บทที่ 910 เด็กสาวผู้มีไหวพริบ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

หลังจากที่คนคนนั้นถอยกลับเข้าไปในร้านค้า หลังม่านหน้าต่างอันว่างเปล่าก็ปรากฏดวงตาเย็นชาของหลิงม่อขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองร้านค้าแห่งนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกวาดมองบริเวณรอบๆ ไปตามถนนใหญ่ จากนั้นจึงค่อยดึงม่านหน้าต่างปิด

ขณะเดียวกัน เสียงถกเถียงกันเบาๆ ก็ดังมาจากชั้นล่าง หลิงม่อเดินไปใกล้ๆ บันไดเพื่อแอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง พอได้ยินเข้าก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หลังจากได้ยินว่าข้างนอกมีคนจับตามองพวกเขาอยู่ เย่ไคที่มีนิสัยไม่ยอมคนก็นั่งไม่ติดขึ้นมาทันที

“ชิท! แค่ฟังก็รู้แล้วว่าพวกนั้นมีเลศนัย! หัวหน้าทีมว่ายังไงบ้าง? จะให้ชิงลงมือก่อนหรือเปล่า?” เขาดึงมีดคมๆ ทั้งสองเล่มที่เหน็บไว้ข้างตัวออกมาทันที พูดพร้อมลับมีดฉึบฉับพร้อมลงมือ

เจ้าลิงผอมห้ามปรามเขา พลางโน้มน้าวว่า “นายฟังเขาพูดให้จบก่อน…”

กู่ซวงซวงพูดอย่างขลาดๆ “จริงด้วย อีกอย่างเราทุกคนต่างก็เป็นผู้รอดชีวิตเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือกันเสมอไป…”

“พวกเรามีปืนมีอาหารมีผู้หญิง ไหนลองบอกเหตุผลที่พวกมันจะไม่ลงมือมาซักข้อสิ?” เย่ไคพูดขวานผ่าซาก

กู่ซวงซวงหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้างุดแล้ววิ่งไปยืนข้างสวี่ซูหาน พลางเขย่าแขนสวี่ซูหาน “พี่สวี่ พี่ฟังเขาพูดสิ…”

หลายวันมานี้ กู่ซวงซวงมักตัวติดกับสวี่ซูหาน ดูคล้ายสนิทสนมกันมาก

มีเพียงหลิงม่อที่สับสนงุนงง คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้อยู่เต็มอก

ที่สวี่ซูหานไม่ทำร้ายมนุษย์ เป็นเพราะว่าเธอขี้ขลาด แต่ไม่ได้เป็นเพราะเธอสนิทสนมกับมนุษย์อย่างแน่นอน!

เหมือนอย่างตอนนี้ที่กู่ซวงซวงเขย่าแขนเธอ สวี่ซูหานร้อง “อ๊ะ” เหมือนแมวป่าที่ถูกเหยียบหาง

แค่ต้องยืนนิ่งๆ ฟังกู่ซวงซวงพูด เธอก็คงทรมานมากแล้ว…

“เขาเป็นแบบนี้ตลอดเลย…” กู่ซวงซวงพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ

“ฉันพูดความจริง” เย่ไคกลับดูเหมือนค่อนข้างเกรงกลัวสวี่ซูหาน จึงพูดสียงเบา

“หลิงม่อให้พวกเราอยู่เฉยๆ ไปก่อน” อวี่เหวินซวนพูดขึ้นอย่างได้จังหวะ

“ห๊ะ?” ทุกคนต่างพากันเงียบทันที

ไม่นาน เย่ไคก็เปิดปากถามเสียงเบา “เป็นเพราะอะไร? ในเมื่อพวกนั้นลอบสังเกตพวกเรามานานมากแล้ว พวกเราก็ยิ่งต้องชิงลงมือก่อนสิ ถ้าไม่ฉวยโอกาสฆ่าพวกนั้นตอนที่ไม่ทันตั้งตัว จะปล่อยให้พวกมันชิงลงมือก่อนหรือไง?”

