใช่ขั้นเทวะหรือขั้นทะลวงสวรรค์ไม่อาจหลอมได้ ขั้นเหนือมนุษย์ก็ยังไม่มีพลังฝึกเพียงพอจะทำได้ถึงจุดนี้ เพราะทองคำแท้ประเภทนี้ต้องใช้พลังเต๋าหล่อหลอม ขั้นเหนือมนุษย์แม้ว่าจะสามารถดึงพลังฟ้าดินมาได้ แต่ก็ยังห่างชั้นจากการควบคุมพลังเต๋าฟ้าดินอยู่ไกลแสนไกล

ทว่า ตอนนี้หลี่มู่มี ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ จึงสามารถรับพลังเต๋าได้

“เหล็กหิมะ โลหะวิญญาณน้ำแข็ง โลหะดาวตก แร่เงินแก่นพสุธา…” หลี่มู่นำแร่ต่างๆ กว่าสิบชนิดที่ยึดจากฉู่หนานเทียน เมิ่งอู่ และสี่ผีดิบมาวางเรียงรายกันด้านหน้า ในหัวก็เรียบเรียงไล่ขั้นตอนทั้งหมดของ ‘เพลิงนภาเบิกวัตถุ’ อีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มการหล่อหลอม

เขาจะนำแร่ล้ำค่าพวกนี้ทั้งหมดผสมเข้าไปในดาบวัฏจักร

อย่างไรก็ตาม วิธีหลอม ‘ทองคำหมื่นสรรพสิ่ง’ ที่ในบันทึกเขียนเอาไว้สลับซับซ้อน แต่หลี่มู่มองแล้วเป็นแค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้นคือ…หลับหูหลับตาหลอมไปซะ

เมื่อนำแร่ล้ำค่า โลหะเทพ วัตถุดิบเซียนทั้งหมดใส่รวมไว้ด้วยกัน แล้วตุ๋นมั่วๆ ในหม้อใบใหญ่ สิ่งที่เหลืออยู่ท้ายสุดก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ทองคำหมื่นสรรพสิ่ง’

หลี่มู่อ้าปาก แสงห้าสีสายหนึ่งลอยออกมาจากปากเขา

เป็น ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ นั่นเอง

จากนั้นเริ่มต้นการหลอม

พลังของตราธาตุไฟเคลื่อนไหว เปลวไฟพ่นออกมา ห่อหุ้มเศษชิ้นส่วนดาบวัฏจักรทั้งหมดไว้ตรงกลาง

ต่อมา หลี่มู่ใส่แร่ล้ำค่าทั้งหมดเข้าไปท่ามกลางเปลวไฟนั้น

คืนนี้ หลี่มู่จะหล่ออาวุธทั้งคืน

 ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ มีไฟลุกโหม ภายใต้การควบคุมของหลี่มู่ เขาหลอมแร่ทั้งหมดไว้ด้านใน ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทั้งหมดก็ละลายกลายเป็นของเหลว ลอยอยู่กลางอากาศภายใต้การประคองของพลังจิต โลหะเหลวหลากสีผสมเข้าด้วยกัน สีสันเปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา

เวลาผ่านไป

ช่วงเช้าของวันที่สอง หลี่มู่เสร็จสิ้นการหลอมครั้งนี้

เขาหลอมดาบวัฏจักรเล่มใหม่ขึ้นมาสำเร็จ

แม้ว่าจะใส่ส่วนประกอบหลอมดาบเข้าไปมากกว่าครั้งที่แล้วถึงหนึ่งเท่า แต่เนื่องจากความชำนาญด้านการหลอมของหลี่มู่และการควบคุม ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ถึงแก่นมากขึ้น หลังเสร็จสิ้นการหลอมครั้งนี้ ตัวดาบของดาบวัฏจักรจึงเล็กลงกว่าครั้งที่แล้วเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น สีของดาบยังเกิดการเปลี่ยนแปลง เดิมทีเป็นสีแดงสดเหมือนเลือด ได้เปลี่ยนเป็นสีขาวเงินอ่อนๆ แทน

เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่า ส่วนลึกของลายบนตัวดาบมีแสงโลหิตเส้นเล็กๆ แทรกขึ้นมาด้วย

