ปรากฏว่า ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองนางแวบหนึ่ง ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งพลางว่า “พี่เว่ย หนึ่งในน้องสาวสามีท่าน คุณหนูเสิ่นสามจะได้รับการสู่ขอให้กับพี่ชายบุตรอนุของข้าผู้หนึ่ง” นางอธิบายว่า “พี่ชายบุตรอุนของข้าผู้นี้มีนามว่าห้าวเหมี่ยว ซึ่งแม่เลี้ยงข้าเอาเขามาเลี้ยงดูหลังจากนางแต่งเข้าบ้านมาไม่นาน
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าท่านแม่ของเจ้าฝากความหวังพี่ชายบุตรอนุผู้นี้ในฐานะคนในรุ่นลูก ฉะนั้นจึงวางแผนดังนี้ให้เขา? เพียงแต่ว่าแม้เขาจะเป็นพี่ชายของเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะอายุน้อยกว่าเจ้า คนก็โตเพียงนี้แล้ว …ที่ใดจะจำมารดาแท้ๆ ของตนไม่ได้? ท่านแม่ของเจ้าก็เพิ่งจะรับเขามาเลี้ยงไม่กี่ปี จะมีบุญคุณสักกี่มากน้อยกัน? อีกประการท่านแม่ของเจ้าก็ยังสาวกระมัง? ข้าจำได้ว่าน้องชายต่างมารดาของเจ้าคนที่เล็กที่สุดอายุเพิ่งจะสี่ขวบเองนี่”
ซึ่งก็หมายความว่า ไม่กี่ปีก่อนบิดาของตวนมู่ซินเหมี่ยวยังเพิ่งจะมีบุตรธิดา แม้บุตรชายคนเล็กผู้นี้จะเกิดจากอนุ ทว่าโจวเยวี่ยกวงก็อายุยังน้อย แม้วาสนาเรื่องทายาทจะยังไม่มาถึง แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีทายาทก็เป็นได้? แต่ยามนี้นางกลับพยายามส่งเสริมตวนมู่ห้าวเหมี่ยวซึ่งเป็นบุตรชายของอนุ ด้วยการหมั้นหมายบุตรีตระกูลเสิ่นที่มีบารมีดังดวงอาทิตย์ยามกลางวันให้เขา แม้นางจะเป็นบุตรรีจากอนุ … แต่ตวนมู่ห้าวเหมี่ยวก็มิใช่ว่าเป็นบุตรของอนุเช่นกันหรือ? ดังนี้เองจึงไม่อาจขอหมั้นหมายเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวจากภรรยาเอกอีกคนของตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจของเสิ่นเซวียนได้โดยง่าย!
ยิ่งไปกว่านั้นทั่วเมืองหลวงผู้ใดจะไม่รู้ว่าเซียงหนิงปั๋วเสิ่นโจ้วขึ้นชื่อเรื่องรักใคร่บุตรธิดายิ่งนัก? หาไม่แล้ว ด้วยฐานะของเขาก็เป็นไปไม่ได้ว่าหลังจากภรรยาเอกเสียไป เขากลับยอมเอาบุตรธิดาที่อายุยังน้อยไปไหว้วานให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเลี้ยงดูแต่กลับไม่แต่งงานใหม่ …ก็ด้วยกลัวว่าภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่จะแสดงท่าทีประเสริฐดีงามยามอยู่ต่อหน้า แต่ลับหลังกลับทารุณโหดร้ายกับเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา
