ตอนที่ 414 โอกาสวาสนาของลั่วหยาง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“หากไม่มีคนรังแกเจ้า ไย ไยเจ้าจึง…” ถังมู่เฉินพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นลูบคางว่า “เอ๊ะ ไม่ถูกไม่ถูก ถูกรังแกเจ้าต้องเอาก้อนอิฐฟาดคนแล้วแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่จะเขินอาย…”

 

 

“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าใบหน้าร้อนผ่าว ไม่เคยกระอักกระอ่วนเช่นนี้มาก่อน

 

 

เจ้าหมอนี่ เขาต้องเห็นตนเป็นผู้ชายแน่ๆ สินะ ต้องใช่แน่ๆ สินะ?

 

 

มิเช่นนั้นไยพูดจาไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้!

 

 

ถังมู่เฉินมองมั่วชิงเฉินที่หน้าแดงไปหมด จู่ๆ ก็ตบศีรษะอย่างรู้แจ้งขึ้นมาว่า “ข้ารู้แล้ว คนผู้นั้นคือสหายเต๋าลั่วหยาง!”

 

 

“เจ้าพูดอะไร?” มั่วชิงเฉินตะลึง

 

 

ถังมู่เฉินพ่นลมออกอึดหนึ่งว่า “ดูท่าข้าเดาถูกแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับมาใจเย็นแล้ว เอ่ยนิ่งเรียบว่า “พี่ใหญ่เดาถูกได้อย่างไร?”

 

 

ถังมู่เฉินยิ้มอย่างได้ใจว่า “เจ้ายังไม่รู้กระมัง ตระกูลซ่างกวานเกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นเรื่องหนึ่ง คุณหนูใหญ่ซ่างกวานอู๋สยาและคุณหนูรองซ่างกวานอู๋โยวตีกันใหญ่โตเพราะผู้ชายคนหนึ่ง แย่งกันจะเป็นจะตายเลยนะ พอดีถูกนักบำเพ็ญเพียรสองสามคนที่มาจากหยวนโจวเห็นเข้า บัดนี้ลือไปทั่วแล้ว น้องพี่ ผู้ชายคนนั้น น่าจะเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ที่เราได้ยินที่ใต้ซุ้มดอกไม้สินะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ฟังอย่างเงียบๆ

 

 

ถังมู่เฉินยิ้มว่า “ส่วนเหตุใดข้าถึงเดาได้ว่าเป็นสหายเต๋าลั่วหยาง แค่กๆ…”

 

 

เห็นเขากระแอม ไม่รู้คิดจะพูดอะไรออกมา มั่วชิงเฉินรีบตะโกนตัดบทว่า “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว!”

 

 

“ได้ ได้ พี่ใหญ่ไม่พูด” ถังมู่เฉินหัวเราะคิกคักพลาง กลับพึมพำเบาๆ ว่า “แม้จะบอกว่าจากกันช่วงสั้นๆ ชนะข้าวใหม่ปลามัน[1]ก็อย่ารุนแรงเช่นนี้สิ”

 

 

มั่วชิงเฉินโกรธจนหงายหลัง ผ่านไปพักใหญ่ถึงหน้าดำพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้ากลับห้องแล้ว”

 

 

“เอ๊ะ อย่าเพิ่งไปสิ” ถังมู่เฉินดึงแขนเสื้อของมั่วชิงเฉินไว้ว่า “เจ้าคิดจะทำเช่นไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง คิดๆ แล้วว่า “ข้าจะพาศิษย์พี่ลั่วหยางไปเสวียนโจวด้วย”

 

 

ถังมู่เฉินส่ายหน้าว่า “นี่เกรงว่าจะไม่ได้กระมัง เห็นบอกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลกุมอยู่ในมือตระกูลซ่างกวานมิใช่หรือ? เมื่อใดที่สหายเต๋าลั่วหยางและพวกเรานั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยกัน เช่นนั้นต้องถูกพบแน่นอน อีกอย่าง ต่อให้ช่วงนี้ สหายลั่วหยางก็อาจถูกหาพบนะ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถิ่นตระกูลซ่างกวาน! จื้ดๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสหายเต๋าลั่วหยางจะเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ อย่าว่าแต่เฟิ่งหลินโจวมีสตรีเป็นใหญ่เลย ต่อให้เป็นสตรีที่อื่น เกรงว่าก็เสียดายทำใจยอมปล่อยไปไม่ได้กระมัง”

 

 

ถังมู่เฉินพูดจาฉะฉานรวดเดียวตั้งมากมาย มั่วชิงเฉินเพียงแต่ฟังอย่างเงียบๆ รอเขาพูดจบถึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ก็ไม่เสียทีเดียว ในยามใกล้เลือกคู่คุณหนูสองท่านตระกูลซ่างกวานก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ซึ่งไม่น่าดูนัก เป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะค้นคนไปทั่วอย่างโจ่งแจ้ง ขอเพียงศิษย์พี่ลั่วหยางซ่อนอยู่ในห้องข้าตลอด น่าจะไม่เป็นปัญหา”

