บทที่ 187 หัวเหล็ก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 187 หัวเหล็ก

“อาจารย์สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินทำเป็นถามด้วยความตื่นเต้น

เพราะเขาไม่รู้จะอธิบายที่มาของคัมภีร์เล่มนี้อย่างไรดี

ฉู่เหินอ่านคัมภีร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน สีหน้าบอกชัดถึงความตกตะลึง ก่อนตอบว่า “ยิ่งกว่ามีประโยชน์ซะอีก เรียกได้ว่ามันมอบชีวิตใหม่ให้กับข้าเลยทีเดียว จากข้อมูลที่ในคัมภีร์ระบุเอาไว้กล่าวว่า แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือจะมีความยืดหยุ่นไม่ต่างจากแขนที่มีเลือดเนื้อ แต่มีความแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากงาช้าง…ไม่มีอะไรสุดยอดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

“ถ้าสร้างแขนกลขึ้นมาได้สำเร็จ อาจารย์ก็ไม่ต้องลาออกแล้วใช่ไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถาม

ฉู่เหินตอบว่า “ถ้าสามารถสร้างแขนกลขึ้นมาได้สำเร็จ ข้าจะต้องลาออกทำไม ดีไม่ดีอาจจะแย่งตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของหลิงไท่ซวีได้ด้วยซ้ำ อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า”

หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดอยู่ในใจว่าตาเฒ่าคนนี้ชักจะโลภมากเกินไปแล้ว

ฉู่เหินอ่านคัมภีร์จบอีกรอบก็บอกให้หลินเป่ยเฉินส่งให้พานเว่ยหมินดูบ้าง

พานเว่ยหมินมีระดับพลังสูงส่ง ย่อมเข้าใจความซับซ้อนของคัมภีร์ได้ไม่ยาก

หลังอ่านจบแล้ว เขาก็กล่าวว่า “เป็นคัมภีร์ที่ยอดเยี่ยม ทฤษฎีในคัมภีร์เล่มนี้เรียบง่าย แม้แต่มนุษย์ทั่วไปก็สามารถสร้างได้ ขอให้มีวัสดุสำหรับสร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือครบถ้วนเท่านั้นก็พอแล้ว”

ฉู่เหินพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉิน “ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้ตอบเลยนะว่าไปเอาคัมภีร์เล่มนี้มาจากไหน?”

หลินเป่ยเฉินคิดหาคำตอบที่เข้าท่าอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็กล่าวว่า “ข้าได้มันมาจากบิดาขอรับ”

เอาตัวรอดไปกับคำตอบนี้ก่อนก็แล้วกัน

อีกอย่าง บัดนี้ยังไม่มีใครหาตัวบิดาของเขาพบ ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินย่อมไม่มีทางพิสูจน์ความจริงได้อยู่แล้ว

ทว่า อาจารย์อาวุโสทั้งสองไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด

คัมภีร์เล่มนี้มีมูลค่ามหาศาล ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนไม่มีวาสนาได้อ่านมัน คงมีแต่เพียงขุนนางนักรบสวรรค์อย่างหลินจิ้นหนานเท่านั้นถึงได้มีวาสนาครอบครอง นี่คือคำอธิบายที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

บางทีหลินจิ้นหนานอาจตั้งใจนำคัมภีร์เล่มนี้มอบให้แก่บรรดาทหารผ่านศึกที่ต้องสูญเสียแขนขาไปในศึกสงคราม เพื่อมอบชีวิตใหม่ให้แก่นายทหารเหล่านั้นก็เป็นได้

น่าเสียดายเหลือเกินที่นักรบฝีมือดีอย่างนั้นต้อง…

อาจารย์อาวุโสทั้งสองได้แต่ถอนหายใจออกมาโดยไม่มีเหตุผล

“เอาเป็นว่าพวกข้าขอเก็บคัมภีร์เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะส่งให้ผู้รู้เขาลองอ่านดูอีกที เมื่อเข้าใจทุกอย่างในคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะได้หาส่วนประกอบสำหรับการสร้างแขนกลมาเตรียมเอาไว้” ฉู่เหินกล่าว “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะมอบคัมภีร์เล่มนี้ให้แก่คนที่เชื่อใจได้เท่านั้น รับรองว่ามันไม่มีทางหลุดรอดรู้ถึงหูคนอื่นแน่นอน เมื่อสร้างแขนกลขึ้นมาได้สำเร็จ คัมภีร์เล่มนี้ข้าก็จะคืนให้กับเจ้า”

หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่เป็นไรหรอกขอรับ คัมภีร์เล่มนี้ถือว่าข้ามอบให้แก่อาจารย์ฉู่เลยก็แล้วกัน บางทีท่านอาจจำเป็นต้องใช้มันอีกก็ได้”