ผู้ที่จะมาเป็นเขยของเสิ่นโจ้ว ขอเพียงไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรีของเขา ขอเพียงเสิ่นโจ้วยังอยู่ก็จะไม่มีทางไม่ช่วยเหลือบุตรเขยแน่นอน
ทุกบ้านล้วนรู้กันถึงมิตรไมตรีของเสิ่นโจ้วกับเสิ่นเซวียนและฮูหยินซูผู้เป็นพี่สะใภ้เป็นอย่างดี ดังนั้นคนที่สนใจจะหมั้นหมายคุณหนูเสิ่นสามเสิ่นเหลี่ยนเหมยจึงมีไม่น้อยเลย
เพียงแต่ในช่วงเวลาที่เสิ่นเหลี่ยนเหมยต้องหารือเรื่องการแต่งงานนางก็มาเสียแม่ไปพอดี ต้องไว้ทุกข์ให้มารดาสามปีเพิ่งจะสิ้นสุดเมื่อปีที่แล้ว ลูกพี่ลูกน้องชายหญิงฝั่งบิดาก็ถึงเวลาที่ต้องพูดจาเรื่องหมั้นหมายแล้ว …แต่กลับอยู่ในช่วงที่ตระกูลเสิ่นกำลังเตรียมการใหญ่เปลี่ยนตัวผู้สืบราชบัลลังก์! ท่านลุงใหญ่และบิดาย่อมไม่ว่างมาสอบถามเรื่องแต่งงานของนาง ดังนั้นตามหลักแล้วจึงล้วนมอบอำนาจแก่ฮูหยินซู…
น่าสงสารก็ตรงที่ฮูหยินซูก็ไม่ได้ไม่อยากช่วยจัดการให้หลานสาว แต่หลังจากเคยมีประสบการณ์เรื่องแต่งงานของเสิ่นจั้งจูและเสิ่นจั้งฮุยแล้ว ฮูหยินซูจึงรู้สึกสงสัยในตนเองขึ้นมาหนักหนาว่า… เอ่อ ฮูหยินซูมิได้สงสัยในสายตาของตนเอง แต่กลับสงสัยว่าตนเองมีดวงชงกับการแต่งงานของเหล่าหลานชายและหลานสาวหรือไม่?
หาไม่แล้ว หลานชายแท้ๆ ในบ้านฝั่งมารดาของนางซึ่งเป็นว่าที่ประมุขตระกูลที่นางเลือกสรรมาให้เสิ่นจั้งจูเป็นอย่างดี ดูสองสามีภรรยาก็รักใคร่กันหวานชื่น ความปลื้มปิติของเหล่าผู้ใหญ่ในตระกูลยังไม่ทันเลือนหายเลย …แต่เหตุใดจู่ๆ ซูอวี๋เซี่ยนก็มาล้มป่วยจนตายเสียเล่า! เสิ่นจั้งจูต้องมาเป็นม่ายทั้งยังสาว ไม่มีบุตรชายบุตรสาวอยู่เป็นเพื่อนก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ปรากฏว่ายังไม่ทันจบงานศพของสามี ก็ถูกแม่สามีบีบคั้นจนเกือบต้องจบชีวิตลง…
ทางฝั่งของเสิ่นจั้งฮุยแม้จะไม่ได้ย่ำแย่เหมือนของเสิ่นจั้งจู แต่ก็ต้องเกิดเรื่องบาดหมางครั้งใหญ่หนหนึ่ง …หากว่าเรื่องแต่งงานของเสิ่นเหลี่ยนเหมยก็ยังไม่ดีอีก ฮูหยินซูก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะชี้แจงกับสามีและน้องสามีเช่นใดแล้ว!