จางซินเฉิงเองก็พูดอย่างเห็นด้วย “ฉันเห็นด้วย หากปล่อยเวลาผ่านไป ไม่แน่พวกเขาอาจรู้ตัว แล้วชิงทำอะไรก่อนก็ได้ ถึงตอนนั้นพวกเราต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน”

เทียบกับมู่เฉินและอวี่เหวินซวน ท่าทีที่สองคนนี้มีต่อการตัดสินใจของหลิงม่อแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด…ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เชื่อใจหลิงม่อ แต่เป็นเพราะพวกเขามีเหตุผลและรู้จักแยกแยะมากกว่า ถึงแม้จะเป็นการตัดสินใจของหลิงม่อ พวกเขาก็จะตั้งคำถามและแสดงความไม่เห็นด้วยออกไปอย่างไม่ลังเล แต่มู่เฉินกับอวี่เหวินซวนไม่เหมือนกัน พวกเขารู้จักกับหลิงม่อมานานกว่า ประสบการณ์ที่เคยผ่านด้วยกันมาก็มีมากกว่า…

“เหตุผลน่ะฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอก แต่ในเมื่อหลิงม่อพูดอย่างนี้แล้ว เขาก็ต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน พวกเราคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้ทำตามที่เขาบอกแต่โดยดีดีกว่า พวกนายอาจไม่เข้าใจนัก แต่ตั้งแต่ที่ฉันรู้จักหลิงม่อมา ฉันก็เข้าใจถึงความประหลาดของหมอนั่นแล้ว ถามมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องกลัวว่าจะล้มเหลวหรือเปล่า ให้คิดว่าจะถูกหลอกใช้เมื่อไหร่ดีกว่า สรุปว่าเทียบกับความสำเร็จหรือล้มเหลวของภารกิจ ฉันห่วงว่าตัวเองจะเดินไปติดกับดักเขาเมื่อไหร่มากกว่า…”

มู่เฉินพูดพลางถอนหายใจอย่างคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน

เห็นเย่ไคยังทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก มู่เฉินรีบยกมือขึ้นโบกไปมา บอกว่า “เอาล่ะๆ ฉันไม่รู้จริงๆ”

เขาจะไปรู้เหตุผลได้ยังไงเล่า สิ่งที่หลิงม่ออธิบายให้เขาฟัง เขาก็ไม่เข้าใจเลยซักนิด!

แวบแรกฟังเหมือนมีเหตุผล แต่พอคิดดูดีๆ เจ้าบ้านั่นใช้วิธีการพูดแบบสองแง่สองง่ามต้มพวกเขาซะเปื่อยเลยนี่นา!

เย่ไคมองหน้าจางซินเฉิงอย่างอับจนหนทาง ทั้งสองต่างพากันนิ่งเงียบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่ไคจึงค่อยเสียบมีดเก็บเข้าที่เดิม นั่งลงแล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ฟังที่หัวหน้าบอกแล้วกัน”

“ถึงยังไงก็ไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันนี่นะ ดูเหมือนว่าฉันจะยังไม่น่าเชื่อถือพอ” หลิงม่อคิดอย่างขมขื่น

ดีที่สุดท้ายสองคนนี้ก็ยอมโอนอ่อน ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจริงๆ

“เฮยซือ!” หลิงม่อหลับตาลงอีกครั้ง พลางเพ่งสมาธิไปยังหนวดสัมผัสเส้นหนึ่ง

วินาทีนั้น เขารู้สึกเหมือนจิตใต้สำนึกของตัวเองได้จมดิ่งสู่สัญญาณโทรศัพท์สายหนึ่ง และปลายสายก็มีน้ำเสียงเบื่อๆ ดังตอบกลับมาอย่างชัดเจน “นี่นายคิดจะเรียกคนอื่นเมื่อไหร่ก็เรียก คิดจะไล่กันเมื่อไหร่ก็ไล่หรือไง!”

หลิงม่อขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นนวดขมับทันที “ชิท”

ไม่เสียชื่อที่เป็นสิ่งมีชีวิตผู้มีพลังจิตอันแข็งแกร่ง พอเฮยซือ “ตวาด” เขาก็รู้สึกไม่ต่างจากถูกพลังจิตโจมตีเลยทีเดียว เหมือนมีคลื่นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แผ่มาจากสายโทรศัพท์ หลิงม่อที่อยู่ในนั้นย่อมต้องได้รับผลกระทบเป็นคนแรกอยู่แล้ว

“เฮอะ!” เฮยซือสะบัดเสียงอย่างได้ใจ แล้วถาม “เรียกฉันทำไม? มีเรื่องอะไรให้ฉันวิเคราะห์อีกหรือไง?”