 

 

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นยามที่เรานั่งค่ายกลเคลื่อนย้ายล่ะ?” ถังมู่เฉินกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น

 

 

“ยามนั้น… ข้าย่อมมีวีธี” มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดมาก หากแต่ยิ้มว่า “พี่ใหญ่ ข้ากลับก่อนแล้ว”

 

 

“ไปเถอะ ไปเถอะ” ถังมู่เฉินยิ้มอย่างคลุมเครือ

 

 

รอจนไม่เห็นเงาร่างของมั่วชิงเฉินแล้ว ถังมู่เฉินถึงคลี่พัดพับออกพัด ยิ้มร่าว่า “เจ้าเด็กโง่นั่น ช่างมีบุญจริงๆ เอ๊ะ ดูเหมือนไม่ได้หยอกเขาเล่นมานานมากแล้วนี่นา…”

 

 

นึกถึงท่าทางยามที่ใบหน้าภูเขาน้ำแข็งของเยี่ยเทียนหยวนปรากฏรอยร้าว ถังมู่เฉินคาดหวังวันเวลาต่อจากนี้ขึ้นมาทันที

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง แล้วยังคงผลักประตูเดินเข้าไป เห็นเยี่ยเทียนหยวนนอนหลับตาอยู่บนเตียง แล้วถอนใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว

 

 

อีกาไฟเห็นมั่วชิงเฉินเข้ามา โล่งอกเช่นกัน แอบชำเลืองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง แอบว่าเจ้าโง่นี่ ไม่ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อนกวนจิตใจเจ้านายให้ขุ่น กลับแกล้งหลับ ช่างเป็น ช่างเป็นไม้ผุไม่อาจแกะ[2]จริงๆ!

 

 

“เจ้านาย อู๋เย่ว์เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนแล้วนะ” ไม่รอมั่วชิงเฉินเอ่ยปาก อีกาไฟก็พุ่งเข้าถุงอสูรวิญญาณอย่างเร็ว ยังตัดการติดต่อทางจิตเสียอย่างนึกว่าตนเองรู้งาน

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้าอย่างจำใจ นั่งลงดื่มน้ำชาไปถ้วยหนึ่ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้น จ้องมองเงาหลังของมั่วชิงเฉิน

 

 

นางนั่งอยู่เช่นนั้น ตัวยืดตรง ชุดเขียวแม้หลวมกลับยากจะปิดบังเอวที่คอดกิ่ว เขาราวกับสามารถเห็นถึงลายเส้นที่สะเทือนถึงจิตวิญญาณของนาง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนในใจร้อนวูบขึ้น โกรธที่ตนเสียมารยาทอีก

 

 

เขาไม่ใช่คนฉวยโอกาสชัดๆ ทว่าเพราะเหตุใด มักนึกถึงท่าทางยามนั้นของนางอย่างไม่อาจบังคับตัวเองได้?

 

 

แค้นเพียงยามนั้นที่สูญเสียไปคือสติสัมปชัญญะ มิใช่ความทรงจำ!

 

 

เยี่ยเทียนหยวนทุลักทุเลเล็กน้อย โกรธเล็กน้อย เขาที่ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักใดๆ นึกว่าตนที่เป็นเช่นนี้สกปรกสุดจะทน กลับไม่เข้าใจว่านี่เป็นเพียงสัญชาตญาณของมนุษย์เท่านั้น

 

 

มั่วชิงเฉินเหมือนรับรู้ได้ หันหน้ามา ก็เห็นท่าทางงงงันของเยี่ยเทียนหยวน

 

 

นางงงงันเช่นกัน อีกทั้งรู้สึกว่าเงียบงันเช่นนี้กระอักกระอ่วนเหลือเกิน จึงเอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านตื่นแล้วหรือ”

 

 

นางพูดพลางลุกขึ้นยืน ยกชาทิพย์ถ้วยหนึ่งมาถึงข้างเตียงแล้วนั่งลงว่า “ศิษย์พี่ ดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอเถอะ”

 

 

พูดพลางยื่นมือคิดจะพยุงเยี่ยเทียนหยวนขึ้นมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลนลานนั่งขึ้นมา แย่งถ้วยชาไปว่า “ศิษย์น้อง ลั่วหยางทำเอง”

 

 

พลางพูดพลางกรอกเข้าไปอึกใหญ่ เพราะรีบดื่มเกินไปจึงไอขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินกัดปาก ไม่กล้าขยับ หากยื่นมือลูบหลังให้เขา เขาคงสำลักตายกระมัง?