ฉะนั้น แม้ฮูหยินซูจะทนรอจัดการเรื่องแต่งงานครั้งนี้แทบไม่ไหวแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าเป็นคนตัดสินใจแล้ว จึงเพียงแค่สอบถามรายละเอียดต่างๆ ของตัวเลือกให้เรียบร้อยแล้วเขียนออกมา เป็นตายอย่างไรก็ต้องให้สามีและน้องสามีหาเวลาว่างมาดูและให้ตัดสินใจเอง
เมื่อเป็นดังนี้เรื่องแต่งงานของเสิ่นเหลี่ยนเหมยจึงเลื่อนออกไปเรื่อยๆ
หลังจากถูกเลื่อนออกไปดังนี้ ที่สุดในวันนี้ก็เตรียมจะหมั้นหมายกับตวนมู่ห้าวเหมี่ยวได้แล้ว
ปัญหาก็คือความปรารถนาดีนี้ของโจวเยวี่ยกวงจะทำให้นางได้ผลประโยชน์ใด? จนทุกวันนี้นางก็ไม่มีทายาท เกิดว่าวันหน้านางมีลูกของตนเอง เมื่อว่ากันเรื่องของอายุ เขาก็ต้องห่างจากเหล่าพี่น้องผู้ชายและหลานชายเป็นรอบแล้ว และนางก็ยังต้องตั้งอกตั้งใจบ่มเพาะบุตรของอนุ …แล้วนางจะมั่นอกมั่นใจเพียงนั้นหรือว่า ตวนมู่ห้าวเหมี่ยวจะคำนึงถึงบุญคุณของแม่ใหญ่ แล้วละวางตำแหน่งประมุขตระกูลเอาไว้โดยไม่แก่งแย่ง แต่กลับหันมาสนับสนุนน้องชายบุตรแม่ใหญ่ที่อายุสามารถมาเป็นลูกของเขาได้อย่างหมดจิตหมดใจ?
ต่อให้เป็นพี่น้องร่วมท้องกันก็ยังไม่อาจใจกว้างได้เพียงนี้เลย!
ส่วนเรื่องฐานะของโจวเยวี่ยกวงในเวลานี้ หรือว่านางไม่สมควรหันมาทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเหล่าลูกเลี้ยงที่เป็นชาย กดขี่เรื่องการแต่งงานของพวกเขา เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้กับเลือดเนื้อเชื้อไขในอนาคตของตน? หรือต่อให้ต้องการผูกมิตรและรับเลี้ยงดูเพื่อเป็นกำลังหนุนให้แก่บุตรชายในอนาคตของตนเอง ก็ควรจะรับเลี้ยงดูลูกเลี้ยงที่อายุยังน้อยซึ่งสามารถกล่อมได้โดยง่ายจึงจะถูก? หรือนี่จะเป็นความประสงค์ของตระกูลตวนมู่เอง ฉะนั้นนางจึงขัดขืนไม่ได้?
เมื่อได้ยินข้อสงสัยนี้ของเว่ยฉางอิ๋ง ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “แม่เลี้ยงข้าผู้นี้แม้จะยังสาว แต่ร่างกายของนาง …ปีนั้นขอร้องให้อาจารย์ข้ามาตรวจดูให้แล้ว ก็บอกว่าเป็นลิขิตสวรรค์ให้ไร้วาสนาเรื่องทายาท”
เว่ยฉางอิ๋งอุทานว่า “ข้ารู้แล้ว ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน…เช่นนั้นความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับพี่น้องตระกูลเติ้ง มันหมายความว่าอย่างไรอีก?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองตาขวางใส่นางหนหนึ่ง กล่าวว่า “เสียแรงที่ข้าเรียกท่านว่าพี่มาตั้งนาน! นี่ท่านเป็นพี่สาวประสาอะไร? เรื่องก็ผ่านไปแล้วยังคิดว่าข้าจะขุดหลุมฝังท่านรึ?”