“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” หลิงม่อถามอย่างไม่สบอารมณ์

“รอแป๊บนะ” เฮยซือหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ไม่นาน ภาพวาดแบบง่ายภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่อ

“เห็นวงกลมสีแดงบนภาพแล้วใช่ไหม? นั่นคือตำแหน่งที่พวกนายอยู่ วงกลมสีฟ้าคือตึกใหญ่หลังนั้น แล้วก็ตรงนี้…ตรงที่วาดกากบาทไว้ คือตำแหน่งของฉันกับอวี๋ซือหรานแล้วก็เสี่ยวป๋าย หลักๆ แล้วก็อยู่กันเป็นรูปสามเหลี่ยม…” เฮยซืออธิบาย

หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็บอกว่า “อ้อมเข้ามาจากข้างหลังพวกฉันได้ไหม? บนถนนเส้นนี้จะต้องมีมนุษย์กลุ่มอื่นอยู่อีกแน่ๆ ตามหาตำแหน่งของพวกเขา จากนั้นก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับจุดประสงค์และจำนวนคนของพวกเขามาให้ฉัน ระวังอย่าให้โดนจับได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เข้าใกล้พวกฉัน”

“แถวนี้มีคนอยู่?” เฮยซือตอบสนองรวดเร็วมาก

“อืม” หลิงม่ออดคิดในใจไม่ได้ เป็นแค่หมาตัวเมียตัวหนึ่งทำไมถึงฉลาดขนาดนี้…

และไม่รู้เพราะอะไร หลิงม่อรู้สึกเหมือนหมาตัวนี้ยิ่งอยู่ยิ่งกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกมากขึ้นเรื่อยๆ…ไม่ได้หมายถึงรูปร่างภายนอก แต่หมายถึงความสามารถเหล่านี้ของเธอ นั่นคือการซุ่มสอดแนมอยู่ในร่างกายคนอื่น และใช้ “โทรจิต” เพื่อฉายภาพสะท้อนจินตนาการไปยังตัวกล้องตามเวลาจริง…เมื่อความสามรถเหล่านี้ปรากฏออกมาทีละอย่างๆ บทบาทของเฮยซือก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่คล้ายกับทหารพรานสอดแนมมากขึ้นเรื่อยๆ…ตอนแรกเธอก็เป็นหมาตำรวจไม่ใช่หรอ!

“ดังนั้น ไม่ว่าจะวิวัฒนาการหรือกลายพันธุ์ไปยังไง สุดท้ายก็ยังได้รับผลกระทบจากตัวตนเดิมงั้นหรอ…”

เสียงของเฮยซือดังแทรกขึ้นมาในสมองของหลิงม่อ ทำให้เขาต้องหยุดคิดเรื่อยเปื่อย “เข้าใจแล้ว ฉันจะจับตามองพวกเขาไม่คลาดสายตา”

“อ้อ ใช่สิ” หลิงม่อฉุกคิดได้ จึงรีบถามขึ้น “ก่อนหน้านี้เธอไม่ยอมเข้าใกล้บริษัทลอว์สัน แล้วตอนนี้ล่ะ? เธอยังรู้สึกว่าที่นั่นอันตรายมากอยู่ไหม?”

เฮยซือเหมือนลังเลไปชั่วขณะ แล้งจึงค่อยตอบ “อืม ยังเหมือนเดิม เจ้านาย นายระวังตัวหน่อย ฉันรู้สึกไม่ดีกับที่นั่นมากจริงๆ…”

“อ้อ…วิวัฒนาการจนถึงขั้นที่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยแล้วสินะ…นี่?” หลิงม่อเพิ่งจะพูดอย่างชื่นใจ ก็พบว่าปลายสายไม่มีการตอบรับแล้ว เขาค่อยๆ ดึงจิตใต้สำนึกออกมาจากสายโทรศัพท์ จากนั้นก็ลืมตาช้าๆ

“ฮู่ว…” ในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง โลลิน้อยที่นั่งนิ่งอยู่บนกำแพงพลันตัวสั่นสะท้าน “ผ้าพันคอ” ที่อยู่รอบลำคอนั่นก็พลันกระตุกสั่นตามไปด้วย

โลลิน้อยยกมือขึ้นกอดอกทันที ใบหน้ากลมมนแสดงสีหน้าขุ่นเคือง “เฮยซือแกทำอะไรของแกน่ะ!”

ศีรษะเล็กๆ ศีรษะหนึ่งพลันมุดออกมาจากผ้าพันคอของเธอ แต่คนที่พูดไม่ใช่มัน กลับเป็นโลลิน้อยแทน

เมื่อเธอเปิดปากพูดอีกครั้ง สีหน้าของโลลิน้อยก็เปลี่ยนไปทันที จากสีหน้าขุ่นเคืองก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา ที่แปลกกว่านั้นคือ เวลาพูดปากของเธอขยับไปพร้อมกับปากของศีรษะเล็กๆ นั่น…

“เกือบไปแล้วๆ!” ‘โลลิน้อย’ร้อง “เกือบถูกจับได้แล้วเชียว!”