ฉู่เหินเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะยกเท้าถีบหลินเป่ยเฉินล้มกลิ้งไปหลายตลบ

“เห็นข้าแขนขาดยังไม่พอ นี่เจ้ากำลังแช่งให้ข้าขาขาดด้วยใช่ไหม?” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น

พานเว่ยหมินระเบิดเสียงหัวเราะ

ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงได้แต่หัวเราะในลำคอ

หลังโวยวายกันพอหอมปากหอมคอ หลินเป่ยเฉิน เยว่หงเซียงและฮันปู้ฟู่ก็เดินกลับออกมาจากวิหารเทพกระบี่ด้วยกัน

ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินยังคงต้องอยู่ในสถานพักฟื้นต่อ เพื่อรับการรักษาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับสู่สถานศึกษา ฮันปู้ฟู่เอาแต่นั่งจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่ตลอดเวลา

“ศิษย์พี่ฮัน อย่าบอกนะว่าท่านก็หลงเสน่ห์ข้าเข้าอีกคนแล้ว?” หลินเป่ยเฉินพูด

ดวงตาของฮันปู้ฟู่ไม่สามารถปิดบังความชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ได้เลย “ข้าไม่คิดเลยนะว่าศิษย์น้องหลินจะสามารถจัดการโจรร้ายพวกนั้นได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว นี่คือเรื่องราวที่แม้แต่แม่ทัพใหญ่ในกองทัพก็ไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ในอนาคตเจ้ากลายเป็นวีรชนคนกล้าอันดับ 1 ของจักรวรรดิ ข้าก็คงไม่แปลกใจอีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ตอบไปว่า “ศิษย์พี่อย่าลืมสิว่าข้าคืออัจฉริยะ อุ๊วะอะฮิอะฮิ”

ฮันปู้ฟู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลินเป่ยเฉินพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด “ว่าแต่ในคืนนั้น ศิษย์พี่ฮันกับศิษย์น้องไป๋หลบหนีมาได้อย่างไรหรือ?”

ใบหน้าของฮันปู้ฟู่เศร้าสลดลงทันตา

“ข้าละอายใจเหลือเกิน” ฮันปู้ฟู่พูดด้วยความอับอาย “ตอนนั้นอาจารย์พานถ่วงเวลาพวกศัตรูเอาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ข้ากับศิษย์น้องไป๋ได้หลบหนี หลังจากมาถึงบริเวณริมน้ำ เราสองคนก็พลัดหลงกับอาจารย์พาน พวกนักล่าอสูรไล่ล่าข้ากับศิษย์น้องไป๋ไม่ลดละ สถานการณ์กำลังตึงเครียดถึงขีดสุด ตัวข้าเองตอนนั้นได้รับบาดเจ็บสลบไปโดยไม่รู้ตัว ฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าศิษย์น้องไป๋ช่วยแบกร่างข้ามาจนถึงนอกเมืองหยุนเมิ่งแล้ว”

“หืม?” หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “สรุปก็คือ ศิษย์น้องไป๋เป็นคนช่วยชีวิตท่านเอาไว้อย่างนั้นหรือ?”

“เป็นเช่นนั้นเอง” ฮันปู้ฟู่พูด “ในฐานะศิษย์พี่ ข้าควรปกป้องศิษย์น้อง แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกที ข้าก็พบว่าตนเองถูกนางช่วยชีวิตเอาไว้แล้ว และเพื่อปกป้องข้า ศิษย์น้องไป๋จึงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ชุดสีขาวที่นางสวมใส่ มีแต่รอยคราบเลือดของนางเต็มไปหมด”

หลินเป่ยเฉินเอนหลังพิงเบาะที่นั่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าอิจฉาศิษย์พี่เหลือเกิน ไม่ต้องทำอะไรเลย ตื่นขึ้นมาก็ปลอดภัยแล้ว”

ฮันปู้ฟู่หน้าแดงขึ้นมาโดยทันที

นี่คือถ้อยคำที่ระคายหูไม่ใช่น้อย

แต่หลินเป่ยเฉิน…มีคุณสมบัติดีพอที่จะพูดเช่นนี้ออกมาได้

“แต่การต่อสู้ในหุบเขาชายแดนเหนือครั้งนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองสามารถทลายจุดตันได้สำเร็จแล้ว อีกจากนี้ไม่กี่วัน ข้าว่าจะเดินทางไปที่วิหารเทพกระบี่อีกครั้ง เพื่อเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุให้สำเร็จ หากโชคดี ข้าก็จะสามารถเลื่อนระดับพลังได้ก่อนเข้าแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้าย แล้วระดับพลังของข้า ก็จะได้ขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์กับเขาสักที”