“พูดราวกับว่าเจ้าไม่เคยขุดหลุมฝังข้าเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะ “จนมีเรื่องของน้องสาวสามีออกมาอีกเรื่องแล้ว หากข้าไม่บีบเจ้าจนถึงที่สุดจ้าก็จะไม่ยอมบอกข้า!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันเปลี่ยนมายิ้มแย้ม “พวกเราสองคนหายกันแล้วนี่?” แล้วจึงว่า “ทำให้สนมเอกดูอย่างไรเล่า แม้จะบอกว่าท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมให้สัญญาว่าจะช่วยข้าดูแลปกป้องพี่สาวและหลานชาย แต่ท่านก็รู้นี่ว่าเวลานี้พวกเขาก็เป็นคนที่ทำงานในราชสำนัก แม้ท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมจะมีฐานะสูงส่งมีอำนาจล้นมือ ฮ่องเต้เองก็ยังไม่อาจไม่ไว้หน้าพวกเขาสักน้อย แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจไปก้าวก่ายเรื่องของราชสำนักได้อย่างเปิดเผยเหมือนกับญาติผู้ใดดูแลลูกหลานกระมัง? ให้บทเรียนสนมเอกเติ้งสักหน่อย ให้นางอย่าทำเรื่องเลอะเลือนได้เป็นดี”
“พูดราวกับข้าเป็นไอ้โง่เช่นนั้น!” เมื่อได้ฟังคำนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็หน้าบึ้งอยู่เป็นนาน ยิ้มหยันหลายหน “หากเจ้ายังไม่พูดความจริงอีก เชื่อหรือไม่ว่าช้าจะชกเจ้าจริงๆ ด้วย?!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ็ดไปว่า “ท่านทำตัวเป็นพี่สะใภ้เช่นนี้หรือไร!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนไปว่า “อย่าลืมว่ายามนี้เจ้าก็ยังเรียกขานข้าว่า ‘พี่เว่ย’ คำแล้วคำเล่า! ฐานะน้องสาวสามีของเจ้าก็เพียงวางท่าไปเช่นนั้นเอง!”
“ผู้ใดว่าข้าวางท่าไปเช่นนั้นเอง?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มเยาะ “ยามนี้ข้าก็จะเรียกท่านใหม่ว่าพี่สะใภ้สาม ข้าจะบอกท่านนะ วันหน้าหากท่านกล้าทำไม่ดีต่อข้า รอพี่ชายสามกลับมาก่อน ข้าจะเล่าทั้งน้ำตาให้เขาฟังทันที! แล้วข้ายังจะเขียนจดหมายไปฟ้องเรื่องท่านที่เมืองหลวงด้วย!”
“เจ้ากลับกล้าล่วงเกินพี่สะใภ้เยี่ยงนี้!” เว่ยฉางอิ๋งชี้นิ้วไปแตะที่หว่างคิ้วนางเบาๆ หัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งพลางว่า “เจ้าไม่อยากอยู่อย่างเป็นสุขแล้วใช่หรือไม่? ยามนี้ ท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมของเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้ายั่วพี่สะใภ้ให้มีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว! หากข้ายกเจ้าให้แต่งกับคนส่งเดช ถึงยามนั้นเจ้าจะร้องไห้ก็ยังไม่ทันแล้ว!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียงว่า “แต่งแล้วจะอย่างไร? หากคนผู้นั้นไม่ต้องใจข้า อย่างมากก็วางยาให้ตายแล้วค่อยแต่งใหม่อีกครั้ง!”
“นี่เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” โต้เถียงกันมาสักพัก เว่ยฉางอิ๋งอารมณ์ขึ้นมาสักหน่อย ส่ายหัวพลางทอดถอนใจว่า “ฉายาหมอเทวดาน้อยของเจ้าเพิ่งมีคนตั้งให้ หากมีคนมาได้ยินคำนี้ของเจ้า ท่านหมอเทวดาจี้จะต้องถูกเจ้าทำเสียหน้าหมดแน่!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “คนสูงวัยเช่นท่านอาจารย์หาได้สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ไม่”
“จะว่าไปแล้ว ท่านหมอเทวดาจี้ให้เจ้าเปิดรักษาโดยไม่คิดค่ารักเพื่อทำให้ญาติของเขาปรากฏตัวออกมา…” เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันพูดจบก็ถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวขัดคำขึ้นมา …คุณหนูตวนมู่แปดผู้นี้เกือบจะร้องขึ้นมาว่า “ไม่คิดค่ารักษาอันใด?! ข้าบอกว่าไม่คิดค่ารักษาแต่เมื่อใดกัน!!!”
……………………………