“จับอะไรได้?” สองวินาทีต่อมา สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนกลับไปเป็นขุ่นเคืองเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

“คราวหน้าให้เธอเป็นคนคุยกับเขาดีกว่า…”

“ชิ ไม่เอาด้วยหรอก”

“ทำไมล่ะ คุยกันหลายครั้งเข้าเธออาจได้ไส้กรอกมาครองง่ายๆ ก็ได้นะ”

“คิดว่าหลอกใครอยู่ หา!”

“ไม่เชื่อก็ตามใจ อีกอย่างเธอไม่อยากเจอป้านเยว่แล้วหรอ?”

“คุยกับเขาแล้วจะได้เจอป้านเยว่?”

“ก็เกลี้ยกล่อมเขาให้ไปตามหาป้านเยว่ได้นี่นา…”

โลลิน้อยคุยกับ ‘ตัวเอง’ อยู่ครู่หนึ่ง เธอยกมือขึ้นดุนคาง แล้วแกว่งขาขาวเนียนสองข้างไปมา พลางพึมพำกับตัวเอง “ก็จริงนะ…ป้านเยว่กำลังตามหาฉัน ฉันไปตามหาป้านเยว่…ถ้าต่างคนต่างตามหากันก็จะเจอกันเร็วขึ้น!”

“ฉันนี่ไหวพริบดีจริงๆ!”

อยู่ๆ เธอก็กระโดดลงจากกำแพง ขณะเดียวกับที่ข้างล่างมีเงาสีขาวพุ่งพรวดเข้ามารับร่างเธอไว้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเงาสีขาวนี้โฉบไหวร่างกาย ด้านล่างกำแพงแห่งนี้ก็ว่างเปล่าไร้เงาคน…

“ยัยหมาตัวนี้นี่…” หลิงม่อส่ายหน้า พลางดึงสมาธิกลับไปที่บริษัทลอว์สัน

แต่คราวนี้เขาตั้งสติอย่างดี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระหว่างนี้ขึ้นอีก…

“ให้พวกเฮยซือไปตรวจสอบ น่าจะต้องใช้เวลามากสุดไม่เกินสิบนาที…ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องเร่งทางนี้ให้เร็วกว่าเดิมแล้วล่ะ แล้วก็ยังมีคนที่ออกมาสำรวจอยู่นอกตึกใหญ่คนนั้นด้วย ไม่แน่ว่าเขาอาจมีการเคลื่อนไหวอะไรใหม่อีก…”

หลิงม่อคิดในใจ พลางเปลี่ยนมุมมองสายตาหลักไปยังหุ่นซอมบี้ตัวที่อยู่ในโรงอาหาร

ส่วนหุ่นซอมบี้อีกตัวกำลังย่องลงจากตึกอย่างระมัดระวัง โดยนำไวรัสนางพญาสองก้อนติดตัวไปด้วย เดิมหลิงม่อตั้งใจว่าจะให้มันฉวยโอกาสหนีออกจากตึก ทว่าพอคิดได้ว่าข้างนอกไม่ได้มีแค่ซอมบี้เท่านั้น แต่ยังมีมนุษย์ที่จุดประสงค์ไม่ชันเจนอยู่ด้วย จึงตัดสินใจให้มันหาที่ซ่อนตัวแทน

ทว่าในตอนนั้นเอง อยู่ๆ กลับมีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในหัวเขา

“เด็กโง่” หลิงม่อเรียกเย่เลี่ยนที่กำลังจะลงไปข้างล่างไว้ทันที “ยังไม่ต้องมาที่นี่ จับตามองอยู่บนตึกนั้นไปก่อน ครั้งนี้ไม่ต้องจับตามองในตึกแล้ว ให้ดูข้างนอกเป็นหลัก คอยสังเกตให้ดีว่ามีใครเข้ามาใกล้ไหม”

เย่เลี่ยนที่เดินกำลังกระชับปืนไรเฟิลจู่โจมลงบันไดพลันชะงักเท้า จากนั้นก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย “อื้ม…”

“แล้วก็…ระวังตัวด้วย ซอมบี้เมื่อกี้มีฉันคอยจับตามองไว้ให้ แต่มนุษย์ในครั้งนี้…ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ บางทีพวกเขาอาจไม่ได้อันตรายน้อยไปกว่าฟางอิ๋งเลย…” หลิงม่อพูดอย่างลังเล ใจเขาคิดอย่างนี้จริงๆ คนกลุ่มนี้เพียรพยายามอย่างไม่ลดละขนาดนี้ กระทั่งยอมสละชีวิตของพวกพ้อง คนอย่างนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพวกยอมทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย…และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลิงม่อระวังตัวเป็นพิเศษ

แต่สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าพวกเขา กลับเป็นตึกใหญ่หลังนี้…

—————————————————————————–