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหยุดไอ สีหน้ากลับแดงขึ้นมาเล็กน้อย เขาหลุบตาลง เห็นมือของมั่วชิงเฉินที่วางอยู่บนตัก ก็ทนไม่ไหวอยากกุมไว้ในมือ จึงได้แต่สูดลมหายใจลึกๆ กดไฟจริงที่พลุ่งพล่านลงไป

 

 

เสียงใสกังวานของมั่วชิงเฉินดังขึ้น พร้อด้วยความอ่อนโยนเฉพาะตัวของสตรีว่า “ศิษย์พี่ ไยท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

 

สีเลือดบนใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวนหายไป เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกดุจน้ำค้างแข็ง เสียงแฝงความเย็นเยียบเล็กน้อยว่า “ยานนั้นวกไปวนมาอยู่ในเขาวงกตในถ้ำต้นไม้ตลอด จนกระทั่งครึ่งปีก่อนถึงหลุดออกมา ใครจะรู้ว่าตกลงไปในค่ายกลอีกอันหนึ่ง หลังจากแหกด่านก็โผล่มาที่นี่ ส่วนเพราะเหตุใดถึงมาถึงตระกูลซ่างกวาน…”

 

 

เสียงเยี่ยเทียนหนวนแฝงความโกรธที่ระงับไม่อยู่ว่า “ยามที่เพิ่งแหกด่านออกมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ลมหายใจปั่นป่วน วิชายุทธที่ใช้ปิดบังร่างกายปรากฏช่องโหว่ บังเอิญถูกนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งและนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งเห็นเข้าพอดี พวกนาง ก็คือคนของตระกูลซ่างกวาน!”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ว่าเขาในใจอึดอัด หากนางถูกคนลักมาทำหรูติ่ง ยังเกือบเสียตัว เกรงว่าคงแทบจะอยากฆ่าคนร้ายด้วยมือตนเอง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง!

 

 

จึงได้แต่เบือนหัวข้อว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ไม่คิดว่าท่านจะอยู่ในเขาวงกตถ้ำต้นไม้นานถึงเพียงนั้น?”

 

 

นางและถังมู่เฉินหลุดออกมาเมื่อห้าปีก่อน ส่วนเยี่ยเทียนหยวน ไม่คิดว่าหลุดออกมาได้เพียงครึ่งปีกว่า โชคของเขานี่ยังสู้ถังมู่เฉินไม่ได้เลยนะ!

 

 

พูดถึงเรื่องนี้เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าดีขึ้นมากมาย เอ่ยนิ่งเรียบว่า “หาทางออกไม่พบเสียที ตอนหลังไปลึกเข้าไปถึงใต้ถ้ำ เจอวิญญาณต้นไม้ หลังจากฆ่าวิญญาณต้นไม้ถึงออกมาได้ในที่สุด”

 

 

“วิญญาณต้นไม้?” ในตามั่วชิงเฉินฉายแววสนใจ “หน้าตาวิญญาณต้นไม้เป็นเช่นไร หรือว่าเป็นร่างคน? เป็นชายหรือหญิง?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนทุลักทุเลเล็กน้อยว่า “ข้าเห็นไม่ชัด…”

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางเขาเช่นนั้น ก็รู้ว่าเรื่องไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น กลับไม่ซักไซ้อีก เพียงแต่ยิ้มว่า “ศิษย์พี่ ยินดีกับท่านด้วย เวลาสั้นๆ ห้าปี ไม่คิดว่าจะอยู่ระดับก่อแก่นปราณยอดระยะกลางแล้ว”

 

 

จำได้ว่าเขาเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางเมื่อเก้าปีก่อน เพียงสั้นๆ เก้าปี ก็บำเพ็ญเพียรถึงยอดระยะกลางแล้ว ความเร็วน่าตกใจจริงๆ และในยามที่ยังไม่จากกันเมื่อห้าปีก่อน เขาเพิ่งทำให้เขตแดนระยะกลางมั่นคงเท่านั้นเอง

 

 

ในนี้ ต้องมีโอกาสวาสนาอย่างมหาศาลแน่นอน

 

 

เดิมมั่วชิงเฉินไม่คิดจะถามมาก เยี่ยเทียนหยวนกลับสารภาพว่า “หลังจากฆ่าวิญญาณต้นไม้แล้ว ดูดซับปราณของวิญญาณต้นไม้ ตบะถึงเพิ่มเร็วขึ้นมาบ้าง”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าโอกาสวาสนายากแท้หยั่งถึงจริงๆ ปีนั้นแม้พวกเขาออกมาได้เร็ว กลับคลาดกับโอกาสวาสนาเช่นนี้

 

 

จากการนี้สามารถเห็นว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า เจ้าตัดสินยากมากว่าตกลงคือโชคดีหรือโชคร้าย หรือว่า จนกระทั่งเดินหน้าต่อไปอีกนานถึงเข้าใจ ทว่าเมื่อเจ้าเดินต่อไปอีก กลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