นอกจากนี้ บนตัวดาบยังมีร่องขนาดเล็กราวอักขระจารึกหลายแถว

หลี่มู่จับด้ามดาบ ส่งปราณแท้ฟ้าประทานเข้าไป ระลอกคลื่นพลันกระเพื่อม เสียงแกรกๆ ดังขึ้น ดาบวัฏจักรหักแยกออกจากกัน กระทั่งด้ามดาบก็ด้วย มันกลายเป็นดาบที่เล็กกว่าด้ามถึงยี่สิบสี่เล่มลอยอยู่กลางอากาศ ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน กระทั่งสีก็ยังแตกต่างกัน นี่เป็นเพราะโลหะที่ใช้หลอมดาบไม่เหมือนกัน มองคราแรกราวกับเป็นอาวุธที่น่าอัศจรรย์

ในดาบเล็กๆ ทุกเล่ม ต่างสลักค่ายกลวิชาเต๋าซ้อนทับกันหลายชั้น

กลุ่มค่ายกลเต๋าเหล่านี้ใกล้เคียงกับกลุ่มค่ายกลในดาบวัฏจักรก่อนหน้า แต่นั่นก็เป็นผลงานที่ได้มาหลังจากหลี่มู่ปรับเปลี่ยนแก้ไขแล้ว

ภายใต้การควบคุมโดยพลังจิตวิญญาณ ดาบเล็กยี่สิบกว่าเล่มบินวนด้วยความเร็วสูงอยู่รอบตัวหลี่มู่ ดุจผีเสื้อร่ายรำ เสมือนมีเส้นสีเงินพันอยู่รอบกาย เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว ช่วงที่ช้าแค่ลอยวน แต่ช่วงที่เร็วจะกลายเป็นเกราะแสงสีเงินชั้นหนึ่งคุ้มกายหลี่มู่

“ดาบถลาลมคุ้มกาย ดาบวัฏจักรมีความสามารถในการป้องกันแล้ว”

หลี่มู่ดีใจเป็นอย่างมาก

เขาเพียงสั่งในใจ ดาบสิบสองเล่มในนั้นแยกตัวพุ่งออกไป ราวกับแสงสีเงินแหวกผ่าอากาศ ประกายดาบส่องแสงวูบวาบ ปราณดาบฉวัดเฉวียนตัดกัน พลังทำลายราวปรอทพุ่งสู่พื้นดิน ดุดันรุนแรงยิ่งนัก กระทั่งตัวหลี่มู่ยังตกใจอยู่บ้าง

“วันนี้ ถึงจะเรียกได้ว่ามีกำลังพอจะต่อกรกับขั้นเหนือมนุษย์ได้เสียที”

หลี่มู่พอใจมากกับพลังโจมตีของดาบวัฏจักร

ตามตำนานว่ากันว่า เซียนกระบี่ผู้ควบคุมกระบี่โบยบิน แข็งแกร่งไร้เทียมทาน พลังทำลายเป็นลำดับหนึ่งในขั้นเดียวกัน

ทว่า ดาบถลาลมของหลี่มู่ตอนนี้ก็มีต้นแบบจากพลังทำลายนี้เช่นกัน

เขาขยับความคิด ดาบถลาลมทั้งหมดก็พุ่งกลับมา เสียงเคร้งคร้างดังขึ้น ดาบทั้งยี่สิบสี่เล่มรวมกัน กลายเป็นดาบยักษ์สีเงินยาวห้าฉื่อ หนาครึ่งฉื่อด้ามหนึ่ง ตัวดาบรูปร่างเพรียวลม ดุจประกายสะท้อนบนน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ความเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาจนเต็มทั่วทั้งห้อง

หลี่มู่กดกำลังภายในและปราณแท้ ก่อนสะบัดดาบวัฏจักร สำแดงชักดาบสะบั้น ตัดอสุนี สังหารรอบทิศ ดาบยักษ์สังหาร มังกรหวนสะบั้น และวายุเมฆา ทั้งหมดหกกระบวนท่าติดต่อกัน

หกดาบวายุเมฆา เกิดขึ้นจากการอ้างอิง ‘สามท่าสังหารเทพ’ ของจางปู้เหล่าและวิชาดาบ วิชากระบี่ วิชาขวานบางส่วน