ฮันปู้ฟู่พยายามให้กำลังใจตัวเอง

เยว่หงเซียงกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ สถานศึกษากระบี่ที่สามของเราในการแข่งขันครั้งนี้ ย่อมสามารถไปได้ไกลแน่นอน”

หลังผ่านเหตุการณ์ในหุบเขาชายแดนเหนือมาด้วยกัน พวกเขาก็รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น จึงทำให้สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่รู้สึกกระดากอายแต่อย่างใด

หลินเป่ยเฉินไม่ได้กลับไปที่สถานศึกษากระบี่ที่สาม

เขาขอลงกลางทาง

เด็กหนุ่มเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย เป้าหมายแรกคือแวะซื้อเครื่องดื่มใส่ขวดน้ำเต้าจากโรงเตี๊ยมชิงฝู เมื่อดื่มดับกระหายเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนชื่อดังในตัวเมือง

หลินเป่ยเฉินยังคงมีแก่นลมปราณและหนังหมาป่าน้ำแข็งอยู่อีกหลายผืน

บรรดานักล่าอสูรที่ถูกเขากวาดล้าง ออกล่าหมาป่าน้ำแข็งเหล่านั้นเป็นว่าเล่น ราคาแก่นลมปราณและหนังหมาป่าน้ำแข็งในท้องตลาดจึงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะของเก่าที่ยิ่งผ่านเวลากักเก็บมานานหลายวัน ราคาก็จะยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงต้องหาทางปล่อยของที่มีอยู่ในมือออกไปให้ได้โดยเร็ว

“เฮ้อ ระบบทุนนิยมนี่มันเลวร้ายจริงๆ เลยโว้ย”

หลินเป่ยเฉินนำแก่นลมปราณและแผ่นหนังหมาป่าน้ำแข็งไปขายในสถานที่ซึ่งมีชื่อว่าหอการค้าซื่อถง และได้เงินมาทั้งสิ้น 28 เหรียญทองคำ

หลังจากนั้น เขาก็ตรงไปยังร้านขายอาวุธที่มีชื่อว่าร้านหัวเหล็ก

“หัวเหล็ก?” หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ใครกันนะตั้งชื่อร้านตัวเองแบบนี้

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปภายในร้านแล้วก็ได้พบว่าสภาพด้านนอกที่ดูเหมือนร้านขายอาวุธธรรมดา แต่ภายในกลับมีความใหญ่โตอยู่ไม่ใช่น้อย บนผนังเต็มไปด้วยชั้นวางอาวุธนานาชนิด

ที่นี่มีขายแม้แต่กระบี่วิหคครามของอาจารย์ฟ่านด้วยซ้ำ

การตกแต่งภายในร้านก็ดูหรูหรามีระดับ

มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือร้านที่มีอายุยาวนานเก่าแก่หลายชั่วอายุคน

หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ เขาสัญญากับหวังจงเอาไว้นานแล้วว่าจะซื้อกระบี่วิหคครามให้เป็นของขวัญ ดังนั้น เขาจึงเรียกเด็กรับใช้ในร้านมาสอบถาม เรียบร้อยแล้วก็ใช้เงินหนึ่งเหรียญทองคำ ซื้อกระบี่วิหคครามมาหนึ่งเล่ม

“จริงด้วยสิ ไม่ทราบว่าทางร้านรับซื้ออาวุธที่ชำรุดแล้วหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถามออกไปด้วยความระมัดระวัง

คนที่เขาเข้าใจว่าเป็นเด็กรับใช้ภายในร้านคือหญิงสาวอายุ 28 ปี นางมีร่างกายสูงเพรียว ใบหน้าสะสวย ตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินย่างเท้าก้าวเข้ามาในร้าน นางก็เอาแต่จ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มสอบถามเช่นนั้น หญิงสาวก็ยิ้มรับด้วยความกระตือรือร้น “ร้านของเรารับซื้อทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชายมีอาวุธประเภทใดอยากขายหรือเจ้าคะ?”

หลินเป่ยเฉินนำกระบี่โดรานกับมีดเจิ้งที่เสียหายออกมาวางไว้บนโต๊ะไม้ แล้วกล่าวว่า “รบกวนพี่สาวช่วยดูให้หน่อย ไม่ทราบว่ากระบี่และกริชพวกนี้ พอจะมีราคาบ้างหรือไม่?”

หญิงสาวจ้องมองอาวุธของเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย พึมพำว่า “เป็นอาวุธที่ดียิ่ง”

นางตรวจสอบมีดและกระบี่อยู่สักครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กล่าวว่า “อาวุธทั้งสองชิ้นนี้นับว่าเป็นอาวุธที่หายาก น่าเสียดายที่มันแตกหักเสียหาย ข้าไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะกำหนดราคาได้ รบกวนคุณชายโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเชิญเถ้าแก่มาตีราคาให้เอง”