 

 

ก็เพราะอนาคตไม่อาจรู้และเปลี่ยนแปลงบ่อย ถึงดึงดูดให้คนยิ่งยึดติดไปไล่ตามสินะ

 

 

“ศิษย์น้อง ไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนลอยมา ขัดจังหวะความคิดของมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ข้าตามผู้อื่นมาเข้าร่วมการประลองยุทธเลือกคู่”

 

 

สีหน้าเยี่ยเทียนหยวนซีดเผือดลงทันที กัดปากไว้ไม่พูดสักคำ

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บรอยยิ้มขึ้น ถามด้วยความห่วงใยว่า “ศิษย์พี่ ไม่สบายใช่หรือไม่?”

 

 

ทั่วไปแล้วพิษที่สามารถสร้างความเสียหายใหนักบำเพ็ญเพียรได้ มักมีผลกระทบตามมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินนิ่ง พักใหญ่ ถึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “ใครจะเลือกคู่?”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตาที่งงงันเล็กน้อย เพ่งพิศสีหน้าที่ดูไม่ดีของเยี่ยเทียนหยวน เข้าใจขึ้นมาทันที

 

 

นี่เขาเข้าใจผิดสินะ?

 

 

นึกถึงคำพูดของเยี่ยเทียนหยวนเมื่อครู่ เมื่อเขามาถึงเฟิ่งหลินโจวก็บังเอิญพบคนตระกูลซ่างกวาน จากนั้นก็ถูกจับมาไว้ที่นี่ เกรงว่ายังไม่รู้ว่าที่นี่สตรีเป็นใหญ่

 

 

มั่วชิงเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบเล่าเรื่องคร่าวๆ

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ถึงเวลาไปเสวียนโจวพร้อมเจ้า?” เยี่ยเทียนหยวนฟังจบแล้วถามว่า

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม ชิงเฉินจะไปเสวียนโจว หาของที่สำคัญมากสิ่งหนึ่ง”

 

 

“ทว่าเช่นนี้ จะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย ลั่วหยางถูกนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดตระกูลซ่างกวานเพ่งเล็งเสียแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว

 

 

“ไม่เดือดร้อน ชิงเฉินไม่มีทางให้พวกนางพบท่านหรอก อีกอย่าง ชิงเฉินก็ไม่กลัวเดือดร้อน” มั่วชิงฌฉินเอ่ยอย่างสงบ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนดวงตากระจ่างใสบริสุทธิ์สะอาด ราวกับน้ำพุที่ละลายจากหิมะ กลับทอแสงฤดูใบไม้ผลิ ความอบอุ่นบังเกิดจากใต้ตาว่า “ทว่าลั่วหยางกลัวทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย”

 

 

บรรยากาศเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ค่อยปกตินะ

 

 

มั่วชิงเฉินกว่าจะรู้ตัวนึกขึ้นได้ จากนั้นทำหน้าบึ้งว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ทำให้เดือดร้อนไม่กี่คำนี้ พูดออกมาทำให้ห่างเหิน ต่อไปชิงเฉินไม่อยากได้ยิน ท่านพักผ่อนเถอะ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเหลอหลา มองหน้าบึ้งมั่วชิงเฉินที่จงใจทำขึ้น แล้วมุมปากกระดกขึ้น หลับตาลงอย่างว่าง่าย

 

 

มั่วชิงเฉินแอบพ่นลมออกอึดหนึ่ง กำลังจะลุกขึ้นออกไป กลับชะงักงันทันที

 

 

ไม่ถูกสิ ที่นี่เป็นห้องตนเอง เขานอนนี่แล้ว ตนไปไหน?

 

 

ในยามนี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้นโดยพลัน สีหน้าเคร่งขรึม

 

 

แล้วก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า “น้องพี่ เจ้ายังไม่นอนหรือ?”

 

 

“ยังไม่นอน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ดึกปานนี้ ถังมู่เฉินจะเล่นอะไรอีก?

 

 

คิดเช่นนี้พลางยังคงโบกแขนเสื้อเปิดประตู

 

 

แล้วก็เห็นถังมู่เฉินกอดผ้าห่มยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มหน้าระรื่นว่า “น้องพี่ ข้านอนไม่หลับ นอนกับเจ้าได้หรือไม่?”

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] จากกันช่วงสั้นๆ ชนะข้าวใหม่ตามัน หมายถึง อยู่ห่างกันช่วงสั้นเพื่อพบกันอีก จะยิ่งรักกันมากกว่าเพิ่งแต่งงานกัน

 

 

[2] ช่างเป็นไม้ผุไม่อาจแกะ หมายถึง ไร้ทางเยียวยา