แน่นอน นี่ไม่ใช่แก่นแท้สุดท้ายของดาบ หกดาบวายุเมฆายังคงต้องการการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

หลังจากฟันทั้งหกกระบวนท่า หลี่มู่ประคองตัวดาบ หลับตาลง ยังคงจมดิ่งอยู่ในจิตแห่งดาบ

จนถึงตอนนี้ สำหรับหลี่มู่แล้วสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในทักษะการยุทธ์ก็คือ ตัวเขายังนึกภาพธาตุแท้ของปราณแท้ฟ้าประทานไม่ออก นับตั้งแต่ได้รับแนวทางการนึกนิมิตมาจากหญิงลึกลับชุดขาวคนนั้น ก็เหมือนจะไม่มีผลกับหลี่มู่เลย เขาเคยลองนึกนิมิตหลายครั้ง ไม่ว่าเป็นหิมะถล่มจากภูเขาหิมะ หรือภูเขาไฟที่เพลิงลุกโชติช่วง เขาก็ไม่อาจรวมเนื้อแท้ที่แตกต่างในปราณแท้ออกมาได้เลย

แต่ว่า ตอนนี้เขาฝึกฝนก้าวหน้าขึ้นแล้ว ประสบการณ์และความคิดด้านการยุทธ์ก็เปิดกว้างมากขึ้น จึงไม่ได้รีบร้อนเท่าไรนัก

เขาใช้นิ้วดีดดาบวัฏจักรเบาๆ

ตัวดาบมีแสงอ่อนๆ ส่งเสียงใสกังวานออกมา

ดาบที่เหมือนหิมะสีเงินเล่มนี้ ด้านในมีสีเลือดจางๆ อยู่ เมื่อใช้เนตรสวรรค์เพ่งเข้าไป จะพบว่าเป็นแค่ชั้นภายนอกเท่านั้น บรรดาดาบเล็กๆ ที่อยู่ด้านใน สีของพวกมันไม่ใช่แบบนี้ หลี่มู่รู้ดี เขาในตอนนี้เพียงแค่ใช้พลังธาตุไฟของ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ หลอมรวมโลหะหายากล้ำค่าจนกลายเป็นก้อนเดียวกัน แต่ไม่ได้นำพวกมันมาสกัดสิ่งเจือปนออกแล้วผสานกันจริงๆ นี่ยังห่างชั้นจากการหลอม ‘ทองคำหมื่นสรรพสิ่ง’ อยู่แสนแปดพันลี้ได้

ดาบวัฏจักรนี้ จะต้องหลอมวันต่อวันถึงจะเข้าขั้น

เวลาล่วงเลยมาจนถึงเช้าตรู่วันต่อมา

หลี่มู่เก็บดาบ เดินออกมาจากห้องฝึก เจิ้งฉุนเจี้ยนก็กุลีกุจอเข้ามา

“ใต้เท้า นี่คือผลจากการใช้ ‘กระจกสยบฟ้า’ ของท่านเจ้าเมืองขอรับ คุณชายโปรดดู” เขายื่นตราหยกอันหนึ่งให้ด้วยความเคารพ ด้านในมีค่ายกลดาราที่บันทึกภาพเอาไว้ช่วงหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน้าประตูใหญ่ของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ในวันนั้น รวมถึงที่มาของตราดัชนีทองด้วย

หลี่มู่ไล่มอง คิ้วทั้งสองเลิกขึ้น นัยน์ตามีประกายกรุ่นโกรธลุกโชน

“เป็นเขานี่เอง”

……

ประตูใหญ่โรงฝึกยุทธ์พลังพายุ

ชั่วเวลาที่อาทิตย์ขึ้นฟ้า การสังหารก็เปิดฉาก

ทหารชุดเกราะหน่วยลาดตระเวนสามพันนาย สวมเกราะเวททองคำระดับหนึ่ง มาพร้อมปืนใหญ่ทลายดาว ยามแสงอาทิตย์วันใหม่ปลายฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องลงบนกำแพงเมืองฉางอันที่ตระหง่านมากว่าสองร้อยปี สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว

แม้โรงฝึกยุทธ์พลังพายุจะตกอับ ความจริงแล้วพื้นที่ของโรงฝึกยุทธ์ไม่ได้เล็กเลย ที่นี่เคยเป็นถึงจวนขององค์ชายแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกคนหนึ่ง แต่เนื่องจากถูกสังหารเพราะก่อกบฏ จวนจึงถูกขายออก เปลี่ยนผ่านเจ้าของหลายต่อหลายมือ จนตกมาอยู่ในมือของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุรุ่นที่แล้ว ก่อนจะตกแต่งนั่นนิดนี่หน่อย จนกลายเป็นที่ตั้งของโรงฝึกยุทธ์ไป

ทั้งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุมีคนไม่มากนัก รวมคนงานเช่นคนกวาดพื้นและพ่อครัวเข้าไปแล้ว ก็ประมาณร้อยกว่าคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่โด่งดังแห่งยุค คนน้อยกว่าจนน่าสงสาร

แต่ว่าทุกคนต่างรู้ดี จำนวนไม่สำคัญอะไรสำหรับโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ

เพราะภายในโรงฝึก แม้กระทั่งคนกวาดพื้นกับพ่อครัวต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น

ว่ากันว่า คนของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุมาจากกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ในยุทธจักรทั่วดินแดน เป็นผู้ที่เบื่อหน่ายการแก้แค้นสังหาร จึงมาหลบซ่อนตัวที่นี่ คบหากันเป็นสหาย ก่อนผันตัวมาเป็นพ่อครัว นักบัญชี คนใช้ ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในที่แห่งนี้

คำเล่าลือนี้ ไม่รู้ว่าเริ่มแพร่ไปในเมืองฉางอันตั้งแต่เมื่อใด

และวันนี้ สิ่งที่ลือกันก็ได้รับการยืนยันแล้ว

หน่วยลาดตระเวนที่รวมจากนักรบกองกำลังคมโลหิตสามพันนาย กลุ่มเล็กยี่สิบคนกลุ่มแรกที่บุกเข้าไป กระทั่งลมพัดดอกไม้เล็กๆ ยังไม่ทันขยับ ก็หายตัวไปไม่เหลือแม้เงาแล้ว เมื่อพวกเขาบุกเข้าไปผ่านซากประตูสำนัก ก็ราวกับวัวโคลนจมสมุทร ร่างหายไป ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ

จนกระทั่งขุนพลขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งนำคนกลุ่มเล็กบุกเข้าไป จึงพบว่าหน่วยทหารกล้าตายยี่สิบนายที่บุกเข้ามาก่อนหน้า ต่างนอนล้มฟุบอยู่ข้างกำแพงบังตาหลังประตูใหญ่ ทั้งหมดไร้ซึ่งลมหายใจ

“มีพิษ!”

เสียงตะโกนดังขึ้น กระบี่ยาวถูกชูขึ้นสูง

ในกลุ่มเล็กร้อยคนนั้น ทหารชุดเกราะเจ็ดถึงแปดคนด้านหน้าสุดที่บุกเข้าไปก่อนล้มลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนทหารชุดเกราะคนอื่นเพิ่งตอบสนองได้ ก็กระตุ้นค่ายกลดาราในเกราะ เกราะหน้าร่วงลงมาจากด้านในหมวก แสงสีเขียวชั้นหนึ่งลอยออกมา ปิดบังปากและจมูกพวกเขาเอาไว้ ไม่ให้อากาศเข้าไปได้

กองทหารหลักของชาวฉินมียุทโธปกรณ์ชั้นยอด สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้หลายประเภท และการป้องกันพิษก็คือหนึ่งในนั้น

ค่ายกลพิษถูกสกัดไว้ได้

หลังจากทัพทหารฝ่าประตูชั้นแรกเข้าไป เสียงตะโกนสังหารก็ดังขึ้นมา

คนขาเป๋คนหนึ่ง คนตาบอดอีกคนหนึ่ง ยืนขวางอยู่ที่ทางเข้าประตูชั้นสอง

คนขาเป๋วิชาขาไร้เทียมทาน คนตาบอดเชี่ยวชาญอาวุธลอบสังหาร

เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกัน สามารถสกัดทหารกลุ่มร้อยคนที่ขุนพลขั้นฟ้าประทานพาเข้ามาได้อยู่หมัด

………………………